ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 823 เขาเป็นของข้า
บทที่ 823 เขาเป็นของข้า
สำหรับมนุษย์หุ่นฟาง เรื่องราวที่เจอในหลายปีนี้ทำให้นางรู้สึกว่าเขตติงหนึ่งสามสองเป็นเหมือนสวรรค์
อยู่ที่นั่นไม่มีอะไรต้องกังวล ตายก็ไม่เป็นไร ยังมีชีวิตอยู่ได้
อยู่ที่นั่นยังมีคนพูดคุย มีคนเล่นหลอกผีด้วยกัน แม้ข้างกายมีนิ้วมือเทพเจ้านอนอยู่ แต่อย่างไรเวลาส่วนใหญ่องค์ท่านล้วนหลับสนิท
อีกอย่าง อยู่ที่นั่นยังมีผู้ดูแลให้ตนแกล้งเล่นตลอด
แม้ตอนนั้นอยากได้อิสระ แต่พออิสระเข้าจริงๆ นางพบว่าตัวเองไม่มีความสุข ชีวิตข้างนอกลำบากยากเข็ญเกินไปโดยแท้ ความเป็นอมตะนั้นทำให้ถูกคนหาวิธีเล่นสนุกมากมายไม่ซ้ำ
น่าเวทนาจนไม่อยากเห็น
จนกระทั่งตอนนี้ ความพิเศษนั้นก็ใกล้จะหายไป ไม่อาจทำให้ร่างกายตนกลับมาเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยนางยังประคองตัวได้ แท่นโม่ที่น่าเวทนาเหมือนกับนาง บัดนี้ก็ใกล้ตายแล้ว
เป็นเช่นนี้ต่อไป อย่างมากสิบกว่าปี ความเป็นอมตะของนางจะหายไปโดยสมบูรณ์ ตอนนั้นนางคิดว่าตัวเองอาจกลายเป็นเศษธุลีในพริบตา
นางกำลังรอ รอความตายมาเยือน
ดวงตาของนางจึงเลื่อนลอยไปนานแล้ว และไม่ว่าอย่างไร นางก็ไม่เคยคิดว่าจะสัมผัสถึงกลิ่นอายของสวี่ชิงในเผ่านภาคิมหันต์!
นี่เป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับนาง เพราะที่นี่อยู่ห่างเขตปกครองผนึกสมุทร…ไกลมากเหลือเกิน
ดังนั้นนางถึงตะลึงและตื่นเต้น
แขนข้างเดียวที่เหลือก็ออกแรงตบแท่นโม่ข้างกาย แต่น่าเสียดาย แท่นโม่นิ่งไม่ไหวติง
และการกระทำเช่นนี้ของนางก็ดึงความสนใจเจ้าของแผง
นี่คือผู้ฝึกบำเพ็ญที่มีเกล็ดสีขาวทั้งตัวและส่วนหัวคล้ายกับเผ่ามนุษย์ แต่ที่ต่างคือดวงตาเขามีสามดวง
ดวงตาตรงกลางเป็นสีขาวล้วน ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นทะลุความว่างเปล่าได้
ยอดศีรษะของเขาถึงกับมีภูเขาขนาดเล็กลูกหนึ่งวนเวียนอยู่
ชัดทีเดียว คนผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมมหกรรมออกล่า
ยามนี้เขามองสวี่ชิง สายตาตกที่ภูเขาขนาดเล็กเหนือศีรษะสวี่ชิงก่อน จากนั้นพินิจพิเคราะห์สวี่ชิงหลายครั้ง ประกายมืดหม่นฉายวาบ
“เผ่ามนุษย์? ในนภาคิมหันต์เจอน้อยคนทีเดียว”
สวี่ชิงสีหน้าปกติ เขารู้เผ่าของอีกฝ่ายเช่นกัน
“เผ่าไป๋เจ๋อ
สวี่ชิงไม่ได้รู้สึกดีอะไรกับเผ่านี้ กลุ่มที่ทุ่มกำลังร่วมสงครามฟ้าทมิฬในแดนใหญ่วิญญาณทมิฬก็คือเผ่านี้
เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก พลันชี้มนุษย์หุ่นฟาง
“สิ่งนี้ขายอย่างไร”
ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อยิ้ม ยกมือคว้า มนุษย์หุ่นฟางพลันลอยมา ถูกมือที่มีแต่เกล็ดสีขาวของเขากำไว้ในฝ่ามือ บีบคลึงไปพลางมนุษย์หุ่นฟางส่งเสียงร้องน่าสังเวช
“แม้สิ่งนี้ระดับต่ำนัก แต่ก็น่าสนใจ มีส่วนพิเศษของเทพเจ้า มีแนวคิดของความอมตะ น่าศึกษาทีเดียว”
“อีกอย่าง วิญญาณที่ผนึกข้างในเป็นวิญญาณเผ่ามนุษย์ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกบำเพ็ญหญิง หน้าตาก็ใช้ได้ แม้ข้าเล่นจนเบื่อแล้ว แต่ราคาสิ่งนี้ยังสูงอยู่”
ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อมองสวี่ชิง สังเกตสีหน้าเขาแล้วยิ้มกล่าว
“หรือว่า นางเป็นสหายของเจ้า หากเป็นเช่นนั้น เจ้าเอาภูเขาต้องห้ามบนหัวเจ้ามาแลกได้!”
“ยังมีแท่นโม่ครึ่งซีกนั่นด้วย มาจากที่เดียวกับมนุษย์หุ่นฟาง แต่น่าเสียดายมันใกล้สลายแล้ว ถ้าเจ้าต้องการ ถือเป็นของแถมให้เจ้าได้”
คำพูดของผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อดึงความสนใจผู้ฝึกบำเพ็ญรอบด้าน หลายสายตาจึงกวาดมา บ้างก็มีเสียงหัวเราะเยาะ
ตั้งแต่เข้าย่านการค้านี้ สวี่ชิงก็รับรู้ได้ถึงความคิดชั่วร้ายจากสายตามากมาย ในนั้นมีความเหยียดหยามไม่น้อย
การตกต่ำของเผ่ามนุษย์ทำให้เผ่าแข็งแกร่งในปัจจุบันมองว่าฐานะต่ำต้อยไม่พอ จะไม่ถูกเอามาใส่ใจเลยด้วยซ้ำ รังแกก็รังแกไป ฆ่าก็ฆ่าไป
เพียงแต่ภูเขาต้องห้ามเหนือศีรษะสวี่ชิงแสดงฐานะผู้เข้าร่วมมหกรรมออกล่า ถึงได้ทำให้คนอื่นเห็นความสำคัญอยู่บ้าง
เพราะตอนมหกรรมออกล่า ผู้เล่นเข่นฆ่ากันเองเป็นกฎข้อหนึ่ง แต่ผู้ไม่มีคุณสมบัติจะออกมือไม่ได้
กับเสียงหัวเราะเยาะและสายตารอบด้าน สวี่ชิงยังสีหน้าเรียบนิ่ง ส่ายหน้าหันกายจะจากไป
ราคานี้เขาไม่รับอยู่แล้ว
เห็นสวี่ชิงจะไป ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อผู้นั้นออกแรงบีบมนุษย์หุ่นฟาง แต่ครั้งนี้นางกัดฟัน พยายามควบคุมไม่ให้ตัวเองร้องเจ็บปวด
“น่าสนใจนี่”
ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อหัวเราะ มองสวี่ชิงที่จากไปและเริ่มหรี่ตา ดวงตาที่สามบนหน้าผากเผยแสงสีขาวยากสังเกตเห็น
ในนั้นพลันปรากฏเงามายาของสมบัติลับสี่คลังแล้ววาบหายไป
‘สี่สมบัติวิญญาณลับ…’
ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อพึมพำในใจ ดวงตาที่สามกลับมาปกติ เอ่ยปากโดยพลัน
“เผ่ามนุษย์สหายร่วมมรรคา เลือดเนื้อสิ่งมีชีวิตประเภทเทพชั้นดีหนึ่งร้อยชั่งเป็นอย่างไร”
สวี่ชิงชะงักฝีเท้า ใคร่ครวญในใจ เขาสัมผัสได้ว่าหากติงหนึ่งสามสองอยู่พร้อมหน้าอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง และที่สำคัญที่สุด นี่คือหนึ่งในความยึดติดของเขา
เขาเป็นผู้ดูแลของเขตติงหนึ่งสามสอง อดีตเจ้าวังแต่งตั้งด้วยตัวเอง
หลังจากนิ่งเงียบ สวี่ชิงจึงหยิบถุงใส่ของออกมา
เขามีเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตประเภทเทพ ได้มาจากแดนใหญ่เซ่นจันทรา แม้จำนวนไม่มาก แต่ยังพอมีหลายร้อยชั่ง
สวี่ชิงจึงโยนถุงใส่ของเข้าไปทันที
ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อรับแล้วสัมผัสดู พยักหน้าพอใจ จากนั้นโยนมนุษย์หุ่นฟางในมือออกมาส่งๆ
ยังมีแท่นโม่ ถูกเขาโบกมือลอยมาตกที่สวี่ชิง
สวี่ชิงสะบัดแขนเสื้อ รับมนุษย์หุ่นฟางกับแท่นโม่ไว้และหมุนกายจากไป
มองเงาหลังของสวี่ชิง ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อเลียริมฝีปากแล้วเริ่มจัดของหลากชนิดของตน
ส่วนทางด้านสวี่ชิง เขาเดินไปพลางส่งมนุษย์หุ่นฟางกับแท่นโม่เข้าไปในเขตติงหนึ่งสามสอง ชั่วขณะที่เข้าคุก ศีรษะกับสิงโตหินและตาเฒ่าเผ่าจิตรกรรมล้วนตื่นเต้นในระดับต่างกัน
กระทั่งนิ้วมือเทพเจ้ายังแผ่กลิ่นอายออกมา ทำให้มนุษย์หุ่นฟางฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ทางด้านแท่นโม่ก็งอกอีกครึ่งหนึ่งออกมา
“พร้อมหน้าแล้ว”
ศีรษะยิ้ม
จากนั้น เขตติงหนึ่งสามสองเริ่มสั่นสะเทือน การกลับมาของนักโทษทุกคนทำให้คุกที่ถูกเคราะห์หายนะสาปแช่งเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มวลความเปลี่ยนแปลงกำลังปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
สวี่ชิงเห็นเช่นนั้น ถอนจิตเทพกลับมา มองแผงลอยของผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อผาดหนึ่งด้วยหางตา เดินหน้าต่อไป
ผ่านไปสองชั่วยาม สวี่ชิงพบกับนายกอง
นายกองสีหน้ากังวล แต่นัยน์ตากลับเผยความพึงใจ ให้ความรู้สึกเหมือนแกะอ้วนขี้ขลาด รีบลากสวี่ชิงออกไป
“ข้าตกได้เจ็ดแปดตัว เดาว่ายังมีบางส่วนที่มาเองโดยที่ข้าไม่ได้ไปตก”
“เจ้าล่ะอาชิงน้อย ได้อะไรมาบ้าง”
“ได้อันหนึ่ง” สวี่ชิงกล่าว
“แค่อันเดียว? ของใหญ่?” นายกองกะพริบตา
สวี่ชิงพยักหน้า
นายกองตื่นเต้น ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีก ออกจากย่านการค้าจันทร์ทมิฬเร็วราวกับบิน มุ่งไปยังที่ไกลด้วยท่าทางใช้แรงสุดกำลัง ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังพวกเขาจากไป เวลาผ่านไปทีละน้อย ระหว่างทางทั้งสองควบคุมความเร็ว แม้ไม่ได้หยุดพัก แต่โดยรวมประคองอยู่ในระดับที่สมบัติวิญญาณตามทันได้
แต่กระทั่งผ่านไปครึ่งวัน ก็ไม่เห็นใครปรากฏตัว
นายกองแปลกใจเล็กน้อย
“ไม่ได้นะ ผู้ฝึกบำเพ็ญนภาคิมหันต์เปลี่ยนเป็นซื่อบื้อขนาดนี้เมื่อไร หรือว่าข้ายังทำไม่ชัดเจน หรือชัดเจนเกินไป”
นายกองเสียใจเล็กน้อย เหลียวมองบ่อยครั้ง
สวี่ชิงสัมผัสครู่หนึ่ง มองขอบฟ้าที่ไกลออกไป เอ่ยคำกะทันหัน
“ก็เป็นไปได้ มีคนฝ่ายหนึ่งเคลื่อนไหว ทำให้คนที่มีเป้าหมายอื่นสั่นสะท้าน ราวกับพื้นที่ต้องห้ามก่อนหน้านี้ถูกประทับตรา”
สวี่ชิงกล่าวพลางยกแขนเสื้อ พิษต้องห้ามกระจายออก แตะข้างในเล็กน้อย
ฉับพลันแขนเสื้อที่เคยเป็นปกติทุกอย่างมีรอยประทับขนาดเท่าเล็บมือปรากฏเป็นพักๆ
“นี่เป็นสิ่งที่ผู้เข้าร่วมมหกรรมออกล่าเผ่าไป๋เจ๋อแอบทิ้งไว้ให้ข้า เขาเคยแอบสัมผัสพลังฝึกบำเพ็ญของข้า ชี้ได้ว่าข้าคือสมบัติวิญญาณลับสี่คลัง แต่เขาคือสมบัติวิญญาณขั้นสมบูรณ์”
“ดังนั้น พวกเรารออีกหน่อย เขามีภูเขาต้องห้ามลูกหนึ่ง”
สวี่ชิงพลันเคลื่อนกายลงบนยอดเขาเบื้องล่างและนั่งลงไป
นายกองตาเป็นประกาย เลียริมฝีปาก นั่งมองม่านฟ้าตั้งตารออยู่ข้างกายสวี่ชิง
หนึ่งชั่วยามผ่านไป ตอนเห็นรุ้งยาวสามสายปรากฏที่ขอบฟ้า นัยน์ตานายกองฉายแววตื่นเต้น
รุ้งสามสายนั้นว่องไวยิ่ง คล้ายสัมผัสรู้ทิศทางได้ บัดนี้ลากทะลุขอบฟ้า หวีดคำรามมาทางสวี่ชิง ตอนห่างไปหนึ่งพันจั้ง สายรุ้งพลันหยุดกลายเป็นเงาร่างสามสาย
นั่นคือผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อสามคน
ผู้ฝึกบำเพ็ญฝั่งขวาคือเจ้าของแผงลอยที่ขายมนุษย์หุ่นฟางให้สวี่ชิง ส่วนผู้ฝึกบำเพ็ญตรงกลางชัดว่าแต่งตัวหรูหราไม่น้อย กลิ่นอายบนกายก็เหนือกว่าเจ้าของแผงลอยผู้นั้น บรรลุถึงหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งแล้ว
คนสุดท้ายกลับเป็นสมบัติลับขั้นสมบูรณ์
บัดนี้หลังจากทั้งสามปรากฏ เจ้าของแผงลอยชี้สวี่ชิง พูดกับไป๋เจ๋อหวนสู่อนัตตาข้างกายเสียงค่อยสองสามประโยค จากนั้นสายตาตกอยู่ที่สวี่ชิงกับนายกอง เผยรอยยิ้มเหมือนในย่านการค้าจันทร์ทมิฬ
“เผ่ามนุษย์ ไม่ว่าพวกเจ้าตกเหยื่อในย่านการค้าจันทร์ทมิฬหรือไม่ล้วนไม่เป็นไร พอข้าเห็นเจ้าก็ไม่ได้คิดจะมาคนเดียว”
“ภูเขาต้องห้ามบนหัวเจ้าลูกนั้น พวกเราจองไว้แล้ว”
“อีกอย่าง แม้ไม่รู้ฐานะของเจ้าในเผ่ามนุษย์ แต่ข้ายังบอกข้อมูลเกี่ยวกับเผ่ามนุษย์พวกเจ้าในปัจจุบันได้สองอย่างโดยไม่คิดค่าตอบแทน”
ผู้ฝึกบำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อมองภูเขาต้องห้ามเหนือศีรษะสวี่ชิง เลียริมฝีปาก
“เผ่ามนุษย์พวกเจ้าประสบความพ่ายแพ้ที่สนามรบทางตะวันตกเฉียงเหนือ แม้ราชครูของพวกเจ้าฝืนยั้งไว้ แต่กรมบวงสรวงของเผ่าคุมหายนะมาถึงสนามรบแล้วเช่นกัน ได้ยินว่าเผ่ามารเงาก็ถูกโน้มน้าว จะเข้าร่วมด้วยแน่ะ”
“ตะวันตกเฉียงเหนือของพวกเจ้าอยู่ในขั้นล่อแหลมแล้ว”
“ส่วนสนามรบเผ่าฟ้าทมิฬ แม้เผ่าข้าถูกกองทัพพวกเจ้าควบคุม กำลังของเขตปกครองผนึกสมุทรพวกเจ้ากวาดล้างแดนใหญ่วิญญาณทมิฬอย่างรวดเร็ว แต่เจ้ารู้หรือไม่ การควบคุมนี้…คือเป้าหมายของเราอยู่แล้ว”
“ในสองที่นี้ เผ่ามนุษย์พวกเจ้าบาดเจ็บล้มตายย่อยยับอย่างยิ่ง”
“อย่างคนถูกมัดสองมือไว้หมด เช่นนั้นจะหลบหอกที่พุ่งเข้าหัวใจอย่างไรล่ะ”
รอยยิ้มบนหน้าผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อแย้มบาน มองสวี่ชิงอยู่กลางอากาศ
“ตอนที่ข้าพูดอยู่นี้ บนสนามรบเผ่ามนุษย์พวกเจ้าอาจตายไปอีกหลายร้อยคนแล้วก็ได้”
พูดจบ ผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อสังเกตสีหน้าสวี่ชิง คำพูดทั้งหลายของเขาล้วนมีเจตนาแอบแฝง เป้าหมายคือดึงให้พวกสวี่ชิงออกไปจากเขาลูกนี้
เขาสัมผัสได้จากรอยประทับว่าพวกสวี่ชิงหยุดพักอยู่ที่นี่ นิสัยระวังตัวทำให้เขาคิดว่าอีกฝ่ายอาจจะวางแผนไว้ที่นี่ เขาไม่อยากเสี่ยง
สำหรับสวี่ชิงกับนายกองที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย พวกเขาอ่านความคิดเหล่านี้ได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง
“เขาเป็นของข้า” สวี่ชิงกล่าวสงบนิ่ง
“อีกสองคนข้าจัดการเอง ไม่ได้กินเผ่าไป๋เจ๋อมานานแล้ว” นายกองหัวเราะ
ขณะพูด ร่างทั้งสองพลันหายไป กลางอากาศ คมอาวุธพลันปรากฏรอบด้านผู้ฝึกบำเพ็ญไป๋เจ๋อทั้งสาม
…………………………………….