ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 822 โปรดอนุญาตให้อยู่พร้อมหน้า
บทที่ 822 โปรดอนุญาตให้อยู่พร้อมหน้า
“ทองสีม่วงของเผ่านภาคิมหันต์ต่างกับเผ่ามนุษย์เรา พวกเขาใช้ดวงชะตาหลอมทอง ใช้สิ่งมีชีวิตที่ฆ่าบนแผ่นดินเทวะเป็นวัตถุดิบ รวมกับการสังเวยของหลายร้อยเผ่าในอาณัตินภาคิมหันต์ สุดท้ายเปลี่ยนสีดำเป็นสีม่วง เกิดเป็นชุดเกราะนภาทองม่วง!”
นายกองมองเงาร่างน่าหวาดกลัวบนท้องฟ้า กล่าวคำเสียงค่อย สีหน้าเปี่ยมความอิจฉา ในคำพูดยังมีความโอดครวญ
“ตอนนั้นข้าก็เกือบได้ครอบครองชุดเกราะนภาทองม่วงนี้แล้ว”
“ข้าบอกเจ้าให้นะอาชิงน้อย เกราะนี้อยู่ในเผ่านภาคิมหันต์ ไม่เพียงเป็นเครื่องหมายบอกฐานะ ตัวมันเองก็เทียบกับของวิเศษเวทต้องห้ามได้เลย”
“ทั้งยังเป็นของชั้นยอด อานุภาพต่างกันไปตามสิ่งมีชีวิตที่สังหารบนแผ่นดินเทวะ”
นายกองมองขุนพลนภาที่อยู่ไกลออกไปตาไม่กะพริบ ความปรารถนาในดวงตาเข้มข้นจนจะกลายเป็นของจับต้องได้
สวี่ชิงมองไปเช่นกัน เขาก็รู้สึกชุดเกราะม่วงนั้นไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะไหมวิญญาณในกายเขา ล้วนเกิดความรู้สึกถูกบีบอัดในชั่วขณะที่เกราะนี้ปรากฏออกมาเมื่อครู่ จึงยิ่งเห็นความไม่ธรรมดาของเกราะนภาทองม่วงนี้
“รถผีนั่นด้วย เป็นของดีเหมือนกันนะ ในเผ่านภาคิมหันต์มีแดนพิเศษแห่งหนึ่ง นภาคิมหันต์เรียกว่าแดนผืนคีรี”
เสียงนายกองยังทอดมาต่อเนื่อง
“ชื่อผืนคีรี แต่ความจริงในนั้นมีแต่อสูรกลายพันธุ์นานาชนิดรวมตัวกัน กลายเป็นพื้นที่แดนอสูร”
“เป็นเวลานับไม่ถ้วน ไม่ว่าอสูรในแดนนี้เอง หรือเป็นอสูรที่เผ่านภาคิมหันต์เอามาจากข้างนอก ด้วยการสะสม ด้วยการแพร่พันธุ์ ด้วยการเปลี่ยนแปลง ตอนนี้ไม่เพียงจำนวนน่าตกใจ ยังมีการเปลี่ยนแปลงประหลาดเกินจินตนาการมากมาย”
“กำเนิดเป็นอสูรร้ายที่มีพลังประหลาดต่างๆ จำนวนมาก พวกรถผีก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ว่ากันว่าอสูรนี้อยู่ได้ด้วยการกลืนวิญญาณ เมื่อเติบโตถึงขั้นหนึ่ง สามารถเข้าทะเลวิญญาณและห้วงฝันไปฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย ชาวบ้านจึงมักจะเรียกอสูรนี้ว่ามารฝัน”
นายกองเลียริมฝีปาก
“สำคัญที่สุดคือ อร่อยมาก!”
“ข้อมูลข้าอาจจะล้าหลังอยู่บ้าง แต่ในความทรงจำชาตินั้นของข้า อสูรรถผีมีบันทึกว่าถูกมนุษย์ฝึกสำเร็จเพียงสองครั้งในประวัติศาสตร์”
นัยน์ตาสวี่ชิงฉายประกายวูบไหว เขานึกถึงมหกรรมออกล่ารอบที่สองที่จิ้งจอกดินพูดถึง ตามข้อมูลของนายกอง ดูมีความเป็นไปได้ทีเดียวว่าสถานที่ในรอบที่สองคือแดนอสูรผืนคีรี
สวี่ชิงจึงถามประโยคหนึ่ง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ในแดนอสูรผืนคีรี ยังมีอันดับหรืออสูรกลายพันธุ์อะไรที่ค่อนข้างมีชื่ออีกหรือไม่”
นายกองจมจ่อมอยู่กับการลิ้มรสชาติรถผีในความทรงจำ ได้ยินแล้วกลืนน้ำลาย
“อันดับน่ะมี แต่เวลานานเกินไป ข้าจำไม่ได้ทั้งหมด จำได้แค่ในชาตินั้นของข้า อสูรรถผีจัดเป็นอันดับที่เก้า ที่จัดอยู่อันดับหนึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่ชื่อนพกาฬ เสียดายข้าไม่เคยเห็น ว่ากันว่าคนที่เห็นก็น้อยนัก”
“ดังนั้นคำบรรยายเกี่ยวกับมันที่เล่าต่อกันมาจึงมีไม่มาก ข้อมูลที่ได้จากเขาเทวะก็บอกแค่อสูรนี้เป็นมังกรเก้าตัว ไม่ได้บอกรายละเอียด”
พูดถึงตรงนี้ นายกองถอนหายใจ
“ตอนนั้นข้าเคยคิดบ่อยๆ ว่าถ้าสวมเกราะนภาทองม่วงไปเหยียบอสูรนพกาฬ กินเนื้อรถผีพร้อมกลับถึงเผ่ามนุษย์ด้วยพลังสุดแข็งแกร่ง คนอื่นเห็นต้องสั่นสะท้าน น่าเสียดายนะน่าเสียดาย ต้องโทษพวกยายแก่นั่น!”
นายกองกัดฟันพึมพำหลายประโยค
สวี่ชิงไม่ได้เอ่ยคำ เขารู้ว่าพวกยายแก่ที่นายกองพูดถึงเป็นใคร…
ส่วนเรื่องการกลับเผ่ามนุษย์อย่างที่อีกฝ่ายบรรยาย สวี่ชิงมีความคิดต่างออกไป เขาคิดว่าแต่งตัวแบบนั้นกลับเผ่ามนุษย์อาจทำให้คนสั่นสะท้าน ขณะเดียวกันก็ยากหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่แน่นอน นั่นคือการย้ายความเกลียดชังของเผ่ามาไว้ส่วนหนึ่ง
แต่นายกองมีความสุขก็ดีแล้ว สวี่ชิงไม่ได้ไปขัดความเสียดายของเขา กำลังจะถามเรื่องอื่น ทว่าครู่ต่อมาสวี่ชิงสีหน้าพลันเปลี่ยน หันมองไปทางขอบฟ้าในตำแหน่งที่ขุนพลนภาจากไป
ตรงนั้นพายุโหมฟ้าผ่ามาแต่ไกล พริบตาเดียวสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ลั่นจนแทบหูหนวก สนั่นหวั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ท้องฟ้าก็ปรากฏลักษณะแตกร้าว เกิดเป็นเส้นรอยแยกแน่นขนัด เหมือนกระจกที่ด้านหนึ่งถูกทุบละเอียดแต่ยังไม่แตกกระจาย
ขณะเมฆหมอกแยกตัวอย่างรวดเร็ว เสียงหวีดแหลมสายหนึ่งดังขึ้นจากฟ้า เสียงนี้ผ่านไปที่ใดล้วนมีพลังสะเทือนเลื่อนลั่น แหลมสูงจนเกิดพายุ
แผ่นดินสั่นไหว ย่านการค้าจันทร์ทมิฬก็หยุดชะงักเล็กน้อย
จากนั้น เงาร่างลวงตาคล้ายเกิดจากไอหมอกปรากฏขึ้นบริเวณที่พายุเคลื่อนมา หวีดร้องหนีไปทางตะวันตกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
ข้างหลังเงา ขุนพลนภาที่จากไปผู้นั้นเหยียบรถผีเข้ามาช้าๆ
มือเขาถือหอกยาวเพลิงทมิฬ สายตาเย็นชา แสงทองวาววับทั้งตัวดุจดวงอาทิตย์ มองเงาร่างไอหมอกที่หนีไปพลางกล่าวเรียบเฉย
“กลับไปบอกนายของเจ้า ผีน้อยมีชีวิตอยู่ดีกับข้า และเห็นแก่ผีน้อย ข้าไม่ได้สังหารเผ่าเจ้าถึงสามครั้ง แต่ครั้งต่อไป ข้าจะเริ่มสังหาร”
คำพูดของเขาทุกคำล้วนมีพลังกฎเกณฑ์ เกิดเป็นตรานาบข้างหลังเงาร่างที่หลบหนี กลายเป็นแรงกดทับทำให้เงาร่างนั้นสลายต่อเนื่องหลายสิบครั้ง สุดท้ายถึงได้ฝืนหนีไปไม่เหลือร่องรอย
หลังจากเงาร่างนี้หายไป รถผีข้างล่างขุนพลนภาคำรามเสียงต่ำ พลันหมุนกายพาเจ้านายของมันมุ่งไกลออกไปจนค่อยๆ ลับตา
ฟ้าดินกลับเป็นปกติ ย่านการค้าจันทร์ทมิฬกลางอากาศเดินหน้าต่อ
ผู้ฝึกบำเพ็ญนภาคิมหันต์แต่ละเผ่าในนั้น ต่างคนก้มหน้าด้วยสีหน้าเคารพ
สวี่ชิงมองฉากนี้ นัยน์ตาฉายแววใฝ่ฝัน
วันหนึ่งเขาก็อยากให้กำลังรบของตนบรรลุถึงขั้นเตรียมสู่เทวะ นายกองที่ด้านข้างชัดว่าอ่านความคิดสวี่ชิงออก ตบไหล่เขา
“นี่จะมีอะไร หากข้าเสี่ยงออกไปคลายผนึก พริบตาเดียวก็เป็นแบบนี้ได้ ส่วนเจ้าอาชิงน้อย ไม่ต้องรีบร้อน”
นายกองขยิบตา หันไปมองย่านการค้าจันทร์ทมิฬที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ไป เราไปเดินเล่นกันสักหน่อย”
สวี่ชิงพยักหน้า ถอนสายตาที่มองไปยังทิศที่ขุนพลนภาจากไป และเดินมุ่งหน้าไปย่านการค้าจันทร์ทมิฬพร้อมนายกอง
ที่นี่แม้ภูเขาต้องห้ามเหนือศีรษะเขายังเก็บไม่ได้ แต่ด้วยความมหัศจรรย์ของส่วนหัวย่านการค้าจันทร์ทมิฬ สามารถย่อส่วนให้ลอยวนอยู่บนนั้นได้
วิธีเข้าย่านการค้าจันทร์ทมิฬง่ายทีเดียว เดินเข้าไปก็ได้แล้ว
แต่มีเงื่อนไขทางคุณสมบัติ มีแค่กลุ่มเผ่านภาคิมหันต์ที่เข้าได้ หากเป็นคนนอกต้องมีป้ายแนะนำ
ป้ายแนะนำของสวี่ชิงระดับสูงพอแล้ว ส่วนฝั่งนายกองก็เอาป้ายแนะนำออกมาอันหนึ่ง แม้ไม่ใช่ป้ายที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมมหกรรมออกล่า แต่ยังเข้าย่านการค้าจันทร์ทมิฬได้
ดังนั้นหลังผ่านผนึกต้องห้าม พวกเขาสองคนเดินบนถนนย่านการค้าจันทร์ทมิฬอย่างราบรื่น
มองผู้คนรอบด้าน สังเกตเห็นว่าบนศีรษะคนบางส่วนในนั้นก็มีภูเขาต้องห้ามวนรอบ สวี่ชิงยืนยันความจริงที่จิ้งจอกดินบอกได้แล้ว ทางนายกองก็ถอนหายใจ
“ดูท่า ด่านแรกจะเป็นการย้ายภูเขาจริงๆ”
“แต่ระหว่างทางพวกเราลองแล้ว ภูเขานี้เก็บไม่ได้ ตอนนี้ที่ย่านการค้าจันทร์ทมิฬก็ได้แค่ย่อส่วน ข้ารู้ความยากของรอบแรกแล้ว”
“นี่คือการให้คนเอาภูเขาทั้งหมดมาเผยให้ดู แล้วต่างคนไปแย่งชิงเข่นฆ่า”
“อาชิงน้อย รอบแรกนี้คงต้องมีการนองเลือด”
“เจ้าดู หลายคนเห็นเราเป็นเผ่ามนุษย์ สายตาก็ไม่เป็นมิตรเลย”
นายกองกล่าวเสียงค่อย
สวี่ชิงเงยหน้า กวาดสายตารอบด้าน ในย่านการค้าที่ผู้คนเดินขวักไขว่ เขาสังเกตเห็นสายตามากมายกำลังจ้องมาที่เขาเช่นกัน พูดให้ชัดเจน คือจ้องภูเขาต้องห้ามบนศีรษะ
“ควบคุมสีหน้าหน่อย พวกเราต้องทำหน้าหวาดกลัวและโอนอ่อนผ่อนตาม นี่คือเหตุผลที่ข้าพาเจ้ามาย่านการค้าจันทร์ทมิฬ พวกเรามาตกเหยื่อ…”
นายกองสีหน้ากังวล
สวี่ชิงได้ยิน ครุ่นคิดแล้วสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
ทั้งสองมุ่งหน้าเช่นนี้ตลอดทาง หลังจากสังเกตการณ์ ย่านการค้าที่เปี่ยมด้วยรูปแบบของแดนประหลาดค่อยๆ ปรากฏตรงหน้าสวี่ชิงทั้งหมด
สิ่งก่อสร้างที่นี่แม้เป็นร้านค้าเหมือนกัน แต่คนเข้าออกไม่เยอะ ที่ที่กลุ่มคนเยอะที่สุดคือแผงลอยส่วนบุคคลเช่นนั้น ในนั้นขายร้อยแปดพันเก้า มีทุกสิ่งอย่าง
สวี่ชิงยังถึงขั้นเห็นเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ คลื่นที่กระจายออกมาก็ชัดว่าไม่อ่อนแอ นี่ถือเป็นของหายากของเผ่ามนุษย์ แต่อยู่ที่นี่ ไม่พูดถึงพบเห็นได้ทุกหนแห่ง ยังมีให้เลือกได้มากมาย
อาณาเขตของเผ่านภาคิมหันต์กว้างใหญ่เหลือเกิน นี่ทำให้ของซื้อขายในเผ่ามีครอบจักรวาล ถึงกับมีของนอกเผ่าโผล่มาบ่อยครั้งด้วย
ส่วนหน้าตาของสรรพชีวิตในย่านการค้าก็เป็นเช่นนี้
สวี่ชิงกวาดมองผาดหนึ่งก็เห็นเผ่าต่างๆ ไม่ต่ำกว่าหลายร้อยเผ่า หากเป็นตอนที่เขายังไม่ได้เดินบนเส้นทางฝึกบำเพ็ญ เห็นฉากนี้ต้องนึกว่ามาที่ของมารปีศาจเป็นแน่
แต่นายกองมีประสบการณ์มากกว่าสวี่ชิงเยอะ รู้เรื่องเผ่านภาคิมหันต์ไม่น้อย ดังนั้นหลังจากเดินมาระยะหนึ่ง นายกองกับสวี่ชิงทักกัน ตัวเขาวิ่งออกไปนั่งยองตรงหน้ามนุษย์หินสีครามและต่อรองราคากับอีกฝ่าย
สวี่ชิงเดินต่อไป มองแผงลอยแต่ละร้าน หาของที่ตนสนใจ
“สมุนไพรพิษก็มีไม่น้อย”
หน้าแผงลอยแห่งหนึ่ง สวี่ชิงมองสมุนไพรแห้งและขวดโหลต่างๆ ที่วางอยู่ในนั้น สำรวจดูแล้วซื้อมาจำนวนหนึ่ง กระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชิงแอบทอดถอนใจ
‘หินวิญญาณไม่พอแล้ว…’
ของมากมายในย่านการค้านี้เขาล้วนสนใจอยู่บ้าง ทว่าราคาแต่ละอย่างล้วนน่าตกใจยิ่ง ด้วยกำลังทรัพย์ของสวี่ชิง หินวิญญาณที่พกมายังไม่พอ
นอกจากเขาจะขายของบางอย่างของตน
ความรู้สึกขาดหินวิญญาณเช่นนี้เขาไม่ได้สัมผัสมานานแล้ว ความรู้สึกในตอนนี้ทำให้เขานึกถึงชีวิตในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ
“ราคาสินค้าของนภาคิมหันต์ออกจะเกินจริงไปหน่อย”
สวี่ชิงส่ายหน้า กำลังจะส่งเสียงหานายกองหมายออกจากย่านการค้านี้ แต่ในยามนี้เอง ศีรษะที่ไม่ได้เคลื่อนไหวมานานในเขตติงหนึ่งสามสองที่ผสานเข้าสมบัติลับเขา พลันส่งจิตเทพอันลิงโลดออกมา
‘ใต้เท้าผู้ดูแลผู้ยิ่งใหญ่หล่อเหลาไร้เทียมทาน ทั้งยังมีเมตตา ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสหายเก่า โปรดอนุญาตให้พวกเราอยู่พร้อมหน้า!’
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ในคุกติงหนึ่งสามสอง หลายปีมานี้ขาดไปสองคนโดยตลอด คนหนึ่งคือมนุษย์หุ่นฟาง คนหนึ่งคือแท่นโม่
หลังจากกรมราชทัณฑ์เขตปกครองผนึกสมุทรพังทลาย สองคนนี้หนีไปไม่ทิ้งร่องรอย
สวี่ชิงได้ยินก็เลิกคิ้ว มองรอบด้านแล้วเดินไปยังแผงลอยค่อนข้างใหญ่ที่อยู่ไม่ไกล
ที่นั่นขายของหลากหลาย มีทุกขั้นฝึกบำเพ็ญ วางกระจัดกระจายเต็มพื้น
ในนั้นมีมนุษย์หุ่นฟาง แขนขาดข้าง ขาขาดข้าง นอนอยู่กลางของหลากชนิด ตามองท้องฟ้าด้วยความว่างเปล่า
ด้านข้างยังมีแท่นโม่ครึ่งอัน
จากการมาเยือนของสวี่ชิง มนุษย์หุ่นฟางรับรู้กลิ่นอายของฐานะผู้ดูแลและเขตติงหนึ่งสามสองที่หลอมรวมในนั้นอย่างเลือนราง ดวงตาดุจน้ำนิ่งของมันปรากฏคลื่นทันใด ฉับพลันเหลือบมาที่ตัวสวี่ชิง ตะลึงงันแล้วเผยความตื่นเต้นออกมา
……………………………………