ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 832 วิถีไร้เมตตาอู่หนิว
“มีคำหนึ่งพูดไว้ว่าอะไรนะ”
นายกองเลียริมฝีปาก มองไปยังเงาที่หนีไปทางเส้นขอบฟ้า รอยยิ้มมีความสนุกสนานอยู่เล็กน้อย
“หากมีวาสนาจะห่างไกลแค่ไหนก็จะได้พบกัน ใช่ ประโยคนี้เลย”
“ใช่ไหมล่ะศิษย์น้องเล็ก ดูเอาเถอะ เขาปรากฏตัววาบมาเสียขนาดนี้แล้ว แต่ว่าครั้งนี้ เขาน่าจะหนีไม่พ้น“
สวี่ชิงพยักหน้า ยกมือขึ้น บนตัวเปลวไฟสีดำปะทุขึ้น ไหลตามแขนไปยังฝ่ามือ
หอกยาวสีดำที่เพิ่งถูกเก็บลงไป รวมตัวขึ้นใหม่บนมือเขาอีกครั้ง
จังหวะที่ปรากฏ ปลายหอกเปล่งประกายแหลมคม ราวกับเผาไหม้ความว่างเปล่า สร้างหลุมดำละเอียดหลายหลุมขึ้นมา ฉีกทะลวงความว่างเปล่าด้วยพลังอำนาจที่น่าสะพรึง
แล้วยังดึงดูดเอากลิ่นอายคาวเลือดลอยขึ้นมา และยังมีเงาวิญญาณอาฆาตนับไม่ถ้วน จำแลงขึ้นมารอบด้านหอกยาว ส่งเสียงร้องโหยหวนไม่ยินยอมก่อนที่จะตายออกมา
ไม่เข้าสู่วัฏจักร ยากจะหลุดพ้น
เสียงสะท้อนก้อง เต็มไปด้วยความน่าขนลุก แต่มองไกลๆ ฉากนี้น่ากลัวอย่างมาก
หอกในมือสวี่ชิง ราวกับเป็นยอดเขาแห่งความมืดมิด กระพือไฟวิญญาณ แผ่ซ่านอักขระเพลิงสีดำออกมาเป็นระยะ
พลังเปลวไฟที่รุนแรงพัดม้วนท้องฟ้า จนราวกับทำผืนนภากลายเป็นทะเลเพลิง
ขณะที่สะท้อนเป็นระยะในกระแสวน ก็ยังทำให้ฟ้าดินมืดลงมา
ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ พออยู่ในสายตาของผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์คนหลบหนีห่างออกไปอย่างเร่งด่วนคนนั้น เขาก็รู้สึกขนลุกเกรียวขึ้นมา อารมณ์ปั่นป่วน ในใจปะทุวิกฤติเป็นตายขีดสุดรวมถึงความสำนึกเสียใจขึ้นมาอย่างแรงกล้า
จังหวะนี้ ในที่สุดเขาก็เข้าในแล้วว่าร่างแยกของตนเองนั้นตายไปอย่างไร
“จะต้องตายไปภายใต้คมหอกนี้แน่ๆ!”
“บุ่มบ่ามเกินไปแล้ว ข้าไม่ควรมาที่นี่เลย!”
ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนี้หน้าขาวซีด สูดปากหลายครั้งด้วยสัญชาตญาณ ใช้ทั้งหมดเพิ่มความเร็วหลบหนีอย่างสุดกำลัง จะใช้การส่ง แต่ก็ยังต้องใช้เวลา
ในดวงตาสวี่ชิงเปล่งประกายเย็นวาบ มือถือหอกชี้ไปเส้นขอบฟ้า ขว้างออกไปฉับพลัน
หอกพุ่งออกไปราวพญามังกร นำความโกรธแค้น เสียงสนั่นราวผ่าฟ้าแยกปฐพี ระเบิดขึ้นมาในฟ้าดินนี้
เสียงครืนครันราวสายอัสนี พร้อมกับเสียงหวีดแหลมเสียดหูแทรกเข้ามา เข้าประชิดผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนั้นอย่างรวดเร็ว
ความว่างเปล่าแตกสลาย ท้องนภาเลือนราง มีเพียงหอกนี้ที่ยังเด่นชัดราวกับรอยแยกบนฟากฟ้า ประหัตประหารยังเส้นขอบฟ้า เข้าถึงด้านหลังผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนั้น สะกดเขาไว้นิ่ง
ขณะที่กำลังจะแทงทะลุ
ตอนนี้เอง ติงหนึ่งสามสองก็ปรากฏขึ้นบนฟากฟ้า เงาคุกขนาดมโหฬาร สั่นสะเทือนจิตใจทั้งหมด และทำให้ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
พอเห็นว่ารางเงาของคุกเด่นชัดขึ้นมาอย่างรวดเร็วเหนือศีรษะ กำลังจะปกคลุมผนึกร่างของตนเองไว้ด้านใน
เขาเดาล่วงหน้า หากเรื่องนี้เสร็จสิ้นลง ตนเองคงจะหนีไม่รอดแล้ว คงตายอย่างไม่ต้องสงสัย ในจังหวะที่วิกฤตขีดสุดนี้มาถึง ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์นี้จึงทำเรื่องที่กล้าหาญอย่างยิ่งเรื่องหนึ่งออกมา
เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตบลงไปที่หน้าผากอย่างฉับพลัน ขณะที่ส่งเสียงครืนครัรนร ร่างของเขาก็ปรากฏเงาซ้อนทับขึ้นมา มันคือการแยกวิญญาณออกจากร่าง จากไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนกายเนื้อที่ทิ้งไว้ ก็กลายเป็นอาวุธของเขา โถมตัวเข้าไปทางหอกยาวสีดำ ยอมให้หอกยาวปะทะเข้ามา
เสียงโครมดังสนั่น หอกยาวแตะสัมผัส กายเนื้อพังทลาย แต่เลือดเนื้อผู้บำเพ็ญนี้กลับไม่ได้กระจัดกระจาย ทว่าม้วนกลับเข้าห่อพันหอกยาวสีดำไว้ สำแดงพลังประหลาดออกมาพันธนาการ
ต่อให้เลือดเนื้อเหล่านี้จะพังทลายลงไปอย่างรวดเร็วด้วยพลังของหอกยาวสีดำ แต่ท้ายสุดก็ยังยื้อเวลาได้หนึ่งอึดใจ
ขณะเดียวกัน ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์คนนี้ก็ตัดสินใจครั้งที่สองออกมา เขาปล่อยทิ้งภูเขาต้องห้ามแปดลูกของตนเองอย่างเด็ดขาด ดวงวิญญาณพัดไปข้างๆ ก่อตัวเป็นลมพายุพัดภูเขาทั้งแปด ให้พวกมันลอยขึ้นไปในอากาศ พุ่งเข้าใส่ติงหนึ่งสามสองด้วยพลังประดุจสายรุ้ง
ที่นั่น ภูเขาทั้งแปดโยกไหว แต่ละลูกพองขยายขึ้นมากลายเป็นภูเขาขนาดยักษ์ที่น่าตกตะลึง พลานุภาพต้องห้ามระเบิดออก อหังการไร้ขอบเขต ทั้งส่งออกไปและคิดจะยื้อช้าลงในเวลาเดียวกัน เข้าปะทะกับติงหนึ่งสามสอง
และเวลาหนึ่งอึดใจนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญเผ่านภาคิมหันต์แล้ว ถือเป็นจุดเปลี่ยนความเป็นความตายเลยทีเดียว
พริบตาต่อมา การส่งข้ามของเขาในที่สุดก็กางออก หยิบยืมชั่วอึดใจนี้ ร่างกายก็เลือนรางลงฉับพลัน สลายหายไปจากบนท้องฟ้า
เลือดเนื้อที่ห่อหุ้มหอกยาวสีดำของเขา เวลานี้กสูญเสียแรงต้านทาน พังทลายกลายเป็นชิ้นนับไม่ถ้วน สาดร่วงลงมา
มีเพียงภูเขาต้องห้ามแปดลูกที่ผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ทิ้งไว้กลางอากาศเท่านั้น ภายใต้การสะกดของติงหนึ่งสามสอง ก็ถูกเก็บเข้าไปในคุก
สวี่ชิงมองไปทางความว่างเปล่า อีกฝ่ายปฏิกิริยารวดเร็ว แต่ถ้าช้าไปนิดเดียวก็จะถูกติงหนึ่งสามสองขังไว้แล้ว ถึงตอนนั้น การส่งข้ามของเขาก็จะไม่มีความหมายใด
แต่สวี่ชิงก็ไม่มีคลื่นอารมณ์อะไรอีก เพราะนายกองก่อนหน้านี้พูดไว้ว่า คนผู้นี้ครั้งนี้หนีไม่พ้นหรอก
จากความเข้าใจต่อตัวนายกองของสวี่ชิง ประโยคนี้ไม่น่าจะพูดออกมาลอยๆ
และความจริงก็เป็นเช่นนี้ พอเห็นว่าผู้บำเพ็ญคนนั้นส่งข้ามออกไป นายกองก็หัวเราะอย่างหยิ่งผยองขึ้นมา เอ่ยกับสวี่ชิงอย่างภูมิใจว่า
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่ใช่ว่ากินเลือดเนื้อผู้บำเพ็ญคนนี้ไปหรอกหรือ ช่วงนี้ข้าค้นคว้ามาแล้ว ว่าพอเข้าใจสิ่งหนึ่งก็จะเข้าใจสิ่งที่อยู่ใกล้เคียงกันด้วย จึงนึกออกถึงพลังวิเศษที่เอาไว้ใช้กับผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์โดยเฉพาะที่ข้าเรียนไว้เมื่อหลายชาติก่อน”
“พลังวิเศษนี้ของข้าร้ายกาจเอามากๆ ข่มการส่งข้ามได้ หลักการของมันคือสืบย้อนไปยังพลังรากฐาน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็สามารถดึงเขาย้อนกลับมาได้”
พูดจบนายกองก็ยกมือขึ้น ตะปบลงไปยังพื้นดิน ฉับพลันเลือดเนื้อผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่ตกไปบนพื้น ก็ลอยขึ้นมาห้าชิ้น ร่อนลงมาด้านหน้านายกอง
นายกองสะบัดแขนเสื้อ เลือดเนื้อห้าชิ้นนี้เรียงกันเป็นรูปห้าเหลี่ยมตรงหน้าเขา
“แต่ต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่า ต้องเตรียมวัตถุที่มีพลังรากฐานเดียวกันจำนวนห้าชิ้น เลือดเนื้อกระดูกนั้นดีที่สุด”
พูดจบ สองมือของนายกองก็ยกขึ้นทำปางมือ ในปากงึมงำ คลื่นพลังเป็นวงๆ แผ่ออกมาจากเลือดเนื้อก้อนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นก้อนที่สอง ก้อนที่สาม…
สุดท้ายเลือดเนื้อทั้งห้าก้อนก็แผ่กระแสวนออกมาพร้อมกัน กระแทกกันและกัน ขณะที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อตัวเป็นกระแสวนหลุมดำวงหนึ่ง
นายกองมองกระแสวน คำรามเสียงต่ำ เสียงนี้นำความรู้สึกแห่งบรรพกาลเข้ามา สั่นก้องไปทั้งฟ้าดิน
“ฟ้าดินจิตวิญญาณ พลังรากฐานแต่เดิม”
จังหวะที่เสียงลอดออกไป กระแสวนก็ยิ่งหมุนขึ้นอย่างรุนแรง ขณะที่เลือนราง ดวงวิญญาณผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่ส่งข้ามออกไปคนนั้น ก็ราวกับถูกดึงกลับ ปรากฏออกมาจากในหลุมดำ
ตอนแรกยังเลือนรางบิดเบี้ยวเหมือนถูกดึงยืดออก แต่เพียงไม่นานก็แจ่มชัดขึ้น
กระทั่งสีหน้าพรั่นพรึง ตกตะลึงไม่อยากเชื่อ ก็ยังปรากฏแจ่มชัดจนเห็นได้
พริบตาต่อมา นายกองหัวเราะเหี้ยมเกรียมขึ้นเสียงหนึ่ง ยกมือตบไปทางกระแสวน ฉับพลันดวงวิญญาณผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์ที่ถูกอัญเชิญกลับมา ก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
“เจ้า…”
ในตาดวงวิญญาณผู้บำเพ็ญนภาคิมหันต์เผยความสิ้นหวังออกมา ตอนที่กำลังจะพูดอะไรเพื่อรักษาชีวิต แต่นายกองก็ไม่สนใจ มือขวาบีบอย่างแรง
เสียงโพละดังขึ้น ดวงวิญญาณดับสลาย กลายเป็นผิงกั่วสีดำกองหนึ่งร่วงหล่นลงพื้น
ชิวเชวี่ยจื่อที่อยู่ข้างๆ ก็พุ่งตัวออกไปด้วยสายตาเฉียบแหลม จัดการเก็บผิงกั่วสีดำที่ร่วงลงไปพวกนั้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ส่งมาให้ตรงหน้านายกองที่มีสีหน้าหยิ่งทะนง
นายกองเชิดคาง มองไปทางสวี่ชิง หลังจากสังเกตเห็นความผันผวนในดวงตาสวี่ชิง เขาจึงภาคภูมิใจขึ้นมา
“เป็นอย่างไร อาชิงน้อย วิชานี้ของศิษย์พี่ใหญ่ร้ายกาจไหม”
สวี่ชิงพยักหน้า มองเลือดเนื้อห้าชิ้นนั้นอย่างอยากรู้อยากเห็น สัมผัสได้ว่าบนนั้นแผ่ซ่านกลิ่นอายที่เหมือนเคยรู้จักออกมารางๆ
“วิชานี้…”
ไม่รอให้สวี่ชิงพูดจบ นายกองก็โบกมือใหญ่
“ข้ารู้ว่าอาชิงน้อยอยากถามถึงชื่อพลังวิเศษนี้สินะ”
“ฟังให้ดีล่ะ พลังวิเศษนี้ ชื่อว่าวิถีไร้เมตตาอู่หนิวสืบย้อนพลังรากฐาน”
พูดจบนายกองก็เหลือบมองมาทางสวี่ชิง
สวี่ชิงสีหน้าออกอาการ เหมือนถูกชื่อนี้ทำให้ตกตะลึง
นายกองยิ่งเบิกบานขึ้นไปอีก
“เจ้าอยากเรียนไหม ศิษย์พี่ใหญ่จะสอนเจ้าเอง หลังจากรเยนแล้ว คนอื่นหากคิดจะหนี เจ้าก็มีวิธีที่จะดึงกลับมาได้”
พูดจบ นายกองก็หยิบตราหยกชิ้นหนึ่งออกมาอย่างเบิกบาน หลังจากประทับก็โยนให้สวี่ชิง
สวี่ชิงรับไป วิชานี้พิเศษมาก เขารู้สึกว่าในบางจังหวะอาจจะมีประโยชน์มากก็ได้ จึงพยักหน้าให้
“ขอบคุณศิษย์พี่ใหญ่”
“ฮ่าๆ เกรงใจอะไรกัน เรื่องเล็กน้อย”
นายกองต้องการท่าทีเช่นนี้ พอเห็นสวี่ชิงที่ไม่ค่อยได้เห็น เขาก็พึงพอใจเสียเต็มประดา
ขณะเดียวกัน ภูเขาต้องห้ามไร้เจ้าของแปดลูกนั้น ก็ร่อนลงมาในตอนนี้ ลอยอยู่เหนือหัวสวี่ชิง
สวี่ชิงแหงนหน้ามองไป วิเคราะห์ขึ้นในจิตใจ
“จากคำพูดของผู้อาวุโสนภาคิมหันต์ในตำหนักวังนั้น หากคิดจะกลายเป็นผู้นำในรอบแรก ต้องมีให้ถึงพัน”
“ยังต้องพยายามอีก”
สวี่ชิงเก็บสายตา มองไปทางนายกอง
นายกองแสยะยิ้ม เดาความคิดสวี่ชิงได้ ทั้งสองคนจึงร่างไหววูบพร้อมกัน แปรเป็นสายรุ้งยาวสองสาย พุ่งทะยานออกไป
ชิวเชวี่ยจื่อมองฉากนี้ ลมหายใจหอบถี่ เขารู้สึกว่าการมาเจอสองคนนี้คือวาสนาของตนเอง จะไม่ยอมให้ผ่านไปเด็ดขาด ดังนั้นจึงลอยตัวขึ้นบินตามไปด้านหลัง
เป็นเช่นนี้ ร่างเงาทั้งสามจึงค่อยๆ บินออกจากพื้นที่ต้องห้าม ตรงไปยังแดนในนภาคิมหันต์ ค่อยๆ ห่างออกไป
และพื้นที่ต้องห้ามผืนนี้ ก็ค่อยๆ กลับมาสงบดังเดิม อสูรประหลาดด้านในทยอยกันปรากฏตัว จุดที่ภูเขาต้องห้ามยี่สิบเจ็ดลูกหายไป ก็ถูกหญ้าสีเลือดเข้าครองที่ เจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์
หลังผ่านไปหลายชั่วยาม บนท้องฟ้ามีร่างผู้บำเพ็ญส่วนหนึ่งปรากฏตัว เป็นผู้บำเพ็ญที่ออกไปก่อนหน้านี้ เวลานี้เลือกกลับมา คิดจะมาดูสถานการณ์
ในนี้มีคนที่เกิดความรู้สึกเสียใจขึ้นในใจ รู้สึกว่าไม่ควรออกไปจากความตกตะลึงง่ายๆ เช่นนั้น
แต่หลังจากพวกเขามาถึง จากการสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของที่นี่ สีหน้าแต่ละคนก็เคร่งขรึมขึ้นมา
โดยเฉพาะหลังจากที่มาถึงจุดภูเขายี่สิบเจ็ดลูกนี้และเห็นหญ้าสีแดง สัมผัสได้ถึงคาวเลือดเข้มข้นในสถานที่นี้ พวกเขาสีหน้าจึงเปลี่ยนไปฉับพลัน สูดปากกันขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
“ที่นี่…”
“ต้องตายกันไปเท่าไรถึงได้มีปณิธานคาวเลือดระดับนี้เกิดขึ้น!”
“ไม่เห็นว่ามีคนออกไปเลย หรือว่า…ผู้บำเพ็ญที่นี้ล้วนถูกสังหารจนหมด”
“เป็นไปไม่ได้!”
เสียงสูดลม แผ่ซ่านไปทั้งพื้นที่ต้องห้ามนี้ มีคนยังไม่เชื่อ จึงทดสอบส่งสื่อเสียงหาผู้บำเพ็ญที่ไม่ยอมออกไปก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดตอบกลับมาเลย
ทุกคนจึงค่อยๆ เงียบงัน ดวงตาแต่ละคนเผยความพรั่นพรึง แต่ละคนจากออกไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเช่นนี้ เวลาก็ไหลผ่านไป จากการออกไปของพวกสวี่ชิง จากการกระจายตัวออกของคนที่รอดชีวิตในสถานที่นี้ เรื่องที่ผู้บำเพ็ญเผ่ามนุษย์เชือดสังหารผู้เข้าร่วมนับร้อย ก็ลือกันออกไปจากปากผู้บำเพ็ญเหล่านี้อย่างรวดเร็ว หนึ่งเป็นสิบ สิบเป็นร้อย…
ข่าวลือประดุจลมพายุ แผ่ขยายอย่างต่อเนื่องในเผ่านภาคิมหันต์
ก่อให้เกิดความสนใจของทุกคน
คนที่ได้ยินปฏิกิริยาแรกคือความรู้สึกไม่อยากเชื่อ แต่จากการสำรวจ ก็ทยอยกันอารมณ์ผันผวน
โดยพาะเผ่าไป๋เจ๋อ คนในเผ่ายิ่งเดือดดาล ถึงอย่างไรครั้งนี้ที่ตายไปมากที่สุดก็คือเผ่านี้ แล้วยังมีอัจฉริยะฟ้าประทานถูกสังหารไปอีก
แต่สำหรับเรื่องนี้ ผู้แข็งแกร่งเผ่าไป๋เจ๋อก็ทำอะไรไม่ได้ กำลังหลักของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่ที่สนามรบเผ่าฟ้าทมิฬ ปัจจุบันจึงเหลืออยู่ไม่มาก
และนี่ก็ยังไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการออกล่าครั้งใหญ่ พวกเข้าไม่กล้าละเมิด
มีเพียงผู้มีคุณสมบัติเท่านั้นที่สามารถลงมือได้
แม้จะดำเนินการกันลับๆ ก็ยังหลีกเลี่ยงไม่พ้น ดังนั้นเมฆดำไร้รูปร่างนี้จึงปะทุขึ้นมาในเผ่านภาคิมหันต์ ลมพายุ…กำลังเข้ามา