ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 816 สู้เหยียนเหยียนไม่ได้
บทที่ 816 สู้เหยียนเหยียนไม่ได้
ท้องฟ้าเมืองหลวงราวน้ำหมึกถูกปัดหกใส่ ทำให้เป็นสีมืดมิดเพียงสีเดียว
ดวงอาทิตย์ยามอัสดงค่อยๆ ลาลับฟ้า แสงที่หลงเหลือเสียประกายพร่างพรายไปกว่าครึ่ง หมองหม่นไปเช่นกัน
แสงที่หลงเหลือสาดทอไปบนพื้น ห่มเสื้อสีเทาให้กับสรรพชีวิตทั้งหลาย เหมือนว่าโลกทั้งใบล้วนจมอยู่ในความอึดอัดหดหู่นี้
ก้อนเมฆในท้องฟ้าอยู่ในบรรยากาศเช่นนี้ก็คล้ายว่าผสานเป็นหนึ่งเดียวกับม่านฟ้า ไม่แบ่งแยกซึ่งกันและกัน
ผู้คนที่สัญจรบนท้องถนนสีหน้าเร่งร้อน พวกเขาไม่รู้เนื้อหาราชโองการโดยละเอียด แต่เห็นนกทมิฬสีเลือดก็เดาได้ว่าบางทีอาจจะมีเคราะห์ภัยพิบัติลงมาเยือน
โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของกองทัพ ก็ทำให้การคาดเดานี้กลายเป็นความจริงขึ้นมา
เผ่ามนุษย์ในยุคนี้น่าโศกเศร้านัก
ดังนั้นความมืดมิดกลายเป็นสีหลักของฟ้าดินเผ่ามนุษย์ ค่อยๆ ดำมืดไปทั้งผืน มีสายฟ้าพาดผ่านมาในความมืด คล้ายว่าฝนห่าใหญ่กำลังจะมาเยือน
สายลมที่พัดมา แม้จะไม่มีความหนาวเหน็บอย่างในเหมันต์อันหฤโหด มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลที่ก็เตือนผู้คนถึงการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ ทว่าเมื่อกระทบบนร่างกาย คล้ายว่า…จะหนาวเหน็บกว่าฤดูหนาวเล็กน้อย
สวี่ชิงก็สัมผัสได้เช่นกัน แต่ก็ชินเสียแล้ว
เขาที่ยืนอยู่ข้างนอกหอเลือนโลกีย์ ฟังเสียงจิ้งจอกดินเหนียวที่อยู่ข้างหู ก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไร
นิสัยของเทพเจ้า เขาเข้าใจดีกว่าคนอื่นมาก
และการมาเยือนครั้งนี้ เขามีจุดประสงค์อื่น
“ชื่อหมู่แตกดับแล้ว”
สวี่ชิงเอ่ยเรียบนิ่ง
“ข้าย่อมรู้แล้ว น้องชายตัวแสบ เจ้าอยากจะพูดอะไรหรือ”
“แต่พระจันทร์สีชาดยังอยู่”
คำพูดของสวี่ชิงเมื่อดังขึ้น จากในหอเลือนโลกีย์ข้างหน้าเขา ก็มีระลอกคลื่นกลุ่มหนึ่งแผ่ออกมา
สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ เอ่ยต่อไป
“ข้าสัมผัสได้ พระจันทร์สีชาดกำลังกลับมา
“ข้าช่วงชิงอำนาจของชื่อหมู่มา ดังนั้นสัมผัสของข้าไม่มีทางผิด ไม่นานจากนี้พระจันทร์สีชาดจะปรากฏบนท้องฟ้าของแผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์ ถึงตอนนั้นคนที่ยืนอยู่ในพระจันทร์สีชาดอาจเป็นหลี่จื้อฮว่า และอาจเป็นคนอื่นก็ได้
“ไม่ว่าจะเป็นใคร…องค์ท่านล้วนเลือกความครบสมบูรณ์ และพวกเราที่แบ่งเลือดเนื้อของชื่อหมู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเป้าหมายขององค์ท่าน
“ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์พืช เมื่อเจริญเติบโตแล้วค่อยถูกเก็บเกี่ยว”
เสียงของสวี่ชิงดังเข้าไปในหอเลือนโลกีย์ หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จิ้งจอกดินเหนียวก็หัวเราะขึ้นมา
“น้องชายตัวแสบ คำพูดของเจ้าพวกนี้ก็น่าสนุกดี แต่ข้ามองไม่เห็นอนาคต”
สวี่ชิงไม่ได้โต้แย้งเรื่องที่เทพเจ้ามองเห็นอนาคตได้ เสียงของเขายังคงสงบนิ่ง ดังก้องมา
“ชื่อหมู่เป็นน้องสาวของหลี่จื้อฮว่า พวกเขาสำเร็จเทพในภายหลังไม่เหมือนกับเทพเจ้าโดยกำเนิด
“อย่างองค์ชายห้า ในด้านคุณธรรมพระองค์รู้ว่าข้าสังหารองค์ชายเจ็ดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ในฐานะพี่ชาย เขาก็ยังต้องสู้กับข้าสักหน อย่างข้าก็มีพี่ชายเช่นกัน คนอื่นฆ่าข้า เขาไม่มีทางขัดขวาง แต่หลังจากที่ข้าตายไป ข้าคิดว่าเขาจะลงมือเพื่อสะสางกรรมเวรนี้เพื่อที่จะทำให้จิตใจสงบเช่นกัน
จิ้งจอกดินเหนียวเงียบนิ่ง คล้ายกำลังครุ่นคิด หลังจากนั้นครู่หนึ่ง น้ำเสียงขาดความยั่วเย้าไปเล็กน้อย มีความจริงจังเพิ่มขึ้นมาบางส่วน
“เป็นการอนุมานที่น่าสนใจมาก แม้จะเป็นไปได้น้อยแต่ฟังแล้วก็มีเหตุผลอยู่หลายส่วน เช่นนั้น…เจ้ามาหาข้าอยากได้อะไร”
สวี่ชิงโค้งคารวะ
“ขอเทพชั้นสูงซิงเหยียนโปรดมอบสิทธิ์ที่ทำให้ข้าสามารถเข้าร่วมมหกรรมล่าเหยื่อของเผ่านภาคิมหันต์ด้วยเถิดขอรับ”
“ที่ข้าสนใจในตัวเจ้าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดตามคาด น้องชายตัวแสบคนนี้บางครั้งก็น่าสนุกดีจริงๆ ทำให้เจ้ามองวิธีทำลายอุปสรรควิธีนี้ออกเสียได้”
จิ้งจอกดินเหนียวยิ้มแล้ว
“หากเจ้าเข้าร่วมมหกรรมล่าเหยื่อของเผ่านภาคิมหันต์ได้ ได้รับสมญาขุนพลนภาทมิฬ เช่นนั้นเจ้าก็จะได้สถานะทางเกียรติยศในเผ่านภาคิมหันต์
“และขุนพลนภาทมิฬที่ปรากฏในมหกรรมล่าเหยื่อทุกคน ล้วนมีโอกาสที่จะเสนอขอรางวัลกับอุปราชทั้งสามหนึ่งรางวัล
“ผ่านจากโอกาสนี้ เจ้าคิดจะให้เผ่านภาคิมหันต์เลิกทำสงครามกับเผ่ามนุษย์อย่างนั้นหรือ ความเป็นไปได้ของเรื่องนี้นั้นไม่มี”
เสียงของจิ้งจอกดินเหนียวเจือหยอกล้อ สำหรับองค์ท่านแล้วชีวิตก็เป็นแค่ดอกไม้ดอกหนึ่งก็เท่านั้น
สวี่ชิงส่ายหน้า
“หากข้าทำสำเร็จย่อมไม่เสนอขอเรื่องนี้”
“เช่นนั้นสิ่งที่เจ้าจะขอคืออะไร”
จิ้งจอกดินเหนียวค่อนข้างอยากรู้
“รอเมื่อสำเร็จ ท่านเทพชั้นสูงย่อมได้รู้”
สวี่ชิงมองหอเลือนโลกีย์ เอ่ยเสียงแผ่วเบา
เสียงหัวเราะดังมาจากในหอ
“เจ้านี่มันแสบจริงๆ ช่างเถิด คำขอแค่นี้ เห็นแก่ปราณพลังหยาง ข้าจะช่วยให้เจ้าสมปรารถนาก็ได้”
ขณะพูด เส้นแสงสีชมพูทางหนึ่งก็พุ่งออกมาจากในหอ พุ่งไปหาสวี่ชิง แล้วหยุดอยู่ข้างหน้าเขา ท่ามกลางกระแสแสงที่ทะลักล้นก็แปรเปลี่ยนเป็นป้ายสีชมพูป้ายหนึ่ง
ข้างหน้าวาดร่างจิ้งจอกร่างหนึ่งเอาไว้ ข้างหลังเป็นขุนเขาและสายธาร
สวี่ชิงคว้าเอาไว้ สายตาจับจ้องไปตรวจดู ในขณะเดียวกันนี้ เสียงเอื่อยเฉื่อยก็ดังมาจากในหอเลือนโลกีย์
“ถือโอกาสนี้ ข้าจะบอกถึงด่านต่างๆ ของมหกรรมล่าเหยื่อให้เจ้าฟังล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่านี่เป็นความรักความลำเอียงที่พี่สาวมีให้เจ้า หากเป็นคนอื่น ข้าไม่มีทางบอกให้ล่วงรู้”
ความยั่วยวนในน้ำเสียงของจิ้งจอกดินเหนียวตอนนี้รุนแรงขึ้นมาอีกเล็กน้อย
เพราะก็เหมือนกับที่เขาบอกก่อนหน้านี้จริงๆ การมาเยือนของเขาครั้งนี้ สิ่งที่ต้องการก็คือสิทธิ์นี้
ส่วนเรื่องกลับแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา สวี่ชิงไม่คิดจะทำให้เป็นเป้าหมายหลักในการเดินทางไปครั้งนี้ ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับรัฐทายาท หากเขาร้องขอ สุดท้ายมีโอกาสเป็นอย่างมากที่รัฐทายาทจะลงมือ
แต่เขาต้องคิดถึงความยินยอมของพวกรัฐทายาทพระองค์อื่นด้วย ดังนั้นแผนของสวี่ชิงคือคิดหาวิธีแก้ปัญหาเองก่อน หากไม่ได้จริงๆ ค่อยไปแผ่นดินใหญ่เซ่นจันทรา
นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นเหตุผลให้สวี่ชิงเลือกที่จะเดินทางไปยังเผ่านภาคิมหันต์
นั่นก็คือคุณงามความชอบของหนิงเหยียน
มีเพียงหนิงเหยียนเป็นรัชทายาทเท่านั้น เขาถึงจะมีโอกาสเข้าไปยังดาวบรรพชน รับตะเกียงดำจื่อเสวียนมา
ดังนั้น ลำพังเพียงคุณงามความชอบในสงครามที่หนิงเหยียนเดินทางไปเผ่าฟ้าทมิฬ สวี่ชิงรู้สึกว่ายังไม่พอ
หากรวมกับการคลี่คลายของเผ่านภาคิมหันต์ทางนี้ เช่นนั้นสำหรับหนิงเหยียนแล้ว คุณงามความชอบครั้งนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง
ขณะที่ความคิดของสวี่ชิงผุดขึ้นมามากมาย เสียงของจิ้งจอกดินเหนียวก็ดังแว่วมา
“มหกรรมล่าเหยื่อของเผ่านภาคิมหันต์ ครั้งนี้แบ่งเป็นสามด่าน อยากเป็นขุนพลนภาทมิฬ อย่างน้อยก็จะต้องเป็นที่หนึ่งในด่านใดด่านหนึ่ง หากเจ้าเป็นที่หนึ่งได้ทั้งสามด่าน เช่นนั้นตำแหน่งที่แต่งตั้งก็จะไม่ใช่ขุนพลนภาทมิฬทั่วไป
“แต่เป็นมหาขุนพลนภาทมิฬ!”
ในน้ำเสียงของจิ้งจอกดินเหนียวแฝงไว้ด้วยความเฝ้ารอ
“หลายปีมาแล้วที่ไม่มีมหาขุนพลนภาทมิฬ
“และด่านแรกของการล่าเหยื่อในตอนนี้กำลังดำเนินอยู่ ระยะเวลาคือครึ่งปี และเวลาได้ผ่านไปครึ่งหนึ่งแล้ว
“ด่านแรกคือย้ายภูเขา
“ไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่เป็นภูเขาต้องห้าม”
สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง
“ภูเขาต้องห้ามหรือขอรับ”
“ใช่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นในพื้นที่ขั้วอำนาจของเผ่านภาคิมหันต์หรือจะนอกพื้นที่ ภูเขาที่อยู่ในพื้นที่ต้องห้ามล้วนได้ทั้งหมด”
จิ้งจอกดินเหนียวหัวเราะเอ่ย
“ภูเขาต้องห้ามลูกหนึ่งก็นับว่าตรงตามเงื่อนไข แต่ก็เป็นเพียงเงื่อนไขที่ต่ำที่สุดเท่านั้น หากอยากได้ที่หนึ่ง เช่นนั้นภูเขาต้องห้ามที่เจ้าได้มาก็จะต้องเหนือกว่าใครทุกคน
“ขณะเดียวกัน ในระหว่างการแข่งขัน เจ้าต้องย้ายภูเขาต้องห้ามมุ่งหน้าไปยังเมืองเทพ ภูเขาเทพของเผ่านภาคิมหันต์ ผสานขุนเขาเข้าไปที่นั่นถึงจะนับว่าสำเร็จ
“ระหว่างนั้น…ผู้เข้าร่วมทุกคนล้วนสามารถเข่นฆ่า แย่งชิงกันเองได้ ไม่สนเป็นตาย”
จิ้งจอกดินเหนียวพูดถึงตรงนี้ก็เงียบไปเล็กน้อย และคำพูดไม่กี่ประโยคง่ายๆ ขององค์ท่านก็ส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา
สวี่ชิงพยักหน้า จิ้งจอกดินเหนียวเอ่ยต่อไป
“สำหรับด่านที่สอง นั่นยิ่งน่าสนุก มีชื่อว่าปราบพยศ
“ในเผ่านภาคิมหันต์มีสิ่งมีชีวิตคุณสมบัติเทพอยู่บ้าง มีแข็งแกร่งมีอ่อนแอ ปราบพยศตัวหนึ่งให้เป็นสัตว์พาหนะนภาคิมหันต์ของเจ้า ก็คือเงื่อนไขของด่านที่สอง
“ยิ่งเป็นสัตว์คุณสมบัติเทพที่แข็งแกร่ง ความยากในการปราบพยศย่อมยิ่งยาก หากอยากได้ที่หนึ่ง ความยากแค่คิดเอาก็รู้ ประมาทเพียงเล็กน้อยก็อาจกลายเป็นอาหารได้
“ดังนั้น น้องชายตัวแสบ เจ้าต้องคิดให้ดี อย่ายังไม่ทันได้ให้ปราณพลังหยางกับข้าก็ตายไปเสียก่อน อีกทั้งในช่วงมหกรรมล่าเหยื่อ ต่อให้เป็นข้าก็ยากที่จะแทรกแซง”
สวี่ชิงฟังถึงตรงนี้ คล้ายครุ่นคิด เงื่อนไขของด่านนี้ ค่อนข้างพิเศษ
“ส่วนด่านที่สามก็ง่ายแล้ว แต่ก็สำคัญที่สุดคือ”
ในโถงบรรพชน จิ้งจอกดินเหนียวเลียริมฝีปาก ในดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด
“นั่นก็คือออกล่าในแผ่นดินเทวะ!
“ถึงตอนนั้นก็จะเป็นข้ากับพี่หญิงทั้งสองลงมือพร้อมกัน ฉีกทางเข้าแผ่นดินเทวะแห่งหนึ่ง
“ส่วนจะเป็นแผ่นดินเทวะที่ไหนก็บอกเจ้าไม่ได้ แต่ข้าคิดว่า…ที่นั่นเจ้าน่าจะค่อนข้างชอบ”
จิ้งจอกดินเหนียวหัวเราะเบาๆ
“และหลังจากที่แผ่นดินเทวะถูกฉีกเป็นรอยแยกแล้ว ผู้เข้าร่วมทุกคนก็จะบุกเข้าไป ใช้จำนวนและระดับขั้นของสิ่งมีชีวิตในแผ่นดินเทวะมาเป็นมาตรฐานในการวัด
“ยิ่งฆ่าได้มากก็ย่อมมีโอกาสมาก แต่เช่นเดียวกัน นั่นคือแผ่นดินเทวะ…ดังนั้นมหกรรมล่าเหยื่อทุกครั้งความจริงแล้วมีผู้เข้าร่วมแปดส่วนขึ้นไปตาย
“แล้วก็มีอีกจำนวนหนึ่งถูกโจมตี กลายพันธุ์กลายเป็นภักษาเทวะ ภักษาเทวะพวกนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เลี้ยงเจ้าตัวน่ารักพวกนั้นของข้าได้เป็นอย่างดี มีที่อร่อยมากเป็นพิเศษอยู่บ้าง ข้าเองก็จะกินสักคำ
“นี่เป็นงานเลี้ยงงานหนึ่ง เป็นงานเลี้ยงที่จัดเตรียมเพื่อความสุขความสนุกของเทพเจ้า หากเจ้าไปเข้าร่วมด้วย งานเลี้ยงนี้ข้าก็จะมองให้ละเอียดยิ่งขึ้น
“แต่ข้าไม่อยากเห็นหลังจากที่เจ้าตายแล้วคนอื่นกินเนื้อเจ้าสักเท่าไร ดังนั้น…ข้าก็อาจใช้อำนาจเทพสักครั้งหนึ่ง ครอบครองเนื้อของเจ้าเพียงคนเดียว
“น้องชายตัวแสบ เจ้าคิดว่าข้อเสนอนี้เป็นอย่างไร”
เสียงของจิ้งจอกดินเหนียวอ่อนโยนมาก ทว่าความหมายแฝงชวนให้ขนขนลุกขนพอง
สวี่ชิงไม่สนใจ พยักหน้า
“ได้ขอรับ”
ในโถงบรรพชน จิ้งจอกดินเหนียวหัวเราะขึ้นมา หัวเราะจนศาลเจ้าสั่น จนฝุ่นบนร่างร่วงกราว จนโถงบรรพชนสะเทือน จนประกายแสงในดวงตายิ่งวิบวับพร่างพราย สุดท้ายองค์ท่านก็เลียริมฝีปาก เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ครั้งนี้เรื่องจริงนะ น้องชายตัวแสบ ข้าพบว่า…ข้ายิ่งชอบเจ้าขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้วสิ”
สวี่ชิงมองหอเลือนโลกีย์ผาดหนึ่ง แต่ก่อนเขาเคยประสบคำพูดคล้ายๆ กันนี้ ความรู้สึกคล้ายๆ กันนี้จากเหยียนเหยียนมาก่อน กระทั่งว่าถ้าเปรียบเทียบกันแล้ว จิ้งจอกดินเหนียวนับว่าหัวโบราณกว่าเล็กน้อย
นอกจากความแข็งแกร่งของพลังแล้ว ในระดับหนึ่งแล้วยังมีความห่างชั้นจากเหยียนเหยียนไม่น้อยเลย
ดังนั้นสวี่ชิงจึงไม่พูดอะไร หลังจากประสานหมัดก็หันหลังจากไป ในความมืดมิดโดยสมบูรณ์ของท้องฟ้า เงาร่างของเขาค่อยๆ หายไปในราตรี หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืด หายไปไร้ร่องรอย แยกซึ่งกันและกันไม่ออก
นานจากนั้น ในความมืด ในเมืองหลวงที่ค่อนข้างเงียบสงบ ในโถงบรรพชนหอเลือนโลกีย์ที่ถูกสั่งปิดแห่งนี้ จิ้งจอกดินเหนียวในศาลเจ้าเงยหน้าเล็กน้อย ทอดสายตามองไปยังที่ไกล
‘พี่หญิงสองในตอนนั้นรักคนผู้หนึ่ง ไม่รู้ว่านั่นเป็นความรู้สึกเช่นไร’