ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 110-2 ข้ามาคลี่คลายคดีที่กรมอาญาไม่อาจคลี่คลายได้
บทที่ 110-2 ข้ามาคลี่คลายคดีที่กรมอาญาไม่อาจคลี่คลายได้
เวลานี้ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบเข้ามาอย่างลุกลี้ลุกลน เขากวาดตามองเหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และก้มหน้ากระซิบข้างหูขุนนางกรมอาญาคนหนึ่งสองสามประโยค
สีหน้าของขุนนางกรมอาญาคนนั้นเปลี่ยนไปยกใหญ่ เขาทนไม่ไหว ชี้ไปที่สวี่ชีอันกับพรรคพวก และด่าว่า “มีอย่างนี้ที่ไหนกัน ไม่ยับยั้งชั่งใจเลย!”
ขุนนางที่อยู่เต็มห้องขมวดคิ้วทีละคน
เจ้ากรมซุนถามว่า “เกิดอะไรขึ้น”
สีหน้าของขุนนางกรมอาญาคนนั้นกระวนกระวาย เขาประสานมือ “ใต้เท้าเจ้ากรม ท่านขันทีหลิว หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลุ่มนี้ฆ่าคนที่ประตูกรมอาญาของข้า และคนที่ถูกฆ่ายังเป็นนายพลที่มีตำแหน่งราชการอีก ช่างก้าวร้าวและหยิ่งผยองนัก ต้องถูกลงโทษอย่างหนัก”
ขุนนางทุกคนตกตะลึง แม้แต่ขันทีใหญ่ที่ยืนนิ่งและหรี่ตามองไม่พูดไม่จาก็มองสวี่ชีอันกับพรรคพวกอย่างแปลกใจ
สีหน้าของเจ้ากรมซุนไม่เปลี่ยนแปลง เขาตบตรงที่เท้าแขนเก้าอี้เบาๆ และพูดว่า “กรมอาญามีหน้าที่ดูแลกฎหมายอาญาและกฤษฎีกา แบ่งเบาความทุกข์ของฝ่าบาท บรรเทาความทุกข์ยากของประชาชน มา…”
“ช้าก่อน!” สวี่ชีอันขัดจังหวะเสียงดัง และพูดอย่างเย้ยหยัน “เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้สืบสวนคดี จากนั้นกรมอาญาก็ขัดขวาง ขัดขวางการทำคดี เจ้าหน้าที่ถือครองตราทองคำไว้ในมือ จึงดำเนินการก่อนแล้วค่อยรายงานภายหลัง นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ยังสงสัยอีกว่ากรมอาญาสมรู้ร่วมคิดกับคนร้าย เป็นหัวโจกที่ระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอ เจ้ากรมซุน ทำไมท่านไม่ไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกับข้าหน่อยล่ะ”
‘เด็ดเดี่ยวขนาดนี้เลยหรือ’
เหล่าขุนนางของที่ว่าการเมืองมองหน้ากันไปมา ‘เหลือเชื่อ นี่เป็นคำพูดที่ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ คนหนึ่งจะกล้าพูดออกมาจริงๆ หรือ’
เจ้ากรมซุนเป็นขุนนางระดับสองที่ถือครองอำนาจไว้ในมือ หนึ่งในขุนนางแห่งท้องพระโรง ฆ้องทองแดงที่อยู่ตรงหน้าเขากล้าพูดเช่นนี้ และยังไม่เห็นเจ้ากรมซุนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อยอีก
ขุนนางของที่ว่าการเมืองอดมองผู้บังคับบัญชาไม่ได้ แต่ก็พบว่าข้าหลวงเฉินแหงนหน้า 45 องศามองท้องฟ้า และแกล้งทำเป็นไม่เห็น
“ใจกล้ามาก!”
“กล้าใส่ร้ายใต้เท้าเจ้ากรม เจ้ามีกี่หัวกัน”
ขุนนางกรมอาญาโกรธจัด
สวี่ชีอันยิ่งรุนแรงขึ้น เขาก้าวไปข้างหน้า มือข้างหนึ่งกุมดาบ และเพ่งมองทุกคนในกรมอาญา “กรมอาญาคลี่คลายคดีไม่ได้ ข้าจึงมาคลี่คลาย คนที่กรมอาญาฆ่าไม่ได้ ข้ามาฆ่า! และข้ายังมี!” สวี่ชีอันหยิบตราทองคำที่จักรพรรดิพระราชทานให้ออกมาจากอกเสื้อ และสะบัดมือ ‘ปึง’ ตราทองคำหมุนลงไปที่พื้น ฝุ่นละอองสาดกระเซ็น
“หากกรมอาญากล้าขัดขวางข้าทำคดี แม้จะเป็นกรมอาญาข้าก็ฆ่า! ชัดเจนพอหรือไม่”
ห้องประชุมเงียบสนิท ขุนนางกรมอาญาที่เดือดพล่านก็เงียบไปทันที ไม่ใช่เพราะพวกเขากลัว แต่ตกใจ
เกิดอะไรขึ้นกับที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เกิดอะไรขึ้นกับเว่ยเยวียน
ส่งคนบุ่มบ่ามเช่นนี้มาทำคดี นี่ไม่ใช่การส่งคนมาจัดการศัตรูทางการเมืองในมือหรอกหรือ
ด้วยคำพูดเหล่านี้ หากจับเขาขังไว้ในคุกของกรมอาญา เขาก็จะไม่สามารถออกไปได้ตลอดชีวิต พรุ่งนี้กรมอาญาจะเข้าร่วมกับเว่ยเยวียน เพื่อดูว่าเขาจะอธิบายอย่างไร
“ฮ่าๆ!” ขันทีใหญ่ที่สวมชุดคลุมงูเหลือมหัวเราะขึ้นมา “สมกับเป็นคนหนุ่มจริงๆ เย่อหยิ่งและอวดดี”
เขามองทุกคนรอบๆ “ข้าขอแนะนำฆ้องทองแดงผู้นี้ให้ทุกคนรู้จัก เขาเป็นผู้รับผิดชอบของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่องค์หญิงใหญ่แนะนำและฝ่าบาทระบุชื่อด้วยตัวเอง จริงสิ ก่อนหน้านี้เขาถูกเว่ยกงตัดสินโทษตัดเอวในอีกเจ็ดวันเพราะฟันผู้บังคับบัญชาจนบาดเจ็บ แต่ฝ่าบาททรงเมตตา อนุญาตให้เขาทำความดีชดเชยความผิด”
‘ผู้รับผิดชอบที่ฝ่าบาทแต่งตั้ง ไม่แปลกที่จะกล้าทำรุนแรงเช่นนี้…ฟันผู้บังคับบัญชาจนบาดเจ็บ ตัดเอวในอีกเจ็ดวัน ไม่แปลกที่เจตนาฆ่าจะหนักขนาดนี้!’
ขุนนางทุกคนของกรมอาญาไม่พูดอะไรอีกทันที
นี่คือคนบ้าที่จนแต้ม การคลี่คลายคดีจึงเป็นโอกาสที่จะมีชีวิตรอดเดียวของเขา คนแบบนี้เดินทางสุดโต่งได้ง่ายที่สุด หากบีบคั้นเขา เกรงว่าเขาคงเต็มใจที่จะฝังคนอีกสักสองสามคน
จุดนี้เห็นได้จากการตัดหัวเจ้าหน้าที่อย่างไม่ลังเลของเขา
เมื่อเห็นเหล่าขุนนางของกรมอาญาแสวงหาข้อได้เปรียบและหลีกเลี่ยงข้อเสียเปรียบ ขันทีใหญ่ก็กดมือ และพูดว่า “ทุกคนนั่งลง คดีซังผอเกี่ยวข้องอย่างมาก และฝ่าบาทก็ให้ความสนใจสูงกว่าคดีเงินภาษีมาก ข้าได้รับการแต่งตั้งเป็นพิเศษให้เป็นผู้ว่าราชการมณฑล และกระตุ้นให้พวกเจ้าทำคดี หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มาพอดี ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปหาพวกเจ้าเพื่อคุยทีหลัง”
ขันทีคนนี้เอนเอียงมาทางข้าอย่างเห็นได้ชัด…พูดให้ถูกก็คือเขาเข้าข้างหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นความสัมพันธ์ของเว่ยเยวียนหรือ
สวี่ชีอันประสานมือคำนับ และกลับไปนั่งที่
ซ่งถิงเฟิงให้ความร่วมมืออย่างมาก เขาวิ่งตรงไปเก็บตราทองคำขึ้นมา และยื่นให้ด้วยมือทั้งสองข้าง “ใต้เท้า ตราทองคำของท่าน”
สวี่ชีอันมองทุกคนราวกับจะแสดงให้เห็น และยื่นมือไปรับ “อืม!”
ผลของการวางอำนาจช่วงที่สองของเขาดีมาก
การสร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนประมาทที่อับจนหนทางสามารถแก้ไขปัญหามากมายที่จะตามมาได้ หากคนของกรมอาญากับที่ว่าการเมืองยังอยากแย่งผลงานอีกก็คงต้องไตร่ตรองก่อน ชายที่เขาต้องเผชิญหน้าด้วยคือโรคจิตที่หากพูดไม่เข้าหูก็ชักดาบฆ่าคนได้
ส่วนจะดึงดูดปัญหาอะไรตามมา สวี่ชีอันไม่สน ประการแรกคือเชื่อว่าเว่ยเยวียนจะปกป้องเขาจากลมฝน ประการสองคือหากคลี่คลายคดีไม่ได้ เขาก็ไม่ต้องสนว่าอะไรจะตามมาแล้ว ไม่ว่าจะตายหรือออกจากเมืองหลวงตลอดชีวิต
ขันทีหลิวจิบชา และพูดว่า “ภายในที่ทำการปกครองทั้งสามมีคนหายตัวไป คนที่หายตัวไปเหล่านัั้น เป็นไปได้มากว่าจะเป็นไส้ศึก ช่วยคนร้ายแอบลักลอบขนดินปืน ทุกคนมองเรื่องนี้อย่างไร”
ข้าหลวงเฉินกล่าว “ข้าส่งคนไปตรวจสอบครอบครัวของผู้ตายทั้งเก้าคนแล้ว ทุกคนยังอยู่ที่เมืองหลวง ส่วนการหายตัวไปของคนใกล้ชิดก็ไม่รู้ข้อเท็จจริงเลย ข้าจึงอนุมานว่า คนทั้งเก้าไม่ได้หนีไป แต่ถูกฆ่าปิดปาก”
ขันทีหลิวพยักหน้าเล็กน้อย
ขุนนางคนหนึ่งของกรมอาญากล่าวว่า “ในสามที่ทำการปกครองต้องมีไส้ศึกซ่อนอยู่แน่ๆ ไส้ศึกที่แอบแฝง เป็นพวกเขาที่ฆ่าคนเพื่อปิดปาก และชำระบัญชีคนที่รู้ข้อเท็จจริง”
ขันทีหลิวขมวดคิ้วพึมพำ
สวี่ชีอันนั่งฟังเงียบๆ ตั้งแต่มาเข้าร่วมการประชุม ประโยชน์ของคนที่ถูกคุมขังก็น้อยลงแล้ว
เพราะเพียงแค่ฟังคำพูดของเหล่าขุนนางกรมอาญากับที่ว่าการเมืองก็ได้รู้ข้อมูลที่อยากรู้แล้ว
“เกรงว่าไม่เพียงแค่ศาลต้าหลี่กับกรมพิธีการเท่านั้น แม้แต่กรมโยธาก็อาจมีไส้ศึก” หลี่ว์ชิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
ทุกคนมองไปทางผู้หญิงเพียงคนเดียวในที่นี้
ขันทีหลิวมองพินิจหลี่ว์ชิง และพยักหน้า “พูดต่อสิ”
หลี่ว์ชิงพูดต่อ “กระหม่อมตรวจสอบฐานะทางบ้านและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลของพวกเขา ด้วยความสามารถของพวกเขา ไม่เพียงพอที่จะลักลอบขนดินปืนมากขนาดนั้นออกจากโรงงานดินปืนได้ ดังนั้นกรมโยธาต้องมีคนแอบให้ความช่วยเหลือ และตำแหน่งราชการก็คงไม่เล็ก”
ตำแหน่งราชการไม่เล็ก…
“ดินปืนเป็นวัสดุเชิงกลยุทธ์ที่ราชสำนักให้ความสำคัญมาก และมาตรการรักษาความลับกับป้องกันการโจรกรรมทุกประเภทก็เข้มงวดและครอบคลุมมาก หากไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรมโยธาช่วย เรื่องนี้คงทำไม่สำเร็จ”
ตรรกะชัดเจน สมเหตุสมผล ทุกคนฟังแล้วก็พยักหน้าอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อหัวหน้ามือปราบหลี่ว์ชิงคนนี้
สวี่ชีอันสังเกตเห็นว่า ขันทีที่อยู่ข้างกายขันทีหลิวคนหนึ่งกำลังเขียนบางอย่างด้วยความเร็วมหาศาล ดูเหมือนจะกำลังจดบันทึก บันทึกการสนทนาของทุกคน
…นี่คือสิ่งที่ต้องมอบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งดูหรือ จักรพรรดิเฒ่าให้ความสำคัญกับคดีนี้มากกว่าคดีเงินภาษี…อืม ก็จริง ของที่นำออกมาจากใต้ทะเลสาบซังผอก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ของที่ไม่น่ากลัวสุดขีดและสำคัญสุดขั้ว จะไม่ถูกปิดผนึกที่ทะเลสาบซังผอ
สวี่ชีอันครุ่นคิดในใจ
ขันทีหลิวที่สวมชุดคลุมงูเหลือมมองมาทางฝั่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขามองสวี่ชีอัน และถามว่า “ใต้เท้าสวี่อย่านิ่งเงียบ ในฐานะผู้รับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล พวกท่านได้เรื่องอะไรหรือไม่”
ขุนนางของที่ว่าการเมืองและกรมอาญามองมาพร้อมกัน
……………………………………………