ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 834 สามสิบหกดาวขุนพลเซียน
เวลาหมุนผ่านไป
หลังจากนั้นครึ่งเดือน พวกสวี่ชิงทั้งสามคนที่ข้ามผ่านดินแดนภายในที่สี่ ไล่ตามร่องรอยการเดินทางของรัฐทายาทหมิงหนานอ๋อง ก็มาถึงยังดินแดนภายในที่สาม
ที่นี่ห่างจากภูเขาเทพที่เป็นเส้นชัยในมหกรรมล่าเหยื่อด่านแรก ห่างเพียงสองดินแดนเท่านั้น นับว่าใกล้มากแล้ว
สภาพภูมิประเทศของดินแดนภายในที่สามทั้งดินแดน มีภูเขาไฟเป็นหลัก ที่นี่ภูเขาไฟนับไม่ถ้วนมักจะปะทุเกิดเป็นควันดำหนาแน่น ลอยตลบอวลไปในท้องฟ้า
ส่วนบนผืนแผ่นดิน นั่นเป็นทะเลหินหนืดสุดลูกหูลูกตา
มีเพียงลมเย็นที่ประเดี๋ยวก็พัดมาเกิดเป็นเส้นทางขาดเป็นช่วงๆ แต่ละเส้นๆ ไม่แน่นอน พวกมันมักจะหลังจากที่ปรากฏขึ้นในช่วงหนึ่ง ก็จะกลายเป็นหินหนืดอีกครั้ง จากการเปลี่ยนแปลงของลม ก็จะมีเส้นทางใหม่เกิดขึ้น
ความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ทำให้คนธรรมดาไม่สามารถเดินทางผ่านที่นี่ได้
ตามหลักเหตุผลแล้ว สภาพภูมิประเทศที่นี่ สำหรับเผ่าพันธุ์มากมายไม่เหมาะที่จะอยู่อาศัย
แต่สำหรับเผ่านภาคิมหันต์กลับเป็นที่ที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง
สภาพภูมิประเทศเช่นนี้ทั้งทำให้พวกเขาร่างกายได้รับการฝึกฝนอยู่ตลอด และยังสามารถทำให้รักษาจิตใจของผู้แข็งแกร่งเอาไว้ได้ในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายเช่นนี้ ขณะเดียวกันคำว่าคิมหันต์ของเผ่านี้ก็หมายถึงความยึดติดกับเปลวเพลิงของพวกเขาเผ่าพันธุ์นี้
ตอนนี้ พื้นที่ใจกลางของดินแดนภายในที่สาม ภายใต้เมฆดำหนาแน่นที่เกิดจากภูเขาไฟปะทุเป็นเวลาเนิ่นนานนับไม่ถ้วน เสียงฟาดแส้ดังก้อง มังกรกระดูกตัวหนึ่งกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ความเร็วรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง!
จะเห็นได้ว่าข้างหน้ามังกรกระดูก สุดปลายโซ่เหล็กนับไม่ถ้วน องค์ชายใหญ่และผู้ใต้บัญชาการของเขาที่กำลังลากรถ พวกเขาทุกคนเสื้อผ้าขาดวิ่น หน้าตาผอมซูบ คนส่วนใหญ่ในดวงตาไร้ประกาย
ส่วนคนที่เหลือเหล่านั้นแต่ละคนกัดฟันเงียบๆ ปะทุพลังทั้งหมด ลากรถไปข้างหน้า
“น่าสนใจ ตลอดทางมานี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผลของแส้ หรือเป็นพวกเจ้าที่บรรลุอย่างแท้จริง หรือเป็นเพราะคิดอยากจะให้จบลงเร็วๆ…แน่นอนบางทีอาจจะมีอีกเหตุผลหนึ่ง พวกเจ้าไม่อยากให้จะสหายเผ่ามนุษย์ที่ชื่อเสียงเรื่องลือคนนั้นไล่ตามมากระมัง”
“สรุปแล้ว ความเร็วของพวกเจ้าข้าพอใจมาก”
ในกระดูกมังกร รัฐทายาทหมิงหนานอ๋องแย้มยิ้มพรางเอ่ย แต่เสี้ยวขณะต่อมา รอยยิ้มของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความเคร่งขรึม เสียงก็เปลี่ยนมาเย็นชา
“แต่ว่าท่าทีของพวกเจ้า ข้าไม่พอใจ”
“ตอนนี้ สิ่งที่ข้าต้องการคือช้า พวกเจ้า…วิ่งเร็วกันเกินไปแล้ว”
พูดแล้ว แส้มายานับไม่ถ้วน ก็กะพริบวูบวาบข้างหน้ามังกรกระดูก เสียงสะบัดฟาดดังมา
เผ่ามนุษย์บางคนกระอักเลือด ยิ่งมีหลายคนทนรับการทรมานตลอดทางและการกลืนกินที่มาจากโซ่ไม่ไหว หมดลมหายใจ ศพร่วงลงไป
บางคนร่วงลงไปในหินหนืด ถูกกลืนกิน
บางคนร่วงลงไปบนเส้นทางที่ปรากฏขึ้นกลายเป็นศพแห้งๆ รอช่วงเวลาถัดไปเมื่อถนนเส้นใหม่ปรากฏขึ้น ศพเหล่านี้ก็จะท่วมจมจากการจมลงไปของเส้นทางแต่เดิม
ความเร็วของราชรถมังกรกระดูกบนท้องฟ้าถูกบีบให้ชะลอช้าลง
ความอัปยศ ความโกรธแค้น พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจเผ่ามนุษย์ที่ลากรถเหล่านั้น แต่กลับจนปัญญา…
ความแข็งแกร่งของเผ่าถึงจะเป็นรากฐานของทุกสิ่ง
ความแข็งแกร่งของเผ่านภาคิมหันต์ทำให้เผ่าพันธุ์มากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา ไม่อาจมีเกียรติศักดิ์ศรีได้
ความล้าหลังก็คือปฐมบาป
ขณะเดียวกัน ใต้เมฆดำผืนเดียวกันห่างออกไปหมื่นลี้ เงาร่างของพวกสวี่ชิงทั้งสามคน กำลังมุ่งหน้ามาอย่างรวดเร็ว
“รัฐทายาทหมิงหนานอ๋องคนนั้นทำอะไรเอิกเกริก ไม่ได้ปกปิดร่องรอยการเดินทาง จากข่าวใหม่ล่าสุด มีคนเห็นเขากำลังมุ่งหน้าไปยังดินแดนภายในที่สอง พวกเราห่างจากราชรถมังกรของเขาน่าจะไม่ไกลมากแล้ว”
ชิวเชวี่ยจื่อเอ่ยเสียงต่ำทุ้ม
นายกองเลียริมฝีปาก สวี่ชิงพยักหน้าเล็กน้อย มองไปทางเมฆดำที่ไกลแล้วมองไปยังหินหนืดบนพื้นแผ่นดิน ในฟ้าดินของดินแดนภายในที่สามแห่งนี้ตลบอวลไปด้วยความร้อนระอุ เหมือนกับซึ้งนึ่งแต่กลับไม่มีไอร้อนพวยพุ่ง
แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นกายเนื้อหรือวิญญาณล้วนมีความรู้สึกร้อนโจมตี รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง
“สหายสวี่ หรือว่า…จะพิจารณาอีกทีดีหรือไม่”
“รัฐทายาทหมิงหนานอ๋องพลังบำเพ็ญน่าตื่นตะลึง ว่ากันว่าไม่นานก่อนหน้านี้ทะลวงระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สาม ตอนนี้เป็นขั้นที่สี่ สร้างโลกมายาขึ้นมาได้แล้ว”
“อีกทั้ง…กายเนื้อของเผ่านภาคิมหันต์แข็งแกร่งกว่าเผ่าอื่นๆ อย่างมหาศาล เคล็ดวิชาก็เช่นกัน ความล้ำลึกของพลังบำเพ็ญยิ่งเป็นเช่นนั้น นี่ทำให้เผ่าพวกเราเมื่ออยู่ในขอบเขตเดียวกันก็แทบจะไร้พ่าย”
ชิวเชวี่ยจื่อตลอดทางมาไม่ค่อยกล้าจะเอ่ยเตือนสักเท่าไหร่ ตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้น
“นอกจากนี้อ๋องหมิงหนานบิดาของเขา เป็นผู้วิเศษระดับเตรียมสู่เทวะแปดโลกสุดยอด ว่ากันว่าห่างจากเก้าโลกที่เป็นขีดจำกัดสูงสุดอีกไม่ไกลแล้ว”
“ในฐานะที่เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเขา รัฐทายาทอ๋องหมิงหนานคนนี้มีพรสวรรค์โดดเด่นมานับแต่เด็ก แม้จะไม่ใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเผ่านภาคิมหันต์ของรุ่นนี้ แต่ก็อยู่ในสิบอันดับแรก”
“ข้าไม่เคยเห็นเขาลงมือ แต่ก็มักจะได้ยินข่าวเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขา”
“ยกตัวอย่างเช่น เขาเชี่ยวชาญวิชาคำสาป ยิ่งมีวิชาต้องห้าม กระทั่งว่าใช้วิชาเทพได้ด้วย”
“มีข่าวลือว่าเขาเรียนเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิเผ่านภาคิมหันต์สามสิบหกดาวขุนพลเซียนได้แล้วหลายบท!”
“โดยปกติแล้ว เรียนสำเร็จบทหนึ่ง อยู่ในเผ่าข้างนอกก็เป็นเคล็ดวิชาระดับจักรพรรดิสูงสุดแล้ว”
“ดังนั้นรัฐทายาทหมิงหนานอ๋องคนนี้ไม่ใช่กำลังรบของตัวเองน่ากลัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เบื้องหลังยิ่งน่าครั่นคร้าม…สู้กับเขาไม่ว่าจะแพ้หรือชนะล้วนต้องจ่ายค่าตอบแทน ไม่คุ้ม…”
ในยามที่ชิวเชวี่ยจื่อเอ่ยเตือนอย่างจริงใจ สวี่ชิงสีหน้าเป็นปกติ นายกองที่อยู่ข้างๆ แยกเขี้ยวยิ้ม ให้โยนผิงกั๋วให้ชิวเชวี่ยจื่อลูกหนึ่ง
“เจ้าหนุ่มคนนี้ไม่เลวเลย ตลอดทางที่ติดตามมานี้ ข้าพบว่าเจ้านับว่าคบหาได้”
“แต่ว่า เจ้าเห็นเพียงเบื้องหลังของรัฐทายาทหมิงหนานอ๋องคนนั้น กลับไม่รู้ถึงเบื้องหลังของพวกเรา”
“วางใจเถิด ก็แค่อ๋องหมิงหนานคนหนึ่งเท่านั้น ขอเพียงอาชิงน้อยยินดีมอบปรานพลังหยางออกไป…”
นายกองเพิ่งพูดถึงตรงนี้ สวี่ชิงก็หันมามองเขาผาดหนึ่ง
นายกองหัวเราะฮี่ๆ ไม่ได้พูดต่อ
ชิวเชวี่ยจื่ออึ้งตะลึง แอบพูดในใจปราณพลังหยาง…สีหน้าลังเลเล็กน้อย ในใจเกิดการคาดเดามากมาย อดมองไปทางสวี่ชิงไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าถามออกไป
เช่นนี้เอง ท่ามกลางการคาดเดาในใจหลายต่อหลายเรื่องของเขา ทั้งสามคนก็พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว เวลาหมุนผ่านไป
หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยาม ร่างของสวี่ชิงก็พลันหยุดชะงักกลางอากาศ เสี้ยวขณะต่อมาก็หายตัวไป ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่บนถนนเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง บนหินหนืดที่อยู่ข้างล่าง
ถนนเส้นนี้เนื่องจากเป็นถนนที่เกิดจากลมเย็นพัดมา ตอนนี้กำลังละลาย เห็นได้ชัดว่าอีกไม่นานเท่าไรก็จะหายไป
ตรงนั้นมีศพแห้งๆ ที่พอจะนับว่าอยู่ในสภาพสมบูรณ์ศพหนึ่ง
เผ่ามนุษย์
สวี่ชิงมองศพแห้งๆ นายกองก็เหลือบมองประเมินอยู่หลายทีเช่นกัน
“ข้าเคยเห็นเขา เป็นองครักษ์ข้างกายองค์ชายใหญ่”
“ดูจากร่องรอยแล้ว ก่อนตายได้รับการทรมานอย่างรุนแรง รอยแส้สาหัสมาก อย่างน้อยถูกเฆี่ยนหลายพันครั้ง…เลือดเนื้อตลอดจนพลังบำเพ็ญกระทั่งว่าวิญญาณล้วนถูกกัดกร่อนกลืนกินอย่างช้าๆ สาเหตุของความตายในท้ายที่สุดก็คือพลังชีวิตหมดสิ้น”
ชิวเชวี่ยจื่อเงียบนิ่งไม่กล้าพูด
สวี่ชิงจ้องมองอยู่หลายอึดใจ ยกมือเก็บศพแห้งนี้ลงไป หันไปมอง ชิวเชวี่ยจื่อผาดหนึ่ง
“น่าจะอยู่ไม่ไกลแล้วเจ้ายังไม่ต้องตาม รบกวนช่วยข้าตรวจดูรอบๆ พยายามเก็บศพแห้งของเผ่ามนุษย์ให้ได้มากที่สุด”
ชิวเชวี่ยจื่อพยักหน้าทันที
สวี่ชิงไม่ได้พูดอะไรอีก ร่างทะยานขึ้นฟ้าไปทันเกิดเป็นเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นท่วมฟ้า ปะทุความเร็วจนถึงขีดจำกัดสูงสุด พุ่งไปยังม่านฟ้าที่ไกล
ความเร็วเร็วกว่าก่อนหน้านี้อย่างมหาศาล เห็นได้ชัดว่ามีเบาะแสที่แน่นอนแล้ว สวี่ชิงปลดปล่อยความเร็วของเขาออกมาทั้งหมด
นายกองทางนั้นทั่วทั้งร่างประกายแสงสีฟ้ากะพริบวูบวาบ ตามมาอยู่ข้างกายสวี่ชิง เขาเห็นจิตสังหารที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ บนร่างสวี่ชิง ในดวงตาฉายประกายวาดหวัง
“อาชิงน้อยเดิมก็จิตสังหารรุนแรงอยู่แล้ว ประสบการณ์หลายปีมานี้ เขามีการควบคุม เป็นแบบนี้ต่อไปในระยะยาวสุดท้ายแล้วไม่ดี ”
“ฆ่าเถอะ ไม่ต้องขบคิดอะไรให้มากมาย ไม่ต้องมีพันธนาการ พวกเราผู้บำเพ็ญ สิ่งที่ต้องการก็คือจิตวิญญาณที่จะฝ่าทะลวงพันธนาการทุกสิ่งออกไป”
นายกองพึมพำในใจ พุ่งผ่านม่านฟ้าตามสวี่ชิง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในที่ไกลๆ ทันทีที่มังกรกระดูกที่ปลายขอบฟ้าและเงาร่างเผ่ามนุษย์หลายร้อยร่างที่ลากดึงอยู่ปรากฏขึ้นในสายตาสวี่ชิง เขาก็เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศึกนี้ข้าอยากลงมือคนเดียวดูว่าอัจฉริยะเผ่านภาคิมหันต์คนนี้ จะแข็งแกร่งปานใด”
“หากข้าไม่ใช่คู่มือจะขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ลงมือชิงภูเขาของผู้บำเพ็ญคนนี้มา”
นายกองหัวเราะพยักหน้าเห็นตกลง
เสี้ยวขณะต่อมา เงาร่างของสวี่ชิงก็ราวกับดาวตกที่ลุกไหม้ หอบม้วนเมฆหมอกบนม่านฟ้า ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นแสบแก้วหูออกมา พุ่งตรงไปยังปลายขอบฟ้าที่มังกรกระดูกตอนนี้หยุดลงแล้ว
ทุกที่ที่พาดผ่าน มิติระเบิด ฟ้าดินคล้ายว่าสั่นไหว
ยิ่งมีไหมวิญญาณหลายล้านเส้น พุ่งออกมาจากร่างของสวี่ชิง เขาเข้าไปใกล้ตลอด ท่ามกลางรัศมีอำนาจที่ปะทุขึ้นตลอดทาง ไหมวิญญาณเหล่านี้หลอมผสานซึ่งกัน ก่อเป็นสภาวะเทพขั้นที่หนึ่งของสวี่ชิง
กลิ่นอายของเขาปะทุระเบิดขึ้น เทียบได้กับระดับหวนสู่อนัตตาขั้นหนึ่ง
ลมเมฆหอบทะลัก
ยังไม่จบแค่นั้น เสี้ยวขณะต่อมาบนพื้นฐานของสภาวะเทพขั้นที่หนึ่ง ไหมวิญญาณขยุกขยิก สภาวะเทพขั้นที่สอง พลันปรากฏออกมา
กลิ่นอายปะทุขึ้นอีกครั้งเทียบได้กับระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สอง
รัศมีอำนาจท่วมท้น
จากนั้น หลังจากที่ไหมวิญญาณทั้งหมดหลอมรวม สภาวะเทพขั้นที่สาม ปรากฏขึ้นมา!
กำลังรบที่เทียบได้กับระดับหวนสู่อนัตตาขั้นที่สาม สยบไปทั่วทุกสารทิศ
มองไปไกลๆ เงาร่างสูงใหญ่เหี้ยมเกรียม ผ้าคลุมสีเลือด ทั้งยังมีกระดูกผลึกแก้ว และเส้นเลือดนับไม่ถ้วนนอกร่างกายทำให้สวี่ชิงในตอนนี้ ประดุจเทพมารลงมาเยือน
ข้างหลังเขายิ่งมีดวงจันทร์สีม่วงมายาปรากฏขึ้น และบนดวงจันทร์สีม่วง นาฬิกาแดดก็ก่อขึ้นมา ในยามที่ค่อยๆ ขยับเคลื่อน สวี่ชิงก็เอาเนื้อชุ่มเลือดของชื่อหมู่ออกมาก้อนหนึ่ง แล้วกลืนลงไปอย่างไม่ลังเล
เนื้อชุ่มเลือดระเบิดในร่างของเขา สภาวะเทพส่งเสียงระเบิดครืนคลาน รูปร่างคล้ายกับชื่อหมู่ไปหลายส่วน มองให้ละเอียดแล้ว กระทั่งว่ามีความรู้สึกที่คล้ายกับหลี่จื้อฮว่าอยู่ด้วยเล็กน้อย
กลิ่นอายก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ไปถึงระดับ…หวนสู่อนัตตาขั้นที่สี่!
ปกคลุมไปทั่วฟ้าดิน
นี่ถึงจะเป็นกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดของสวี่ชิง!
หน้ามังกรกระดูก เผ่ามนุษย์หลายร้อยคนนั้น แต่ละคนสีหน้าเปลี่ยนไป มีบางคนเห็นรูปร่างหน้าตาของสวี่ชิงอย่างชัดเจนในขณะที่เขาสำแดงสภาวะเทพ ในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม
โดยเฉพาะองค์ชายใหญ่ทางนั้น หลังจากที่มองเห็นว่าผู้มาเยือนคือสวี่ชิง เขาก็จิตใจสั่นสะท้านเช่นกัน
เขาไม่เคยสัมผัสกับสวี่ชิง แค่เคยมองเห็นจากที่ไกลๆ อยู่หลายครั้ง แต่เขาย่อมรู้ตัวตนของสวี่ชิง และรู้ถึงภารกิจครั้งนี้ของสวี่ชิง
ดังนั้นสำหรับการปรากฏตัวขึ้นของสวี่ชิงในเผ่านภาคิมหันต์ เขาตื่นตะลึงเป็นที่สุด จากนั้นก็กลายเป็นความร้อนรน กำลังจะเอ่ยปากเตือน แต่ในตอนนี้เอง แส้นับไม่ถ้วนก็ปรากฏรอบๆ แล้วรัดไปบนร่างพวกเขาทันที
รวมไปถึงบริเวณปาก และรวมไปถึงประสาทสัมผัสเทพของพวกเขาด้วย หลังจากผนึกวิธีการถ่ายทอดคำพูดทุกอย่างแล้ว เสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากในกระดูกหัวมังกร เสี้ยวขนาดต่อมารัฐทายาทหมิงหนานอ๋องที่อยู่ในนั้น เงาร่างหายไป ในยามที่ปรากฏตัวขึ้นก็มาอยู่ภายนอกแล้ว
ทอดสายตามองสวี่ชิงที่ประชิดเข้ามาอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาฉายแววสนอกสนใจออกมา
“มาจริงๆ หรือนี่”
“ทั้งยังมีวิชาเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อีกด้วย น่าสนุกๆ”
“อัจฉริยะเผ่ามนุษย์ เดิมทีข้าขี้เกียจจะสนใจ แต่ว่าสามารถสังหารผู้คนมากมายในเผ่าข้าได้ ทั้งยังมีพลังวิเศษประเภทนี้ เช่นนั้นไม่ว่าเจ้าจะลากรถให้ข้า หรือเมื่อเจ้าปฏิเสธก็เด็ดศีรษะนี้ลงมาแขวนไว้ที่หน้ารถ ก็พอจะนับว่าเอามาเป็นเครื่องประดับตกแต่งได้”
ขณะพูดรัฐทายาทหมิงหนานอ๋องคนนี้ก็ก้าวไปยังสวี่ชิงที่ประชิดมาด้วยพลังท่วมฟ้าปั่นป่วนที่อยู่ข้างหน้าไปในทันที!
พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม