ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 111 ล็อกตัวผู้ต้องสงสัย
บทที่ 111 ล็อกตัวผู้ต้องสงสัย
เมื่อขุนนางกรมอาญาได้ยินคำพูดของขันทีหลิว พวกเขาก็คิดว่าอีกฝ่ายกำลังทำให้ฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ สกุลสวี่ลำบากใจ ด้วยท่าทีที่มีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น และตัดสินว่าขอเพียงสวี่ชีอันพูดว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง พวกเขาก็จะโจมตีทันที และทำให้เขาเสียหน้า
อันที่จริงปัญญาชนเชี่ยวชาญการต่อสู้มาก เพียงแต่ไม่ใช่ในด้านกำลัง
เหล่าขุนนางและมือปราบของที่ว่าการเมืองต่างรอดูท่าที และไม่สนว่าฆ้องทองแดงที่มุทะลุคนนี้จะให้เบาะแสอะไร แต่พวกเขาก็ต้องค้นพบอย่างคาดไม่ถึงว่าท่านข้าหลวงไม่ได้ใจลอย เขายืดตัวตรงเล็กน้อย และแสดงท่าทีตั้งใจฟังออกมาอย่างจริงจัง
หลี่ว์ชิงเอ่ยเสียงเบา “ลืมไปแล้วหรือ สวี่ชีอันไง สวี่ชีอันจากคดีเงินภาษี”
หลังจากนางเตือน ทุกคนในที่ว่าการเมืองก็ได้สติทันที และนึกชื่อสวี่ชีอันออก
ไม่แปลกที่เมื่อสักครู่นี้ได้ยินชื่อแล้วจะรู้สึกคุ้นหู ที่แท้ก็เป็นมือปราบตัวเล็กๆ ที่พลิกผันคดีเงินภาษี และไขปริศนาเงินปลอมคนนั้น
อืม ตอนนี้เป็นฆ้องทองแดงของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้ว
ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งเขาเป็นผู้รับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…ถึงเวลานี้ เหล่าขุนนางของที่ว่าการเมืองจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้จริงๆ
“ได้กำไรเลกน้อจริงๆ!” สวี่ชีอันพยักหน้า
เดิมทีเขาไม่อยากพูด เพราะกรมอาญากับที่ว่าการเมืองเป็นคู่แข่งกัน และไม่มีเหตุผลให้แบ่งปันเบาะแสกับสุนัขฝูงนี้
แต่เมื่อสักครู่นี้เขาสังเกตเห็นขันทีเล็กจดบันทึก และทุกคนในกรมอาญากับที่ว่าการเมืองก็แลกเปลี่ยนกันอย่างไม่วิตกกังวล สวี่ชีอันจึงตระหนักได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสในการแสดงโอกาสหนึ่ง
แสดงให้จักรพรรดิองค์นั้นดู
หากไม่มีอะไรผิดพลาด บันทึกนี้จะต้องมอบให้จักรพรรดิดู ลองคิดดูว่า หลังจากจักรพรรดิหยวนจิ่งอ่านบันทึกจบ เขาก็จะพบว่ากรมอาญาและที่ว่าการเมืองต่างพูดคุยกันอย่างแข็งขัน ให้เบาะแส พยายามอย่างหนักเพื่อคลี่คลายคดี แต่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลกลับเงียบสนิทไม่พูดไม่จา
เขาจะคิดอย่างไร
แม้ว่าการแบ่งปันข้อมูลจะทำให้ขาดทุนเล็กน้อย แต่ผลงานก็บันทึกไว้บนกระดาษแล้ว
“จากการคาดคะเนของหัวหน้ามือปราบหลี่ว์ ข้ามีข้อสงสัยสองสามจุด” สวี่ชีอันกับพรรคพวกมอง และพูดตามระเบียบแบบแผน
“เมื่อเช้านี้ข้าไปตรวจสอบที่ซังผอมา หากอยากระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอทั้งวัด และระเบิดศาลาสูง ปริมาณดินปืนที่ต้องการมหาศาลมาก”
“ใช่ มีปัญหาอะไรหรือ” หลี่ว์ชิงก็ไปซังผอเพื่อสำรวจสถานที่เกิดเหตุเช่นกัน
“ปัญหามีแน่ เจ้าเพิ่งจะพูดว่า ดินปืนเป็นวัสดุเชิงกลยุทธ์ที่ราชสำนักให้ความสำคัญมาก และมาตรการรักษาความลับกับป้องกันการโจรกรรมทุกประเภทก็เข้มงวดและครอบคลุมมาก การลักลอบขนดินปืนเหล่านี้ออกไปจึงยากมาก นับประสาอะไรกับการลบร่องรอยที่เกี่ยวข้อง” สวี่ชีอันพูด “เจ้าคิดว่าคนเช่นไรจึงจะทำเรื่องแบบนี้ได้”
หลี่ว์ชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ากรมกรมโยธา หรือรองเจ้ากรมสองคน”
ทุกคนตกตะลึง แม้แต่ขันทีเล็กที่ก้มหน้าจดบันทึกก็ชะงักเช่นกัน
สวี่ชีอันพยักหน้า “หากเป็นเจ้ากรมกับรองเจ้ากรมสองคนของกรมโยธา เช่นนั้นทุกอย่างก็สมเหตุสมผล ด้วยกลอุบายกับความสามารถของพวกเขา การจะติดสินบนขุนนางชั้นผู้น้อยในวังหรือเจ้าหน้าที่ของศาลต้าหลี่กับกรมพิธีการก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่มันไม่โง่เกินไปหน่อยหรือ”
หลี่ว์ชิงขมวดคิ้ว “เจ้าจะบอกว่า…”
สวี่ชีอันพูดว่า “การลักลอบขนดินปืนปริมาณเท่านี้ ไม่ว่ามือเท้าจะสะอาดแค่ไหน ก็ไม่อาจหยุดการตรวจสอบได้ ข้าเชื่อว่าคนที่เป็นเจ้ากรมกับรองเจ้ากรมได้คงไม่โง่เขลาเช่นนี้”
หลี่ว์ชิงพยักหน้า “ในเมื่อไม่ใช่พวกเขา เช่นนั้นนอกจากกรมโยธาแล้ว ยังมีที่ไหนมีดินปืนมากขนาดนั้นอีกหรือ”
สวี่ชีอันถามกลับว่า “เป็นไปได้หรือไม่ว่าส่งมาจากนอกเมือง”
หลี่ว์ชิงส่ายหน้า “เมืองชั้นนอกไม่ต้องพูดถึง เมืองชั้นในเก็บภาษีค่าเข้าเมือง และทหารรักษาเมืองจะตรวจสอบสินค้า เขตพระราชฐานยิ่งเป็นไปไม่ได้ ของที่เด่นสะดุดตาอย่างดินปืนจะลักลอบขนได้อย่างไร เว้นแต่สิ่งที่ขนเข้ามาจะเป็นวัตถุดิบ ไม่ใช่ดินปืน…”
หลี่ว์ชิงกับสวี่ชีอันอนุมานโดยไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น และไม่มีใครขัดจังหวะพวกเขาเลย ขันทีหลิวก็ไม่รีบร้อน และฟังอย่างอดทน
ขันทีเล็กที่รับผิดชอบจดบันทึก กวัดแกว่งปากการาวกับบินได้ ยิ่งเขียนยิ่งเร็วขึ้น
สิ่งที่ขนเข้ามาไม่ใช่ดินปืน แต่เป็นวัตถุดิบ ในวัตถุดิบของดินปืน กำมะถันกับถ่านต่างก็ไม่ใช่ของล้ำค่า โดยเฉพาะในฤดูหนาว ปริมาณถ่านที่ใช้ในเมืองหลวงน่ากลัวมาก…แต่ดินประสิวเป็นของที่ต้าฟ่งควบคุมอย่างเข้มงวด…ขณะที่สวี่ชีอันกำลังไตร่ตรองก็ราวกับมีสายฟ้าฟาดในหัว
“เหมืองดินประสิว!?” เขาเบิกตากว้าง และมองหลี่ว์ชิง
ใบหน้าอันงดงามของหัวหน้ามือปราบสาวตกตะลึงไป จากนั้นจึงเข้าใจ และอุทานว่า “เหมืองดินประสิว!!”
ใบหน้าของทั้งสองคนเต็มไปด้วยความตกใจ อีกด้านหนึ่ง ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวมองหน้ากัน และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาสี่คนสำรวจภูเขาต้าหวงด้วยตัวเอง และค้นพบเหมืองดินประสิวในนั้น
หลี่ว์ชิงข่มอารมณ์ตกใจลง ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นมาในใจ และเกิดความสงสัยใหม่ขึ้น “หากเป็นพวกเขากระทำจริง เช่นนั้นเกิดอะไรขึ้นกับผู้สูญหายทั้งเก้าคน”
สวี่ชีอันพูดช้าๆ “ง่ายมาก โยนความผิดให้คนอื่น!”
จากนั้นก็ส่ายหน้า “ไม่ เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจของพวกเราเพื่อชิงเวลาหนีออกจากเมืองหลวง”
หลี่ว์ชิงพยักหน้าเล็กน้อย “ใช่ เพื่อให้พวกเราคิดว่าดินปืนมาจากกรมโยธา คิดว่าภายในราชสำนักมีสายลับแทรกซึมอยู่ และจุดสนใจของการสืบสวนก็จะเปลี่ยนไปที่กรมโยธา กรมพิธีการและศาลต้าหลี่”
ขันทีหลิวขมวดคิ้ว เขาพบว่าเขาเริ่มฟังสองคนนี้คุยกันไม่เข้าใจแล้ว
นอกจากเจ้ากรมกรมอาญากับข้าหลวงเฉินที่อยู่ในตำแหน่งสูงที่ไม่แสดงออกทางสีหน้าแล้ว คนอื่นๆ ก็มองหน้ากัน และฟังไม่เข้าใจเหมือนกันว่าสวี่ชีอันกับหลี่ว์ชิงกำลังคุยอะไรกัน และรู้สึกอยู่ตลอดว่าตัวเองพลาดไปตอนหนึ่ง
สวี่ชีอันส่ายหน้า “หากเป็นเช่นนี้ ก็มีจุดที่น่าสงสัยจุดหนึ่งที่ยังแก้ไม่ได้ พวกเขาขนดินปืนไปที่ซังผอได้อย่างไร”
หลี่ว์ชิงพูดว่า “ง่ายมาก เจ้าหน้าที่ที่หายตัวไปเก้าคนนั้นน่าจะถูกติดสินบนหรือโดนข่มขู่ ข้าเอียงไปทางอย่างแรก”
มีเหตุผล เผ่าพันธุ์ปีศาจจะลักลอบขนดินปืนเข้าไปในซังผอได้ ต้องมีผู้สมรู้ร่วมคิด หากไม่ได้ตกลงกับภายในราชสำนัก พวกมันก็ไม่อาจทำได้
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนกสองหัวในราชสำนัก เหตุใดเผ่าพันธุ์ปีศาจต้องระเบิดซังผอล่ะ
พูดให้ถูกคือ พวกเขาต้องการสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ใต้ซังผอ แต่สิ่งที่ถูกปิดผนึกนี้มีประโยชน์อะไรกับพวกเขา
เขากำลังไตร่ตรอง และก็ได้ยินหลี่ว์ชิงพูดอีกว่า “พวกเราดูเหมือนจะโอนเอียง เพราะเมื่อสักครู่นี้ข้าสังเกตเห็นรายละเอียดหนึ่ง…”
หัวหน้ามือปราบสาวผู้เต็มไปด้วยจิตวิญญาณที่กล้าหาญจ้องสวี่ชีอัน “ผู้สูญหายเก้าคนเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยในวังสามคน กรมพิธีการสามคนและศาลต้าหลี่สามคน…พวกเขาปกปิดสหายร่วมงานและลักลอบขนดินปืนเข้ามาได้อย่างไร”
สวี่ชีอันไม่ค่อยรู้ขั้นตอนของพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษนัก และยังไม่ทันได้สอบปากคำเจ้าหน้าที่กับขุนนางชั้นผู้น้อยที่รับผิดชอบปิดท้ายพวกนั้นอีก แต่หลังจากฟังคำพูดของหลี่ว์ชิง เขาก็ฉุกคิดขึ้นในใจ “เจ้าจะบอกว่า อาศัยเพียงแค่คนสามคน ไม่อาจปกปิดสหายร่วมงานและลักลอบขนดินปืนได้ ใช่ ทำไมจงใจแยกเป็นเก้าคนนี้ หากเก้าคนนี้เป็นคนของกรมพิธีการ คนของศาลต้าหลี่หรือขุนนางชั้นผู้น้อยในวังทั้งหมดอาจจะยังเป็นไปได้”
หลี่ว์ชิงยิ้มอย่างจริงใจ ซึ่งมันค่อนข้างสดใส
นางชื่นชมจุดนี้ของสวี่ชีอันมากที่สุด ฉลาด และเข้าใจความคิดของนางได้ในทันที การคุยกับเขาไม่เหนื่อย แต่สามารถยิ้มอย่างรู้ใจได้
สวี่ชีอันพูดว่า “ดังนั้น ในบรรดาคนที่ช่วยพวกเขา ยังต้องมีคนอื่นอีก และคนคนนี้ต้องมีความสามารถในการเข้าออกเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ หรือมีความสามารถที่จะส่งดินปืนเข้าไปในเขตพระราชฐานได้…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ สวี่ชีอันกับหลี่ว์ชิงก็มองหน้ากันอีกครั้ง พวกเขานึกถึงคดีหนึ่ง
คดีของเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์
คดีนี้เกิดขึ้นก่อนพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษหนึ่งวัน และพวกเขาก็รับช่วงต่อเองเหมือนกัน
เจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ถูกฆ่าปิดปาก…ก่อนที่จะถูกฆ่าปิดปาก ก็เผยกับภรรยาว่าจะพาครอบครัวออกจากเมืองหลวง…ก่อนที่เขาจะตาย เขาก็ปฏิบัติหน้าที่พอดี…สวี่ชีอันรู้แจ้งทันใด เมื่อเชื่อมโยงเหมืองดินประสิวกับคดีของเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยหลิวฮั่นก็เผยความจริงได้ไม่ยาก
เผ่าพันธุ์ปีศาจขับไล่ตระกูลฮุยเพื่อรวบรวมเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวง และสร้างดินปืนระเบิดวัดหย่งเจิ้นซานเหอ เพื่อปล่อยสิ่งที่ถูกปิดผนึกอยู่ในซังผอออกมา
สาเหตุที่ใช้ดินปืน เป็นเพราะพระราชวังได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา ไม่อาจฝ่าไปได้ แต่ดินปืนทำได้ เพียงแค่ต้องขนเข้าไปโดยไม่มีใครรู้
ไม่ว่าจะเป็นท่านโหราจารย์ของสำนักโหราจารย์ ราชครูหญิงของนิกายมนุษย์หรือทหารระดับสูงในกองทหารรักษาพระองค์ พวกเขาล้วนตรวจจับการบุกรุกของผู้แข็งแกร่งได้ แต่ไม่อาจตรวจจับสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างดินปืนได้
หลิวฮั่นเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อย ไม่มีความสามารถมากขนาดนั้น เขานำดินปืนเข้าไปในเขตพระราชฐานโดยปกปิดผู้บังคับบัญชา
เขาเป็นคนทำงาน และผู้สั่งการก็คือผู้บังคับบัญชาของเขา และก็เป็นผู้บังคับบัญชาคนนี้ที่ฆ่าปิดปากเขา
เวรเอ๊ย การกระทำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็เหมือนกับหมูตัวเมียสวมชุดชั้นในทีละชุด หอคณิกามีแขกแน่นเอี้ยดยังเป็นระเบียบเรียบร้อย ขอเพียงจับผู้บังคับบัญชาของหลิวฮั่น หัวหน้ากองดาบขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์มาสอบปากคำได้ ทุกอย่างก็จะเป็นที่รู้กัน!
สวี่ชีอันล็อกตัวผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็ว นายกองโจว!
สวี่ชีอันลุกขึ้น และเคลียร์ลำคอ “ท่านขันทีหลิว ใต้เท้าทุกท่าน ข้าน้องยังมีเรื่องนิดหน่อยที่กรมโยธา ขอตัวลาไปก่อน”
สีหน้าของเขาเป็นปกติ น้ำเสียงผ่อนคลาย “หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามข้ามา”
เขาพาคนถอยทัพออกไปอย่างรวดเร็ว
เจ้าหน้าที่ในที่นี้ไม่ใช่คนโง่ แม้ว่าสวี่ชีอันจะแสดงออกตามปกติ แต่เมื่อเขาคุยกับหลี่ว์ชิง สีหน้าก็เปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรายละเอียดในการพูดคุยของพวกเขา แม้ว่าจะฟังแบบงูๆ ปลาๆ แต่ก็ไม่ได้ปิดบังพวกเขาจากการคาดเดาว่าสวี่ชีอันค้นพบเบาะแสสำคัญแล้ว
ทุกคนมองไปที่หลี่ว์ชิงทันที
หลี่ว์ชิงแสร้งโง่
ขันทีหลิวเคาะโต๊ะด้วยนิ้ว และเร่งรัด “สวี่ชีอันค้นพบอะไรแล้วใช่หรือไม่ คดีมีความคืบหน้าแล้วใช่หรือไม่ รีบบอกมาเร็ว!”
หลี่ว์ชิงคิดในใจ ‘ข้าก็ทำดีที่สุดแล้วเช่นกัน’ แม้ว่านางจะชื่นชมสวี่ชีอันมาก แต่ทุกคนก็ไม่มีความสัมพันธ์อะไรเป็นพิเศษ ไม่ใช่คู่หมั้นหรืออะไรทำนองนั้น
ช่วยเขาถ่วงเวลา ก็จงรักภักดีมากแล้ว
…………………………………………………