ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 828 ทั้งหมดคืออะไร
บทที่ 828 ทั้งหมดคืออะไร
บนยอดเขายี่สิบเจ็ดลูกในพื้นที่ต้องห้าม บัดนี้บนยอดเขาอีกยี่สิบหกลูก ผู้เข้าร่วมการล่าสัตว์ครั้งใหญ่ทุกคนต่างจ้องมองสวี่ชิง
จนถึงบัดนี้พวกเขาต่างสังหารผู้คนมาแล้วไม่น้อยในการฝึกบำเพ็ญ แต่เหตุการณ์ในวันนี้ ยังคงสร้างความปั่นปวนในใจพวกเขาอยู่ไม่น้อย
นี่คือการฆ่าให้ขาดใจตาย และเป็นการฆ่าด้วยพิษ
การฆ่าให้ขาดใจแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม การฆ่าด้วยพิษแสดงให้เห็นถึงความโหดเหี้ยม
โดยเฉพาะอย่างหลัง…
พิษของสวี่ชิง ทำให้ทุกคนตกตะลึง พวกเขารู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของพิษนี้
เมื่อพลังบำเพ็ญถึงระดับหนึ่งแล้ว ความจริงแล้วพิษในโลกนี้มีภูมิต้านทานอยู่มากมาย บางชนิดก็มีภูมิคุ้มกันด้วยซ้ำ
ดังนั้นเดิมที พวกเขาจึงมองข้ามพิษไป
จนกระทั่งได้เห็นพิษที่น่าสะพรึงด้วยตาตัวเองในวันนี้ พิษ…มีความหมายมากขึ้นในความรับรู้ของทุกคน
“ดึงดูดไอพลังประหลาดที่นี่…”
“พิษนี่ไม่ใช่พิษธรรมดา มันคือพิษของเทพเจ้า”
“ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับวิชาเกี่ยวกับเทพเจ้า ชื่อว่าคำสาปเทพเจ้า…”
“มีเพียงวิชาของเทพเจ้าเท่านั้น ที่จะแก้คำสาปเทพเจ้าได้”
ผู้บำเพ็ญในที่แห่งนี้ มองไปยังภูเขาที่เก้าด้วยสายตาหวาดกลัว แต่ในขณะเดียวกัน ความโลภที่ไม่อาจหักห้ามก็ปะทุขึ้น
นี่ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่างใด
เพราะในขณะนี้บนภูเขาที่เก้า ขณะสวี่ชิงนั่งสมาธิ ภูเขาต้องห้ามเหนือศีรษะของเขาก็ตกลงมาทีละลูก
คนที่สามารถมาแย่งชิงภูเขาได้ บางคนก็ครอบครองภูเขาต้องห้ามอยู่แล้ว และการลงมือของสวี่ชิงครั้งนี้ หลังจากสังหารผู้บำเพ็ญบนภูเขาที่เก้าด้วยพิษ ภูเขาต้องห้ามที่พวกเขาครอบครองก็ไร้เจ้าของไป
ขณะที่ตกลงมา สวี่ชิงยกมือขึ้นคว้าเอาไว้ทั้งหมด
รวมยี่สิบสองลูก!
เมื่อรวมกับห้าลูกเดิมของสวี่ชิง ตอนนี้ภูเขาต้องห้ามขนาดเล็กยี่สิบเจ็ดลูกกำลังรายล้อมรอบศีรษะของสวี่ชิง
อัดแน่น เชื่อมถึงกันด้วยสายฟ้า แผ่พลังกดดันอันเข้มข้น
เป็นที่สะดุดตาและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
เพราะดูจากคุณค่าของสวี่ชิง ณ ตอนนี้ก็เทียบเท่ากับพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้แล้ว
พื้นที่ต้องห้าม มีภูเขาต้องห้ามเพียงยี่สิบเจ็ดลูก และมีผู้คนมากมายที่จ้องจะแย่งชิง ทว่าสวี่ชิงกลับมีภูเขายี่สิบเจ็ดลูกเท่ากัน…
ทางไหนได้มาง่ายกว่า ได้ผลตอบแทนมากกว่า ต่างคนต่างคิดเห็นต่างกัน
ดังนั้น หลังจากความเงียบในช่วงสั้นๆ สายตาของหลายคนที่มองสวี่ชิง ก็ทวีความดุร้ายและละโมบยิ่งขึ้น
ทว่าไม่มีใครเลือกที่จะลงมือทันที หากยังไม่พบวิธีแก้และยับยั้งพิษของสวี่ชิง ก็เพียงพอจะทำให้ผู้คนในที่แห่งนี้หวาดกลัวได้
ในขณะเดียวกัน นายกองและชิวเชวี่ยจื่อก็มาถึงภูเขาลูกที่เก้า ปรากฏตัวอยู่ข้างๆ สวี่ชิง
นายกองมองไปรอบๆ เขารู้ว่าสวี่ชิงเคยฆ่าคนมามา และยังเคยเห็นมากับตาแล้ว
แต่ช่วงนี้ ดูเหมือนจะได้เห็นฉากเช่นนั้นน้อยลง
ดังนั้นพอได้เห็นอีกครั้งในคราวนี้ เขาจึงตื่นเต้นเล็กน้อย
ชิวเชวี่ยจื่อตะลึงงันไปโดยสิ้นเชิง เขานิ่งอึ้งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อได้กลิ่นคาวเลือด จิตใจก็พลันปั่นป่วน เมื่อมองแผ่นหลังของสวี่ชิง ความเคารพนับถือก็ยิ่งทวีขึ้น
เผ่านภาคิมหันต์ เป็นเผ่าที่ชื่นชอบความแข็งแกร่ง
ในพระราชวังสีทองกลางเวลา ขุนนางนภาคิมหันต์ต่างโน้มตัวไปข้างหน้า สายตาจับจ้องไปยังสวี่ชิงที่อยู่เบื้องล่าง
“ทีแรกคิดว่าเด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้เป็นเพียงนักฆ่า ทีไหนได้…เป็นดาวมารชัดๆ!”
“การล่าสัตว์ครั้งใหญ่นี้สนุกขึ้น เหล่าเด็กหนุ่มนภาคิมหันต์ควรจะได้รับการกระตุ้นเสียบ้าง”
ขุนนางนภาคิมหันต์ยิ้มน้อยๆ พลางนึกถึงพิษก่อนหน้านี้
“ไม่รู้จัก แต่ดูจากกลิ่นอาย มันมาจากแผ่นดินเทวะ การที่เด็กหนุ่มควบคุมมันได้ แสดงว่าต้องโหดเหี้ยมอย่างยิ่ง”
ในขณะที่ผู้บำเพ็ญบนยอดเขาอื่นๆ ต่างให้ความสนใจกับภูเขาต้องห้ามยี่สิบเจ็ดลูกบนศรีษะของสวี่ชิง สวี่ชิงก็มองไปรอบๆ นับภูเขาต้องห้ามของพวกเขาเช่นกัน
จำนวนของสิบลูกสุดท้ายนั้นมีจำนวนน้อย และจำนวนลูกภูเขาอื่นๆ ที่กำหนดไว้นั้นไม่เท่ากัน
สวี่ชิงหรี่ตาลง
นายกองเข้าใจสวี่ชิง เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าของสวี่ชิงก็ยิ้มบางๆ
สิ่งที่เขาและชิวเชวี่ยจื่อพูดถึงทั้งหมดก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ภูเขาต้องห้ามยี่สิบเจ็ดลูกของพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ แต่เป็นภูเขาของผู้บำเพ็ญทั้งหมดที่นี่!
“รวมแล้วสองร้อยสิบสามลูก”
สวี่ชิงนึกในใจ และเห็นว่าผู้บำเพ็ญที่นี่ส่วนใหญ่เป็นอยู่ในระดับสมบัติวิญญาณ แม้ว่าจะมีระดับมหาขั้นหวนสู่อนัตตาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่มากนั้น ส่วนขั้นที่สูงสุดคือมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้นสอง
ดังนั้นเขาจึงเลียริมฝีปาก แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เหลืออีกกี่ชั่วยาม เขาลูกนี้ถึงจะยกขึ้นได้?”
ชิวเชวี่ยจื่อได้ยินดังนั้น ก็กระซิบตอบเสียงแผ่วเบาทันที
“ยังเหลืออีกสิบสามชั่วยาม!”
สวี่ชิงพยักหน้า หลับตาคอย
เขาไม่ใช่คนไร้เหตุผล และนิสัยมีเหตุผลของเขาก็ได้รับการสั่งสอนมาจากนายท่านเจ็ด
หลังจากใช้เหตุใช้ผลแล้ว จิตใจก็สงบขึ้น
ดังนั้นสวี่ชิงจึงตั้งใจจะรอให้เวลามาถึง และถามทุกคนว่ามีใครอยากจะไปหรือไม่
เวลาหนึ่งวันจึงค่อยๆ ผ่านไปเช่นนี้
ในวันนี้ สายตาจากยอดเขาอื่นมักจะพุ่งเป้ามาทางเขาลูกที่เก้าเป็นระยะๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายตาจากเหล่าผู้บำเพ็ญบนยอดเขาที่ถูกกำหนดไว้
บางคนดูเหมือนจะส่งข้อมูลหากันด้วยซ้ำ
ฉากนี้ ทำให้ชิวเชวี่ยจื่อตึงเครียดขึ้มาเล็กน้อย จึงหันไปมอเอ้อร์หนิวโดยสัญชาตญาณ
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายยังคงดูสบายใจ เขายิ่งไม่มั่นใจ
ทั้งหมดนี้ แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ลิบลับ
แม้จะรู้ว่าเผ่ามนุษย์สองคนนี้จะแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่เห็นได้ชัดว่าคนในที่นี้ต่างเพ่งเล็งภูเขาต้องห้ามที่ลอยอยู่เหนือพวกเขา การส่งต่อข้อมูลเหล่านี้อาจจะเรียกใครบางคนมา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อาจจะต้องเผชิญหน้ากับไม่ใช่เพียงผู้บำเพ็ญ ณ ที่นี้
แต่อัจฉริยะฟ้าประทานตัวจริงอาจจะมาร่วมวงด้วย
ดังนั้นเขาจึงเตือนขึ้นอย่างอดไม่ได้
นายกองยิ้มโดยไม่พูดอะไร
สวี่ชิงยังคงหลับตา ทว่าจิตเทพกำลังสอดส่องดวงตะวันบรรพกาลของตน และยังคงนั่งสมาธิต่อไป
จนกระทั่งเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วยามสุดท้าย ก็มีคนลงมือ!
ผู้ลงมือ ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญบนยอดเขาใดๆ ในที่นี้ แต่เป็นร่างที่พุ่งมาจากระยะไกล
เกล็ดสีขาวปกคลุมทั่วตัว ดวงตาที่สามหว่างคิ้ว บ่งบอกเผ่าพันธุ์ของเขาเอง
เผ่าไป๋เจ๋อ
การปรากฏตัวของเขา ดึงดูดความสนใจของผู้บำเพ็ญบนยอดเขาอื่นๆ ทันที
“เผ่าไป๋เจ๋อ เทียนหลิงจื่อ!”
“ใช่เขาจริงๆ!”
“หนึ่งในอัจฉริยะฟ้าประทานที่มีชื่อเสียงของเผ่าไป๋เจ๋อ ได้ยินว่าเทียนหลิงจื่อฝึกบำเพ็ญได้เร็วมากไม่ถึงหกสิบปี ก็บรรลุระดับมหาขั้นหวนสู่อนัตตา มีคนบอกว่าอนาคตเขาจะต้องบรรลุระดับมหาขั้นเตรียมสู่เทวะ และเขายังมีวาสนาได้พบกับเจ้ากรมเมฆาสวรรค์อีกด้วย!”
ในขณะที่ผู้บำเพ็ญที่นี่ต่างก็ใจเต้น ร่างของเผ่าไป๋เจ๋อที่เพิ่งมาถึง ก็แผ่กลิ่นอายออกมา ก่อตัวเป็นกลิ่นอายโหดเหี้ยมไร้ขอบเขต ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี โลกทั้งใบพลันดับมืด
และในความมืดมิด ร่องรอยของกฎเกณฑ์วาบผ่านดวงตา ภาพเสมือนใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นด้านหลัง ตัดสลับกันไปมาระหว่างภาพจริงและภาพเสมือน แต่ส่วนใหญ่เป็นของจริง
นั่นคือมหาขั้นหวนสู่อนัตตาขั้นสอง และยังเป็นขั้นบริบูรณ์
และเหนือหัวของเขา ยังมีภูเขาต้องห้ามหลักร้อยลูก แผ่พลังสะกดน่าสะพรึงกลัว
หลังจากปรากฏตัว เทียนหลิงจื่อแห่งเผ่าไป๋เจ๋อก็มองไปยังภูเขาที่เก้าด้วยสีหน้าเย็นชา
ในขณะเดียวกัน ร่างของชาวเผ่าไป๋เจ๋ออีกหลายสิบคนก็เหาะออกมาจากยอดเขาลูกอื่น มาอยู่เคียงข้างเทียนหลิงจื่อ
หลังจากคำนับทักทายกันเรียบร้อย ก็กระซิบกล่าวบางอย่างแล้วชี้ไปที่สวี่ชิง
“คำสาปพิษเทพเจ้า เพียงแค่ใช้สิ่งของที่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าก็สามารถแก้ได้”
เทียนหลิงจื่อพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เมื่อยกมือขึ้นเตาธูปหอมสำริดก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา
เตาธูปหอมนี้มีความโบราณ แผ่คลื่นความผันผวนอันน่าประหลาดใจ ทำให้พร่าเลือนไปทุกทิศทุกทาง ไอพลังประหลาดถูกกดทับ ปณิธานเทพเจ้าปรากฎชัดยิ่งขึ้น
เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเทพเจ้า
หลังจากลอยอยู่เหนือศีรษะเทียนหลิงจื่อ ควันสีเขียวก็ลอยสูงขึ้นประมาณร้อยจั้ง แผ่ขยายออกในตอนท้ายก่อนจะร่วงลงมาเหมือนน้ำตก ก่อตัวเป็นวงแหวนควัน ปกคลุมร่างเทียนหลิงจื่อเอาไว้
เผ่าไป๋เจ๋อรอบด้านต่างเผยความเลื่อมใส ก้มหัวลงคารวะ
เทียนหลิงจื่อมีสีหน้าปกติราวกับบุตรเทวะ ก้าวไปยังภูเขาที่เก้าที่สวี่ชิงอยู่
สายตาของยอดเขาลูกอื่นต่างจับจ้องมาทางนี้เช่นกัน
เทียนหลิงจื่อก้าวเข้าสู่ภูเขาที่เก้าท่ามกลางสายตาเหล่านั้น หมอกพิษที่พุ่งเข้ามาสัมผัสร่างของเขา ไม่สามารถทะลุทะลวงวงแหวนควันเข้ามาได้ และถูกปิดกั้นอยู่ภายนอก
ปล่อยให้เขาเดินเข้าไปในหมอกพิษนี้
ฉากนี้ ทำให้เหล่าผู้บำเพ็ญที่เฝ้าดูต่างใจเต้น ชิวเชวี่ยจื่อบนภูเขาที่เก้าเองก็ตกใจไม่น้อย เขาเคยได้ยินได้ฟังกิติศัพท์ของผู้มาเยือนคนใหม่ผู้นี้แล้ว
แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนของเผ่านภาคิมหันต์ มีสถานะสูงกว่า แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า อีกฝ่ายชื่อเสียงระบือไกลกว่า เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานที่ฝึกฝนได้เร็วที่สุดของเผ่าไป๋เจ๋อในรอบร้อยปีให้หลังนี้
ดังนั้นเขาจึงหันไปมองพวกสวี่ชิงทั้งสองคน
นายกองยังคงสบายใจเฉิบ ส่วนสวี่ชิงแม้จะลืมตาขึ้น แต่สิ่งแรกที่มองไม่ใช่เทียนหลิงจื่อที่กำลังเดินมา หากแต่เป็นเตาธูปหอมบนศีรษะของเขา แล้วจึงเคลื่อนสายตาลงมาปะทะสายตากับเทียนหลิงจื่อที่อยู่ไกลออกไป
เทียนหลิงจื่อเดินเข้ามาทีละก้าวโดยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ยิ่งเข้าใกล้ พลังกดดันจากตัวเขาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ทรงพลังดุจสายรุ้ง ทุกย่างก้าวสั่นสะเทือนภูเขาทั้งลูก
ทุกแห่งที่เคลื่อนผ่านหมอกพิษรอบๆ พลันกระจายตัวออกไปเอง ไม่ส่งผลกระทบต่อเขาแม้แต่น้อย
แรงอาฆาตและความจองหองแผ่ซ่านออกมาจากร่าง
แต่แท้จริงแล้ว เทียนหลิงจื่อในตอนนี้มีความรู้สึกปั่นป่วน เพราะเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าหมอกพิษนี้รุนแรงกว่าที่เขาคาดคิด ถึงจะดูไม่เป็นอันตรายต่อเขา แต่แท้จริงแล้วมันยังคืบคลานเข้ามาอยู่
และเขารู้สึกได้ผ่านการสัมผัสเตาธูปหอมว่ามันอาจจะอยู่ได้นานสุดเพียงครึ่งชั่วยาม หลังจากนั้นย่อมไม่อาจขัดขวางได้อีกต่อไป
“คำสาปนี้ ไม่ธรรมดา”
“แต่เพียงครึ่งชั่วยามก็เพียงพอแล้ว”
ดวงตาของเทียนหลิงจื่อเปล่งประกายเย็นยะเยือก ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากสวี่ชิงสามร้อยจั้ง ร่างกายพลันเร่งความเร็วขึ้น ร่างนั้นพุ่งไปหาสวี่ชิงเหมือนกับดาวตกที่ทำลายฟ้าดินได้ ก่อให้เกิดเสียงหวีดแหลมน่าสะพรึง เข้าหาอย่างรวดเร็ว
พลานภาพรุนแรงทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าราวกับหักไผ่ ภูเขาส่งเสียงคำราม ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน ราวกับแสงสว่างทั้งหลายในฟ้าดินล้วนดับสูญ มีเพียงดาวตกดวงนี้ที่เป็นจุดสนใจเพียงหนึ่งเดียว
สีหน้าของชิวเชวี่ยจื่อเปลี่ยนไป พลังบำเพ็ญในกายพุ่งสูง ฝั่งนายกองอ้าปากหาว ทว่าสวี่ชิงกลับยกมือขวาขึ้น มองไปยังดาวตกที่กำลังพุ่งตัวเข้ามา จรดนิ้วเหนือหว่างคิ้วตนสามชุ่น โดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
ผิวหนังตรงหว่างคิ้วมีเส้นสีดำจำนวนมากปรากฏขึ้นฉับพลัน รวมตัวกันหนาแน่น มีทั้งเส้นหนาและบาง ราวกับกับเส้นเลือดทั่วร่างกายมารวมตัวกันที่นี่ เรียงซ้อนกัน ก่อตัวเป็นใบหน้าปีศาจสุดสยอง
ในขณะที่นิ้วลอยค้างกลางอากาศอยู่นั้น ใบหน้าปีศาจนี้พลันสว่างขึ้นราวกับตะเกียงส่องแสงสลัว
มองจากระยะไกล เหมือนกับว่ามีตะเกียงปีศาจปรากฏออกมาจากหว่างคิ้วของสวี่ชิง!
เทียนหลิงจื่อ ยังอยู่ห่างสองร้อยเจ็ดสิบจั้ง
สวี่ชิงขยับนิ้ว คราวนี้ตกลงไปที่ไหล่ซ้าย
ในทันทีนั้น เส้นเลือดสีดำก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ปรากฏตะเกียงปีศาจดวงที่สอง
เปลวไฟสีเขียวสั่นไหว เมื่อเทียนหลิงจื่ออยู่ห่างสองร้อยสามสิบกว่าจั้ง สวี่ชิงก็ชี้ไปที่ไหล่อีกข้าง ตามด้วยจุดตันเถียน ขา สุดท้ายที่หัวใจ
กระบวนท่าทั้งหมด เสร็จสิ้นในพริบตา
ตะเกียงไฟสีเขียวเจ็ดดวงในร่างกายของสวี่ชิงลุกโชนขึ้นทุกดวง
กลิ่นอายของเขาพวยพุ่ง พลังแห่งคำสาปแผ่ซ่านออกมาจากตะเกียงไฟสีเขียวเจ็ดดวงนี้ กลายเป็นใบหน้าปีศาจน่าสะพรึวกลัวเจ็ดใบ มีทั้งใบหน้าสุขสม โกรธา เศร้าหมอง คะนึง กังวล กลัว หวาดกลัว ต่างกันไป
นี่คือวิชาต้องห้ามที่มาจากเจ้าเหนือศีรษะหลี่จื้อหวา และถูกโอรสองค์ที่สี่ของเขาศึกษาจนแตกฉาน และสวี่ชิงก็ทำการเลียนแบบและควบคุมอย่างชำนาญ
คำสาปเพลิงทมิฬเจ็ดตะเกียง!
นี่คือคำสาปแห่งความตาย!
สวี่ชิงสายตาเย็นชา มองเทียนหลิงจื่อที่ปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบจั้งด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว แต่สีหน้าเปลี่ยนไป พูดขึ้นเสียงเรียบว่า
“ตะเกียงดับ คนม้วย”