ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 824 เหมือนแพะ เหมือนมาร
บทที่ 824 เหมือนแพะ เหมือนมาร
เผ่าไป๋เจ๋อ อยู่ในบรรดาเผ่าที่สวามิภักดิ์ต่อเผ่านภาคิมหันต์ ไม่ได้มีความสลักสำคัญอะไร เทียบกับเผ่าคุมหายนะแล้วยิ่งยากที่จะเปรียบเทียบ
เผ่าอย่างเผ่าไป๋เจ๋อเช่นนี้ ในเผ่านภาคิมหันต์มีเยอะแยะนัก
“โดยปกติแล้ว เผ่าประเภทอย่างเผ่าไป๋เจ๋อล้วนมีจุดที่เหมือนกันจุดหนึ่ง สำหรับต่างเผ่าแล้ว พวกเขาจะแสดงออกด้วยอย่างดุดันเหี้ยมเกรียมสุดขีด แต่สำหรับเผ่านภาคิมหันต์และเผ่าที่สวามิภักดิ์ที่มีระดับสูงกว่า พวกเขาจะประจบสอพลอโดยไร้ซึ่งขอบเขตใดๆ”
เสียงของนายกอง ท่ามกลางประกายแสงเจิดจ้าในฟ้าดิน ดังก้องไปทั่วทิศ
“ดังนั้นพวกเขาที่ไม่กล้าแย่งชิงผู้เข้าร่วมมหกรรมล่าเหยื่อเผ่าอื่นๆ เมื่อเห็นพวกเราก็ย่อมคิดว่าเป็นแพะอ้วนพีไปตามธรรมชาติ”
นายกองขณะพูดแกมหัวเราะ แสงสีฟ้าก็ปะทุ ความเย็นยะเยือกที่คล้ายว่าผนึกแช่แข็งมิติได้กลุ่มหนึ่งปกคลุมบริเวณรอบๆ เป็นระยะพันลี้
ในพันลี้นี้ประดุจความหนาวเหน็บอันหฤโหดลงมาเยือน แผ่นดินยอดเขากลายเป็นภูเขาน้ำแข็ง ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นน้ำแข็งสลักไปในทันที แม้แต่เมฆหมอกในอากาศก็มีน้ำหนักขึ้นมา ร่วงลงสู่พื้นดิน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อที่อยู่ตรงกลางเลย
“แต่มีอสูรพื้นที่ต้องห้ามประเภทหนึ่ง รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนแพะ แต่คนพื้นที่เรียกพวกมันว่ามาร”
นายกองยกมือ กดไปทางผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อ
ผู้บำเพ็ญระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งและผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์ที่อยู่ข้างๆ ต่างหน้าเปลี่ยนสี ฝ่ายแรกยังดี พลังบำเพ็ญหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งทำให้สำหรับกฎเกณฑ์และกฎระเบียบ เขามีวิถีของตัวเอง
ดังนั้นเส้นไหมรอบกายเขาพันล้อม ก่อเป็นเตาหลอม แล้วพลันปะทุขึ้น
แต่ผู้บำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์ที่อยู่ข้างๆ เห็นได้ชัดว่าสู้ไม่ได้ ไม่ว่าสมบัติวิญญาณห้าคลังจะปะทุขึ้นมาอย่างไร ก็ยากจะสั่นคลอนผนึกแช่แข็งได้ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของอากาศเช่นนี้ ร่างของเขาก็ร่วงลงไปจามเมฆหมอกอย่างไม่อาจควบคุมได้
ภาพนี้ทำให้ความตื่นตะลึงในใจของพวกเขาทั้งสองคน ขณะที่ใจหล่นวูบ ผู้บำเพ็ญต้นเหตุของครั้งนี้ เจ้าของแผงเผ่าไป๋เจ่อคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปในทันทีเช่นกัน ร่างพลันถอยหลังไป
เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤตเป็นตาย และเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของเรื่องราว นี่แตกต่างจากที่เขาคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล
แต่ตอนนี้เขาไม่ทันไปคิดอะไรมากมายแล้ว พลังบำเพ็ญระดับสมบัติวิญญาณบริบูรณ์ปลดปล่อยออกมาทุกด้าน สมบัติลับห้าคลังปะทุเพลิงท่วมฟ้า กระทั่งว่าในวิกฤตอันตรายนี้ เขาเผาไหม้พลังชีวิตของตัวเองไปตามสัญชาตญาณ
ใช้การกระทำนี้แลกมาซึ่งพลังที่เพิ่มขึ้น จากไปไกลในพริบตา
แต่ก็ช้าไปแล้ว
แทบจะในทันทีที่เจ้าของแผงเผ่าไป๋เจ๋อคนนี้พุ่งออกไป ร่างของสวี่ชิงก็มาปรากฏข้างหลังเขา ไม่ว่าความเร็วของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อคนนี้จะเร็วแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์
สลัดสวี่ชิงไม่หลุดเลยแม้แต่น้อย
สวี่ชิงที่อยู่ข้างหลังเขา ชุดนักพรตปลิวสะบัด ผมยาวทั้งศีรษะปลิวพริ้ว มือขวาที่ยกขึ้นขาวบริสุทธิ์ราวหยก ไม่มีกลิ่นอายโลกีย์แม้แต่น้อย
ทว่ากริชดำพันด้วยผ้าห่อศพที่อยู่ในมือขวากลับแผ่กลิ่นอายแห่งความตายที่เข้มข้นเป็นอย่างยิ่งออกมา
กลิ่นอายนี้โจมตีไปทั่วทุกสารทิศ และทำให้จิตใจของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อคนนั้นมีสายฟ้าฟาดผ่าด้วยเช่นกัน กลิ่นอายความตายแปรเปลี่ยนเป็นคลื่น ท่วมจมเขาจนมิด เขาคิดอยากจะหลบหลีก แต่ร่างกายกลับสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว
เขาคิดอยากจะต่อต้าน แต่อำนาจสยบที่มาจากผู้บำเพ็ญข้างหลังแปรเปลี่ยนเป็นพลังกดดัน สมบัติลับทั้งห้าคลังล้วนพังถล่ม
เขาอยากกระตุ้นวิถีสวรรค์ทั้งห้าของตัวเอง แต่พวกมันที่ก่อตัวขึ้น กำลังเนื้อตัวสั่นเทา
พลังบำเพ็ญบดขยี้ วิถีสวรรค์บดขยี้ กลิ่นอายบดขยี้ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกำลังบดขยี้
ดังนั้นสิ่งที่ตลบอวลอยู่ในใจของเขามีเพียงความตื่นกลัวเท่านั้นจนกระทั่งเสี้ยวอึดใจต่อมา มือของสวี่ชิงทะลุผ่านคอของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจอที่อยู่ข้างหน้า กริชที่ถืออยู่แตะไปที่คอของอีกฝ่าย
เหมือนกับตอนเด็กๆ แบบนั้น…
ปาดไปอย่างโหดเหี้ยม
เลือดสาดกระจาย ไม่มีเสียงร้องน่าเวทนา มีเพียงเสียงฉัวะๆ ที่ดังมา ตัวและศีรษะ…แยกจากกัน
จากการร่วงลงไปที่พื้น ไหมวิญญาณแต่ละเส้นๆ พุ่งออกมาจากร่างสวี่ชิง ไล่ตามไปในทันที พุ่งไปในร่าง จะกลืนกินวิญญาณของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อคนนี้
ไม่นานนัก ศพนี้ก็แห้งเหี่ยว วิญญาณที่อยู่ในนั้นถูกไหมวิญญาณของสวี่ชิงดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง แปรเปลี่ยนเป็นไหมวิญญาณเพิ่มมากขึ้น แล้วถึงได้พุ่งออกมา
ส่วนศพก็กลายเป็นเศษเถ้าธุลี
ในขณะเดียวกันนี้ บนสนามต่อสู้อีกแห่ง นายกองขณะที่หัวเราะเหี้ยมเกรียม ร่างส่งเสียงบึ้มระเบิดออก แปรเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้านับไม่ถ้วน ในแสงสีฟ้าทุกทางมีหนอนสีฟ้าตัวหนึ่ง พุ่งไปหาผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่งคนนั้นจากทั่วทุกสารทิศ ห่อหุ้มไป
ไม่ว่าคนคนนี้จะดิ้นรนอย่างไร ทำการโจมตีกลับอย่างไรก็ล้วนไร้ประโยชน์ เพียงพริบตาผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อระดับหวนสู่อนัตตาคนนี้ก็ถูกหนอนสีฟ้าล้อมรอบ กลายเป็นก้อนเนื้อสีฟ้าขนาดมหึมา
มองไปให้ละเอียด ก้อนเนื้อก้อนนี้จับกลุ่มขึ้นมาจากหนอนนั่นเอง ในขณะที่ดูน่าสยดสยองขนลุก ก็มีเสียงเคี้ยวและเสียงร้องโหยหวนครวญครางดังออกมาจากก้อนเนื้อก้อนนี้ด้วย
สวี่ชิงกวาดสายตามองไป เห็นกำลังรบของนายกองเมื่อเทียบกับในตอนที่เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์เมื่อก่อนหน้านี้ก็แข็งแกร่งขึ้นมาอีกเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตลอดทางมานี้ จิตใจที่อยากเอาชนะของนายกองดวงนั้น ทำให้เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์มาได้เงียบๆ ไม่น้อยเลย
สวี่ชิงหัวเราะ มือขวายกขึ้น รับไหมวิญญาณที่กลับคืนมาหลังจากที่กลืนกินเจ้าของแผงเผ่าไป๋เจ๋อ
ขณะที่ไหมวิญญาณเหล่านั้นหลอมผสาน ในก้อนเนื้อที่แปลงมาจากนายกอง เสียงร้องเงียบหายไป จากการเคลื่อนไหวขยุกขยิก ร่างของนายกองก็หลอมขึ้นมา เลียริมฝีปากพลางมองไปทางสวี่ชิง
“อาชิงน้อย เผ่าไป๋เจ๋อก็ยังคงรสชาติล้ำเลิศถึงเพียงนั้น นอกจากนี้ จากความทรงจำของอีกฝ่ายข้ายังรู้ข้อมูลที่น่าสนใจอีกสองเรื่องด้วย”
“เรื่องแรก เจ้าคนนั้นที่เจ้าเลือกเป็นอัจฉริยะในเผ่าไป๋เจ๋อเชียวนะ เชี่ยวชาญในการซ่อนอำพรางมาก ส่วนเจ้าคนนี้ที่ข้าฆ่า ดูเหมือนแข็งแกร่งกว่าเขา แต่ความจริงแล้วเพิ่งก้าวสู่ขั้นหวนสู่อนัตตา วิถีสำเร็จไปไม่กี่ทาง ในความทรงจำของเขา พวกเขาทั้งสองคนเคยสู้กันมาก่อน เขาเป็นฝ่ายที่ถูกลอบโจมตีสู้แพ้”
“ที่เป็นเศษสวะที่สุดคือเจ้านี่”
นายกองพูดพลางยกมือคว้า ทันใดนั้นผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อคนสุดท้ายที่ถูกแช่แข็งผนึกร่วงลงพื้นไปในทันทีเมื่อก่อนหน้านี้ ร่างที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไป ลอยมาอยู่ในมือของเขาทันที
สวี่ชิงพยักหน้า
เขาสัมผัสได้ว่า จำนวนไหมวิญญาณที่กลับมาไม่ค่อยถูก น้อยไปส่วนหนึ่ง
รวมกับคำพูดของนายกอง เห็นได้ชัดว่าเจ้าของแผงเผ่าไป๋เจ๋อคนนั้นมีวิชารักษาชีวิตของเขา ดูเหมือนตาย แต่ความจริงแล้วแกล้งตายทำการอำพราง
รอบๆ กว้างโล่ง ไม่มีระลอกคลื่นพลังใดๆ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ก็อาจจะไม่มีวิธีที่จะหาอีกฝ่ายได้เจอในทันที แต่ว่าสำหรับสวี่ชิงแล้ว เรื่องนี้ไม่ยาก
ดวงตาทั้งสองของเขาดำสนิทไปในทันที พิษต้องห้ามพลันแผ่ออก แผ่ลามไปทั่วทุกทิศอย่างรวดเร็ว ทุกที่ที่ผ่าน ฟ้าดินล้วนเป็นพิษ
นายกองดวงตาเบิกโพลงไปในทันที
“ปล่อยพิษอีกแล้ว เจ้านี่ที่อยู่ในมือข้าจะเสียเปล่าไม่ได้นะ เป็นวัตถุดิบอาหารชั้นเยี่ยมเลย”
นายกองประสานปางมือชี้ไป ขณะที่ร่างสาดแสงสีฟ้าวูบวาบ ร่างของผู้บำเพ็ญเผ่าไป๋เจ๋อคนสุดท้ายก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นผิงกั่วเขียวหลายร้อยลูก กระจายออกไป
ถูกเขาสะบัดแขนเสื้อรับเอาไว้ ร่างแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีฟ้า ผสานไปในมิติ
เช่นนี้เอง จากการแผ่พิษต้องห้ามของสวี่ชิง ขณะที่พุ่งพล่าน มิติที่ไกลๆ บิดเบี้ยว ดวงตาสีขาวขนาดเท่ากำปั้นข้างหนึ่ง จำต้องปรากฏออกมา
ในดวงตาของตาข้างนี้ฉายแววตื่นกลัว ยิ่งมีความเด็ดเดี่ยว
ก่อนหน้านี้เขาอยู่ใกล้เกินไป ไม่กล้าส่งข้าม กลัวถูกขัดขวาง เดิมคิดจะซ่อนตัวรอพวกสวี่ชิงจากไป ขณะเดียวกันก็ขยับตัวเงียบๆ ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกเจอตัวเร็วขนาดนี้ ดังนั้นจึงสำแดงการส่งข้ามอย่างไม่ลังเล จากระลอกคลื่นที่แผ่ออก ดวงตานี้ก็รางเลือนไปในทันทีอีกครั้ง จะเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาจากไป
สายตาของสวี่ชิงสงบนิ่ง มือขวายกขึ้นสะบัด ไหมวิญญาณในร่างแผ่ออกทันที จัดเรียงจับกลุ่มอย่างรวดเร็วทีสะเส้นๆ ข้างหน้าเขา เพียงพริบตาก็ก่อเป็นนาฬิกาแดดเรือนมหึมา
จากการขยับของเข็มนาฬิกา กฎเกณฑ์เวลาลงมาเยือนฟ้าดินในเสี้ยวขณะนี้
สายตาของสวี่ชิงที่มองไป บริเวณที่ดวงตาข้างนั้นส่งข้าม เวลาหมุนย้อน หมอกตลบม้วนกลับ ระลอกคลื่นส่งข้ามจากแผ่ไปข้างนอกเปลี่ยนมาหดกลับ ดวงตาที่รางเลือนไปในนั้น ก็เปลี่ยนจากความรางเลือนมาชัดเจน
สีหน้าของมันหวาดกลัวก็เช่นกัน
เสี้ยวขณะต่อมา พลังของนาฬิกาแดดหายไป ดวงตาฉายแววตื่นตะลึงรูม่านตาหดเล็ก คิดจะส่งข้ามอีกครั้ง คิดจะซ่อนตัวอำพราง แต่ว่าทำไม่ได้ ร่างของสวี่ชิงมาปรากฏต่อหน้ามันแล้ว
มือขวาเงื้อขึ้น แล้วซัดออกไป
ดวงตาแดงก่ำ ส่งเสียงแห่งวิญญาณออกมา แต่ไม่มีประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ภายใต้พลังแข็งแกร่งอันเด็ดขาด การขัดขืนของมันไร้ซึ่งความหมายใดๆ
เสียงบึ้มดังขึ้น ดวงตาแหลกละเอียด
นาฬิกาแดดแปรเปลี่ยนเป็นไหมวิญญาณ พุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว ในยามที่กลับมาก็นำไหมวิญญาณที่มากขึ้น ผสานไปในร่างของสวี่ชิงทุกเส้น
มองไปไกลๆ สวี่ชิงในเสี้ยวขณะนี้ นอกร่างไหมวิญญาณสีแดงก่ำนับไม่ถ้วนขยุกขยิก การสะบัดพริ้วจากการพุ่งเข้ามาของพวกมัน ทำให้สวี่ชิงทั้งคนดูเหมือนมาร
ส่วนนายกองที่อยู่ข้างๆ ตอนนี้เงาร่างปรากฏออกมา ยิ้มร่ามาองไปทางสวี่ชิง ขณะเดียวกันก็ถือผิงกั่วเขียว วางไว้ที่ปากแล้วกัดไปคำหนึ่ง
“อาชิงน้อย ท่าทางของเจ้าแบบนี้ แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี”
สวี่ชิงมองผิงกั่วในมือของนายกองผาดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
นายกองยกมือ โยนไปลูกหนึ่ง
สวี่ชิงรับมา วางไว้ที่ปากแล้วกัดไปคำหนึ่ง หอมหวานมาก
สำหรับเขา ประสบการณ์ตั้งแต่เด็กๆ โดยพื้นฐานแล้วนอกจากเนื้อของเผ่าเดียวกัน อะไรก็เคยกินมาแล้วทั้งนั้น
เห็นสวี่ชิงเหมือนกับตัวเอง นายกองมีความสุขนัก กอดคอสวี่ชิงเอาไว้ เอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
“แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง”
“ผู้มีอำนาจคนหนึ่งของเผ่านภาคิมหันต์ เพื่อเฉลิมฉลองมหกรรมล่าเหยื่อ ยินดีที่จะเปิดพื้นที่ต้องห้ามในดินแดนของตัวเองให้กับผู้บำเพ็ญที่เข้าร่วมมหกรรมล่าเหยื่อทุกคน”
“ผู้มีอำนาจเผ่านภคิมหันต์คนนี้ ในพื้นที่ต้องห้ามของดินแดนเขามีแห่งหนึ่งมีภูเขาต้องห้ามอยู่ยี่สิบกว่าลูก”
“จากข่าวที่ข้าได้มาเมื่อครู่ พวกเราตอนนี้รีบออกเดินทางน่าจะไล่ตามไปทัน”
“ในเมื่อเจ้ามีสิทธิ์รายชื่อมหกรรมล่าเหยื่อ เช่นนั้นครั้งนี้ พวกเราลุยกันเลย แบบนี้พวกเราถึงจะใช้ฐานะที่ยิ่งสมเหตุผลเข้าไปในแดนเทวะ ทำการใหญ่ของข้าได้สำเร็จ นอกจากนี้…ไม่แน่ว่าอาจจะได้ตำแหน่งขุนพลนภาทมิฬมาก็ได้!”
“อาชิงน้อย ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยเจ้าสุดกำลังเลย!”
นายกองตบอกปุ ดวงตาฉายประกายวาววาม
“เจ้าจำไว้ด้วย หากพวกเราสุดท้ายทำสำเร็จ เจ้าได้เป็นขุนพลนภาทมิฬจริงๆ ให้ข้ายืมชุดสักสองสามปีนะ”
สวี่ชิงได้ยินก็พยักหน้าหงึกๆ มือขวายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้น ภูเขาต้องห้ามที่เป็นของเจ้าของแผงเผ่าไป๋เจ๋อคนนั้นก็ลอยออกมา ลอยอยู่ที่เหนือศีรษะเขา
ภูเขาต้องห้ามสองลูก วนล้อมซึ่งกันและกัน ระหว่างพวกมันสายฟ้าสีแดงแต่ละเส้นๆ สอดประสาน ประดุจลากเป็นเส้นไหม
ประเดี๋ยวๆ ก็มีสายฟ้าปะทะกัน เกิดเป็นดอกไม้ไฟ ส่องสว่างทั่วสารทิศ แม้อยู่ห่างไกลลิบลับก็ยังเห็นได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าเป็นที่หนึ่งต้องใช้ภูเขาต้องห้ามเท่าไร”
สวี่ชิงเงยหน้ามองไปยังภูเขาทั้งสองลูกที่อยู่เหนือศีรษะ พลันเอ่ยขึ้นมา
“จะอย่างไรก็ต้องสักร้อยลูกกระมัง”
นายกองพูดไปส่งๆ
“เช่นนั้นก็ร้อยลูก”
สวี่ชิงในดวงตาประกายเย็นเยือกฉายวาบ ร่างเพียงไหววูบก็พุ่งไปยังที่ไกลอย่างรวดเร็ว นายกองกะพริบตาปริบๆ หัวเราะพลางไล่ตามไป ไม่นานนักเงาร่างของทั้งสองคนก็หายไปจากม่านฟ้า
มุ่งหน้าตรงไปยังพื้นที่ต้องห้ามที่ผู้มีอำนาจเผ่านภาคิมหันต์เปิดออกเพื่อฉลองมหกรรมล่าเหยื่อแห่งนั้น