ผู้กล้าเหนือกาลเวลา - บทที่ 97 ในที่สุดก็พบกับยักษ์ร้าย
บทที่ 97 ในที่สุดก็พบกับยักษ์ร้าย
คืนมืดมิด สายลมหนักหน่วง พัดมาที่เรือเวทของสวี่ชิงในท่าเรือที่เจ็ดสิบเก้า และพัดผ่านเกราะคุ้มกัน ไม่อาจทะลุเข้ามาได้
ถ้าหากมันสามารถทะลวงเกราะป้องกันและพัดเข้ามาในห้องเรือได้ ก็จะพบว่าในนี้…ไม่มีคน
ห่างออกมาจากเรือเวท ในมุมมืดแห่งหนึ่งใต้ชายคา สวี่ชิงยืนกอดอกพิงกำแพงอยู่เงียบๆ จ้องมองเรือเวทของตนเองในความมืด ขณะที่ในดวงตาเขาซ่อนประกายเย็นเยียบเอาไว้
‘คืนนี้ จะมีคนมาหรือไม่นะ’ สวี่ชิงเงยหน้า มองไปยังท้องฟ้ามืดมิด
“นี่คือค่ำคืนแห่งการสังหาร”
สวี่ชิงพึมพำเสียงแผ่ว ในสมองกลับปรากฏภาพตนเองตอนกลับจากการเดินเรือออกทะเล มองเห็นเมฆดำมืดกว้างใหญ่ผืนนั้น รวมไปถึงตัวตนที่เหมือนกับวิหคสรวงอินทรีในเมฆดำตนนั้น
ก่อนหน้าที่เขารับเรือเวทมาจากจางซาน ตอนที่จะออกมาก็ถามถึงเรื่องนี้ จางซานก็รู้เรื่องนี้เพียงครึ่งๆ กลางๆ เพียงบอกกับสวี่ชิงว่า ตัวตนนี้เกี่ยวข้องกับพื้นที่ต้องห้ามที่ใหญ่ที่สุดของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ…แดนต้องห้ามปักษาราชัน
มันคือจักรพรรดิแห่งแดนต้องห้ามผืนนั้น ชื่อว่าวิหคเพลิงสวรรค์!
ที่มาของคำว่าแดนต้องห้ามปักษาราชัน ก็มาจากสิ่งนี้
ตัวตนของมันสูงส่งที่สุด ไม่เพียงแต่มีแรงสะกดแดนต้องห้ามผืนนั้น แต่ยังสะกดทั่วทั้งทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณได้ กระทั่งชื่อของทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ก็ยังมาจากตัวมัน!
ปักษาสวรรค์ทักษิณ แผ่นดินใหญ่ต้องประสงค์อยู่ทางใต้ ในทะเลต้องห้ามมีสิ่งมีชีวิตระดับเทพเจ้าโบยบินอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้า พลานุภาพของมันสะกดท้องฟ้าให้มืดมิด สรรพชีวิตคร้ามเกรง มีนามว่าวิหคเพลิงสวรรค์ อาศัยอยู่บนเกาะและใช้เป็นสถานที่พักหายใจ ให้นามไว้ว่าปักษาสวรรค์ทักษิณ
ส่วนเรื่องหลักๆ จางซานก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก
‘วิหคเพลิงสวรรค์’ สวี่ชิงเอ่ยขึ้นเบาๆ ในใจ จากการฝึกบำเพ็ญ จากการได้สัมผัส จากความเข้าใจ เขาก็รู้จักโลกใบนี้มากขึ้น
เวลานี้ลมทะเลพัดเข้ามา เสียงลมผสานไปกับเสียงชายเสื้อดังเข้ามาในหูสวี่ชิง ดึงความคิดของเขากลับมาในพริบตา สวี่ชิงเลิกขบคิดเรื่องวิหคเพลิงสวรรค์พร้อมความเย็นชาในสายตาที่ปรากฏขึ้น มองท่าเรือออกไปไกลๆ
เพียงไม่นาน ก็มีเงาห้าร่างสะท้อนเข้ามาในสายตาสวี่ชิง
ชายสามหญิงสอง
หญิงสองคนข้างหน้า สวี่ชิงเคยเห็น ไม่ว่าจะกลิ่นคาวปลาที่ลอยมาตามลม หรือว่าร่างเงาของพวกนาง ล้วนทำให้สวี่ชิงมองผาดเดียวก็รู้แล้วว่าสองคนนี้คือพี่สาวของเด็กหนุ่มเผ่าเงือกคนนั้น
พลังบำเพ็ญไม่ธรรมดา คนหนึ่งคือรวมปราณขั้นเก้า ส่วนอีกคนรวมปราณขั้นบริบูรณ์
ส่วนสามคนที่ติดตามอยู่ด้านหลัง ก็เป็นผู้บำเพ็ญเผ่าเงือก พลังบำเพ็ญล้วนอยู่ระดับรวมปราณขั้นแปดทั้งสิ้น สีหน้าที่เผยออกมาใต้เงาจันทร์มีความโหดร้ายและจิตสังหารอยู่ด้วย
สวี่ชิงมองพวกเขาเย็นชา ดวงตาหรี่ลงช้าๆ แต่ไม่ได้ลงมือทันที ทว่ากลับมองไปด้านหลังของพวกเขา
“พวกผู้คุ้มครองเต๋าระดับสร้างฐานพวกนั้น เหตุใดจึงยังไม่ปรากฏตัวอีก”
สวี่ชิงครุ่นคิด เพียงไม่นาน เงาทั้งห้านี้ก็เลี่ยงหลบศิษย์ลาดตระเวน เข้าประชิดเรือเวทของสวี่ชิงใต้แสงจันทร์
บางทีอาจเพราะมีองค์ชายสามเป็นเบื้องหลังให้พึ่งพา หรืออาจเพราะความบุ่มบ่ามของเผ่าเงือก ตอนที่เข้าใกล้เรือเวทของสวี่ชิง เผ่าเงือกคนน้องคนนั้นเพิ่มความเร็วขึ้นฉับพลัน ตั้งท่าจะพุ่งตัวเข้าไป แต่ถูกพี่สาวของนางขวางไว้ เห็นได้ชัดว่าพี่สาวคนนี้ฉลาดกว่ามาก ไม่มีการเคลื่อนไหวที่บุ่มบ่าม และมือขวาก็ล้วงของวิเศษอักขระขึ้นมาแผ่นหนึ่ง
ของวิเศษอักขระคุณสมบัติเหมือนจะไม่ใช่เพื่อเข่นฆ่าสังหาร แต่เป็นการตรวจสอบ
หลังผ่านไปหลายอึดใจ หญิงสาวเผ่าเงือกสองคนนั้นก็สังเกตเห็นว่าในเรือไม่มีคนภายใต้การจับตาดูสวี่ชิง จึงถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ตั้งท่าจะจากไป
ในดวงตาสวี่ชิงแผ่ความเย็นเยียบ สาเหตุที่เขาออกห่างจากเรือ ก็เพราะไม่อยากจะเปิดฉากสังหารในนั้น หากสังหารในเรือของตนเองจะดูสะดุดตาเกินไป เรื่องวุ่นวายที่ตามมาจะมากเกินไป
แน่นอนถ้าหากคนเหล่านี้บุกเข้าไปด้านใน เช่นนั้นสวี่ชิงก็มีแผนรับมืออยู่ เวลานี้เขาเผ่าเงือกทั้งห้าคนจ้องเขม็ง รอให้พวกเขาจากไป แผนของเขาคือการสะกดรอยตามในความมืด แล้วลอบสังหารคนเหล่านี้ทีละคนระหว่างทาง แล้วทำลายศพกับร่องรอยทิ้ง
แต่ขณะที่ห้าคนนี้จะจากไป พริบตาที่สวี่ชิงตั้งท่าจะเดินออกมาจากความมืด จู่ๆ เผ่าเงือกคนพี่สองคนนั้นก็สีหน้าเปลี่ยนไป หันมาทางจุดที่สวี่ชิงซ่อนอยู่ฉับพลัน
“ที่นั่นมีคลื่นคำสาปสายเลือดของน้องชายที่ตายไปอยู่!”
เมื่อหญิงสาวคนนี้พูดออกมา น้องสาวข้างๆ นางก็หันไปมอง ดวงตาสีเขียวจิตสังหารแผ่ซ่าน ร่างทั้งร่างพุ่งหวีดหวิวตรงมายังจุดที่สวี่ชิงอยู่ ผู้ติดตามสามคนรอบๆ ก็ทยอยแผ่จิตสังหารรุนแรง เข้าประชิดอย่างรวดเร็ว
‘พบตัวข้าแล้วหรือ’ สวี่ชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย อีกฝ่ายเป็นคนขององค์ชายสาม ถ้าสังหารที่นี่ก็จะดึงดูดความสนใจ และสวี่ชิงก็ยังต้องพิจารณาถึงเรื่องที่อีกฝ่ายจะสื่อเสียงออกไปภายนอกอีกด้วย
ดังนั้นพริบตาที่อีกฝ่ายพุ่งเข้ามา ร่างกายสวี่ชิงจึงถอยฉากอย่างรวดเร็ว เก็บกลิ่นอายลงมาเป็นส่วนใหญ่ ทำท่าตื่นตระหนกออกมาเพื่อทำให้อีกฝ่ายตายใจ ให้พวกเขามั่นใจว่าจะชนะ จนไม่สื่อเสียงออกไปภายนอกตั้งแต่แรก
ขณะเดียวกันสวี่ชิงก็ไม่คิดจะยืดเวลาให้นานนัก คิดจะหาสถานที่ที่ไกลหูไกลตาเสียหน่อยแล้วค่อยลงมือ
ด้านหลังของเขาเวลานี้ ผู้บำเพ็ญเผ่าเงือกทั้งห้าไล่ตามมาด้วยความเร็วสูง
เผ่าเงือกคนน้องอยู่หน้าสุด สายตาดุดัน เมื่อโบกมือก็มีฟองอากาศสีดำหลายฟองปรากฏขึ้นข้างกายพร้อมแผ่จิตสังหารเข้มข้น สะบัดพุ่งไปหาสวี่ชิงที่กำลังหลบหนีอย่างลนลาน
ฟองอากาศเหล่านี้ลอยเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว ขณะที่แผ่คลื่นวิชาเวท ก็มีไอพลังประหลาดเข้มข้นแผ่ออกมา เหมือนคิดจะซึมซาบเข้าสู่ตัวสวี่ชิง
“ที่แท้ก็เจ้านี่เองที่สังหารน้องชายเผ่าข้า ในที่สุดวันนี้ก็หาเจอเสียที ข้าจะทำให้เจ้าตายทั้งเป็นเลยคอยดู!”
ขณะที่พูด เผ่าเงือกทั้งสามที่ติดตามมาด้านหลังนางก็ล้วงเอาของวิเศษล้ำค่าของแต่ละคนออกมาด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
คนหนึ่งถือกระบี่กระดูก คนหนึ่งสองมือหุ้มด้วยเกล็ดกลายเป็นเข็มพิษ ยังมีอีกคนหนึ่งที่แผ่นหลังมีเนื้องอกแทงทะลุเสื้อผ้าออกมาด้านหลัง แผ่หมอกพิษเข้มข้นออกมา กลายร่างเป็นผีร้ายไล่โจมตีสวี่ชิง
ส่วนเผ่าเงือกคนพี่อยู่ด้านหลัง นางเป็นคนรอบคอบระแวดระวัง เวลานี้ไล่ตามมาแต่ก็ไม่ยอมขึ้นหน้า กระทั่งยังล้วงของวิเศษอักขระออกมาคุ้มกันทั้งตัวตามความเคยชินอีกด้วย
สวี่ชิงไม่หันหน้ามามองวิชาเวทที่อยู่ด้านหลัง เพิ่มความเร็ว
จนกระทั่งตอนที่วิชาเวทเหล่านั้นเกือบจะเข้าประชิด เขาก็มาถึงมุมอับสายตามุมหนึ่ง จึงหยุดไม่เดินหน้าต่อ หมุนตัวพร้อมกับสายตาที่เผยจิตสังหารฉับพลัน ความเร็วปะทุออกมาในพริบตานั้นจนสูงกว่าก่อนหน้าหลายเท่าตัว พุ่งชนไปข้างหลัง
แทบจะในพริบตาความเร็วร่างกายเขาก็ไปถึงน้องสาวเผ่าเงือกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ ร่างของสวี่ชิงก็อัดกระแทกไปที่หน้าอกนางอย่างแรง โดยไม่สนใจไอพลังประหลาดของฟองน้ำวิชาเวทของนาง และไม่รอให้อีกฝ่ายเผยสีหน้าอื่น
ต่อให้หญิงสาวคนนี้เป็นรวมปราณขั้นเก้า ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพรสวรรค์ของเผ่าเงือกอีก แต่เมื่อเผชิญหน้ากับสวี่ชิงที่มีพลังกายเนื้อสูงกว่าระดับรวมปราณ รวมถึงพลังวิญญาณที่แข็งแกร่ง พริบตาที่สัมผัสกับสวี่ชิง ร่างของนางก็เหมือนกับกระดาษ…
เสียงตูมดังขึ้น หญิงสาวคนนี้ถลึงตาโต เสียงกรีดร้องยังไม่ทันออกมา ร่างของนางก็แหลกเละฉับพลัน
เลือดเนื้อกระจายไปทั่วสารทิศ ร่างทั้งร่างถูกกระแทกจนชิ้นส่วนแตกกระจาย มีเพียงศีรษะที่ลอยคว้าง ถูกแสงสีน้ำเงินวูบหนึ่งห่อหุ้มไว้ เหมือนกำลังรักษาชีวิต ถอยกรูดหายไปอย่างรวดเร็ว
สวี่ชิงชำเลืองมองผาดหนึ่ง เหล็กแหลมสีดำในมือพุ่งออกไปทันควันยังศีรษะนั้น และร่างของเขาก็ไม่ชะงักเลยแม้แต่น้อย ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าผู้ติดตามเผ่าเงือกที่ถือกระบี่กระดูก
ขณะที่ผู้บำเพ็ญคนนี้หน้าถอดสี มือขวาของสวี่ชิงก็ยกขึ้น ตะปบเข้าไปที่กระบี่กระดูกของเขา หักมันอย่างแรง
เสียงเคร้งดังขึ้น กระบี่กระดูกหักเป็นสองท่อน
ท่อนหนึ่งของคมกระบี่ถูกสวี่ชิงพลิกข้อมือแทงเข้าไปที่คอผู้บำเพ็ญคนนี้ แทงทะลุไปด้านหลัง
ผู้ติดตามรวมปราณขั้นแปดคนนี้ เลือดสดพ่นกระฉูดจากลำคอ ขาดใจตายทันที
ยังไม่จบ ร่างสวี่ชิงย่างออกไปก้าวหนึ่ง จนมาถึงข้างตัวคนติดตามที่แผ่นหลังมีเนื้องอกแผ่พิษออกมาอีกคนหนึ่ง
ร่างกายก็ดีดถอยอย่างรวดเร็วพร้อมกับหายใจที่หอบถี่ แต่ถอยออกไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างเขาก็สั่นสะท้าน ทั้งตัวดำคล้ำฉับพลัน กระอักเลือดสดออกมา พิษกำเริบจนตาย
พิษของเขาเทียบกับพิษของสวี่ชิงแล้ว ไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง
ขณะเดียวกัน คนติดตามคนที่สามก็จิตใจสั่นสะเทือน ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงฉับพลัน ขณะกำลังจะกรีดร้อง กลับถูกหยดน้ำนับไม่ถ้วนที่ปรากฏขึ้นกะทันหันคลุมไว้ทั้งตัว บีบอัดอย่างแรง เสียงโพละดังขึ้นกลายเป็นหมอกเลือดไป
เข็มแหลมสีดำเวลานี้ก็ไล่มาถึงศีรษะเผ่าเงือกคนน้องที่ถูกแสงน้ำเงินหุ้มไว้ แทงดังปังเข้าไปที่ศีรษะ
แต่ของวิเศษอักขระแสงสีน้ำเงินนี้ก็น่าตกตะลึง สว่างจ้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ต้านทานกำลังของเหล็กแหลม แต่ว่าแรงปะทะที่แฝงอยู่ ก็ยังทำให้ศีรษะนี้เสียหายไปกว่าครึ่ง
ทว่าหญิงสาวเผ่าเงือกคนนี้ เนื่องจากมีพรสวรรค์ของต่างเผ่า จึงยังไม่ตายในทันที ใช้แรงปะทะลอยไปยังจุดที่พี่สาวอยู่พร้อมเสียงกรีดร้อง
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟเท่านั้น การลงมือของสวี่ชิงโหดเหี้ยมขั้นสุด ขณะที่สังหารไปพร้อมกันสามคน ก็ยังมีกริชเย็นเยียบเล่มหนึ่ง ส่งเสียงผ่าอากาศหวีดหวิว พุ่งตรงไปหาเผ่าเงือกคนพี่คนนั้น
พุ่งเข้าใกล้อย่างฉับพลัน
เผ่าเงือกคนพี่หน้าถอดสี ในสีหน้ามีความตกตะลึงและพรั่นพรึงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน กระทั่งการตายของพวกเดียวกันก่อนหน้านี้ ทำให้นางรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องจริงอีกด้วย
แต่นิสัยรอบคอบของนางกับความเคยชินในการใช้ของวิเศษอักขระคุ้มกันทั้งร่าง บวกกับพลังบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นบริบูรณ์ ก็ทำให้นางไม่มีร่องรอยการติดพิษ และแม้แรงปะทะของกริชที่พุ่งเข้ามาจะรุนแรงมาก แต่ก็ยังไม่สามารถทำลายเกราะคุ้มกันของวิเศษอักขระของนางได้ในพริบตา
ร่างกายภายใต้เกราะคุ้มกันของวิเศษอักขระของเผ่าเงือกคนพี่สั่นระริกพร้อมเสียงครืนครัน
ใบหน้านางเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง นางจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าในท่าเรือเจ็ดสิบเก้าที่ดูธรรมดานี้ กลับซ่อนตัวตนที่น่ากลัวถึงเพียงนี้เอาไว้ พลังต่อสู้นี้ในความรู้สึกของนาง ไม่ต่างอะไรกับระดับสร้างฐานเลย
เมื่อคิดว่าตนเองพาคนมาหาเรื่องกับคนผู้นี้…หนังศีรษะของเผ่าเงือกคนพี่ก็เริ่มชา…กระทั่งในใจก็สาปแช่งน้องชายในเผ่าที่ตายไป
‘จะตายก็ตายไปสิ ทำไมต้องมายั่วโมโหดาวมฤตยูเช่นนี้ด้วย!!’
ยามวิกฤตนางก็ไม่ลังเล ล้วงเอาของวิเศษอักขระชิ้นที่สองออกมาทันที สะบัดออกไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรงโดยไม่เสียดาย เสียงสะท้อนกึกก้องครืนครันขึ้นทันที ของวิเศษอักขระนี้กลายเป็นหางปลาขนาดยักษ์หางหนึ่ง สะบัดไปทางสวี่ชิงอย่างรุนแรง
เผ่าเงือกคนพี่ฉวยโอกาสนี้คว้าศีรษะน้องสาวที่ติดพิษจนหายใจรวยริน ระเบิดพลังบำเพ็ญหมดทั้งร่าง หนีไปโดยไม่หันกลับมามอง
ความหวาดกลัวในสีหน้านางกลายเป็นคลื่นโถมขนาดยักษ์ โถมจิตวิญญาณของนางจนมิด ในสมองมีเพียงความคิดเดียว นั่นคือหลบหนี!
หนีไปจนกว่าเหล่าผู้คุ้มครองเต๋าของเผ่าจะมา
ผู้คุ้มครองเต๋าเวลานี้น่าจะมาถึงแล้วตามที่นัดกันไว้ ดังนั้นนางจึงล้วงเอาแผ่นหยกสื่อเสียงออกมาอย่างรวดเร็ว สื่อเสียงไปหาผู้คุ้มครองเต๋าของเผ่า
เพียงแต่นางไม่มีเวลาตรวจสอบว่าอีกฝ่ายตอบกลับมาหรือแล้วไม่ พลังบำเพ็ญในร่างกายตอนนี้กำลังเผาไหม้ ร่างทั้งร่างระเบิดความเร็วออกมาจนหมด กระทั่งล้วงเอาของวิเศษอักขระใบที่สามออกมาอย่างไม่เสียดาย ทำลายม่านฝนปิดล้อมของสวี่ชิง แล้วทะยานออกไปอย่างรวดเร็วบ้าคลั่ง
เสียงครืนครันสะท้อนก้อง
หากอยู่ที่ท่าเรือจะต้องถูกสังเกตได้แน่นอน แต่ที่นี่ทั้งห่างไกลผู้คนและยังมีม่านฝนของสวี่ชิงสกัดไว้ ยิ่งไปกว่านั้นยังต่อสู้กันรวดเร็ว ดังนั้นเสียงจึงยังไม่เล็ดลอดออกไป
ไม่นานนัก หลังจากที่ของวิเศษอักขระชิ้นนั้นกลายเป็นหางปลาขนาดยักษ์ ร่างของสวี่ชิงก็ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง
สีหน้าเขาเย็นชา มองหญิงสาวเผ่าเงือกที่หลบหนีไป สาวเท้าพุ่งตามไปฉับพลัน
ระเบิดความเร็วทั้งหมด ล้วงยันต์บินทะยานออกมาด้วย จนทำให้ร่างของเขาราวกับกลายเป็นสายอัสนีพุ่งทะยานออกไป