ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 112 สูญเสียเบาะแส
บทที่ 112 สูญเสียเบาะแส
“ใต้เท้าสวี่ พวกเราจะไปไหนกัน” หมิ่นซานถาม
“จับกุมคนร้าย!” หลังออกจากห้องประชุม สวี่ชีอันก็ไม่ได้วิตกกังวลอะไร และอธิบายตรงๆ
หยางเฟิงและฆ้องทองแดงคนอื่นๆ มองสวี่ชีอันอย่างแปลกใจ จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงมีความคิดบางอย่างในใจ ไม่ว่าจะเหมืองดินประสิวหรือคดีของเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อย ทั้งสองคนล้วนมีส่วนร่วมจึงรู้มากกว่าคนอื่นๆ
หากหลี่อวี้ชุนอยู่ที่นี่ เขาก็คงลำดับความคิดได้เช่นกัน เพียงแต่เขาไปเชิญฉู่ไฉ่เวยแห่งสำนักโหราจารย์
“เหตุใดหัวหน้าถึงยังไม่กลับมา จะเชิญคนต้องเชิญตลอดเช้าเลยหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจอปัญหาอะไรหรือเปล่านะ”
เมื่อออกจากประตูที่ทำการปกครองกรมอาญา และเพิ่งขึ้นม้า เขาก็เห็นม้าที่มีขนสีเหลืองสองตัวเคลื่อนมาอย่างรวดเร็ว เป็นหลี่อวี้ชุนและฉู่ไฉ่เวยในชุดคลุมยาวสีเหลืองอ่อน
หลี่อวี้ชุนอธิบายว่า “แม่นางไฉ่เวยไม่อยู่ที่สำนักโหราจารย์ นางเข้าไปในวัง ข้าจึงรออยู่ที่ประตูเมืองหลวงเป็นเวลานาน เพื่อรอนางออกมา…”
ไปกินดื่มกับองค์หญิงใหญ่อีกแล้ว นักชิมคนนี้…ในอนาคตไม่ช้าก็เร็วจะให้นางกินกระบองของข้า…สวี่ชีอันยิ้มอย่างอบอุ่น “แม่นางไฉ่เวย ไม่เจอกันหลายวัน เจ้างามขึ้นมาก”
ใบหน้ารูปไข่อันกลมมนของฉู่ไฉ่เวยประดับรอยยิ้มหวาน และกำลังจะพูดอะไรนิดหน่อย แต่เมื่อนึกถึงสถานะของตัวเองกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบข้างที่มองดูอยู่ นางก็ตีหน้าขรึม และพูดว่า ‘อืม’
เรื่องนี้กำลังเร่งรีบ สวี่ชีอันพูดอย่างรวบรัด “ฆ้องเงินหมิ่น เจ้านำตราทองคำของข้าไปที่ประตูตะวันออกของเขตพระราชฐาน และจับกุมนายกองโจวชื่อสวงมา คนอื่นๆ ตามข้าไปจับกุมคนที่จวนสกุลโจว”
เพราะไม่รู้ว่าวันนี้นายกองโจวปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ ดังนั้นเขาจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกลุ่ม
สวี่ชีอันจัดการอย่างสมเหตุสมผล เขตพระราชฐานอยู่ใต้เท้าองค์จักรพรรดิ ปกติจะไม่เกิดการปะทะกันขึ้น และไม่มีใครกล้า แต่ก็ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกันที่จะพูดว่าจับกุมคนก็จับกุมคนได้ ต้องมีป้ายห้อยเอวเปิดทาง
ดังนั้นส่งฆ้องเงินไปหนึ่งคนก็พอแล้ว
แต่หากตรงไปจับกุมที่บ้านของนายกองโจว เขาอาจจะฮึดสู้อย่างสุดชีวิตเพราะไม่มีทางเลือกได้ สวี่ชีอันเพิ่งใช้ดาบเดียวตัดฟ้าดินไป พลังต่อสู้ลดลงไปมาก ด้วยเหตุนี้จึงต้องการไปกับฆ้องเงินสองคน
…
อีกด้านหนึ่ง หลี่ว์ชิงกำลังรายงานสถานการณ์
“ท่านขันทีหลิว ใต้เท้าทุกท่าน หากไม่เกินความคาดหมาย เป็นไปได้มากว่าเบื้องหลังเรื่องนี้จะมีเผ่าพันธุ์ปีศาจเข้ามาเกี่ยวข้อง”
ประโยคนี้ทำให้สีหน้าของขุนนางในที่นี้เปลี่ยนไปยกใหญ่ เจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ขุนนางกรมอาญาคนหนึ่งไม่ค่อยเชื่อ จึงถามว่า “เจ้ามีหลักฐานอะไร”
“หลายวันก่อน ข้าน้อยและใต้เท้าสวี่ได้สืบสวนคดีที่ปีศาจกินคนตระกูลฮุยภายในเขตมณฑลไท่กังและภูเขาต้าหวงด้วยกัน”
“ปีศาจกินคนตระกูลฮุยหรือ” ขันทีหลิวขมวดคิ้ว
“เจ้าค่ะ เมื่อกลางปี มีปีศาจตัวหนึ่งขึ้นมาจากแม่น้ำที่เชิงเขาภูเขาต้าหวง และกินคนตระกูลฮุยในท้องถิ่นไปหลายร้อยคน ข้าน้อยกับใต้เท้าสวี่จัดการคดีนี้ด้วยกัน และค้นพบเหมืองดินประสิวที่ถูกรวบรวมไว้อย่างเป็นระเบียบในภูเขาต้าหวง…”
หลี่ว์ชิงเล่าคดีเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวงให้เหล่าใต้เท้าในที่นี้ฟังอย่างละเอียด
นี่เป็นวิธีถ่วงเวลาที่ดีมาก เพราะสิ่งที่เล่าไม่ใช่คำพูดลอยๆ เหล่าใต้เท้าจึงตั้งใจฟังเป็นพิเศษ และไม่เร่งเร้า
“ดังนั้นเมื่อสักครู่นี้ตอนข้าน้อยกับใต้เท้าสวี่พูดคุยกัน ก็วิเคราะห์อย่างเป็นขั้นเป็นตอน และพบว่าดินปืนอาจจะไม่ได้มาจากกรมโยธา แต่เกี่ยวข้องกับเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวง” หลี่ว์ชิงพูด
ขุนนางของกรมอาญากับที่ว่าการเมืองมีสีหน้าเคร่งขรึม คดีนี้เกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจ เผ่าพันธุ์ปีศาจในจิ่วโจวมีสองกลุ่มคือ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับอาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้
อาณาจักรหมื่นปีศาจทางซินเจียงตอนใต้ถูกทำลายในการกวาดล้างปีศาจหกสิบปีนานแล้ว เศษเดนที่เหลืออยู่ก็ฝืนยืดลมหายใจเฮือกสุดท้ายออกไป
เผ่าพันธุ์ปีศาจทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก็เข้าเป็นพันธมิตรกับชนเผ่าทางเหนือ และร่วมกันต่อต้านต้าฟ่งกับดินแดนทางตะวันตก
กองกำลังเผ่าพันธุ์ปีศาจกลุ่มใดกันที่บงการอยู่เบื้องหลังเหมืองดินประสิว
ขันทีหลิวมองข้าหลวงเฉิน ข้าหลวงเฉินร้อง ‘อ้อ’ ออกมา และรับรองให้ลูกน้องของเขา “มีเรื่องนี้จริงๆ ที่ว่าการเมืองก็เพิ่งจัดการคดีนี้ไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นคนที่รับผิดชอบจัดการคดีนี้ก็คือหัวหน้ามือปราบหลี่ว์”
สีหน้าของขันทีหลิวหม่นหมอง “หากพบเหมืองดินประสิวเร็วกว่านี้ คดีซังผอก็อาจจะไม่เกิดขึ้น เหตุใดคดีปีศาจกินคนที่เกิดขึ้นเมื่อกลางปีจึงถูกระงับไว้จนถึงตอนนี้”
หลี่ว์ชิงกำลังจะฟ้องเรื่องนายอำเภอไท่กังละเลยหน้าที่ และเพิกเฉยชีวิตของคนตระกูลฮุย แต่ถูกสายตาของข้าหลวงเฉินหยุดไว้
เฒ่าเฉินถอนหายใจ “พลังของปีศาจนั้นแข็งแกร่งมาก นายอำเภอไท่กังก็ยากจะรับมือเช่นกัน”
ขันทีหลิวแค่นเสียงอย่างเย็นชา “ข้าจะรายงานฝ่าบาทเรื่องนี้”
เจ้ากรมซุนเอ่ยปาก และกวาดตามองลวี่ชิง “สวี่ชีอันไปทำอะไร”
ดูเหมือนเขาจะมองว่าหลี่ว์ชิงกำลังลอบถ่วงเวลา จึงดึงเข้าประเด็นหลักทันที เพราะไม่อยากให้นางส่งเสียงบี๊บๆ มากเกินไป
เมื่อขันทีหลิวได้ยินคำพูดนี้ เขาก็พึมพำว่า “แม้ว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจจะมีดินปืน แต่จะซ่อนทหารรักษาวังของต้าฟ่งได้อย่างไร ทหารรักษาพระองค์ที่คุ้มกันเมืองลักลอบขนดินปืนเข้าซังผอหรือ”
“นี่เกี่ยวข้องกับอีกคดีหนึ่ง” หลี่ว์ชิงตอบ
“อีกคดีหนึ่งหรือ” ทุกคนตกตะลึง คดีซังผอระเบิดเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์มากมายเช่นนั้นเลยหรือ
หลี่ว์ชิงกล่าว “ก่อนหน้าการบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิหนึ่งวัน หลิวฮั่นเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ตายในบ้านอย่างไม่ทราบสาเหตุ ข้ากับใต้เท้าสวี่ก็เป็นคนจัดการเช่นกัน ตอนนั้นใต้เท้าสวี่คาดเดาว่าเขาถูกคนฆ่าปิดปาก แต่นี่ไม่ได้ทับซ้อนกับคดีของเหมืองดินประสิว ข้าจึงยังไม่ได้เชื่อมโยงกับเรื่องเหล่านี้”
เจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ถูกฆ่าปิดปาก…ดินปืนถูกลักลอบขนเข้ามาในซังผอ…ทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นคนฉลาด จึงไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อย
“คนสกุลสวี่เมื่อสักครู่นี้…” ขุนนางของกรมอาญากับขุนนางของที่ว่าการเมืองบางส่วนลุกขึ้นจากเก้าอี้
“เมื่อสักครู่นี้ ใต้เท้าสวี่นึกถึงเรื่องนี้ จึงเข้าใจทุกอย่างอย่างแจ่มแจ้ง ก่อนจะรีบออกไป” หลี่ว์ชิงพูด
เจ้ากรมซุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ออกคำสั่งให้จับกุมหัวหน้ากองร้อยทั้งหมดขององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ ไปเร็ว!”
กุกกักกุกกัก…ทุกคนยืนขึ้น และแย่งกันวิ่งออกจากห้องประชุม ชนเก้าอี้ล้มก็ไม่สน
เมื่อวิเคราะห์คดีถึงจุดนี้ ก็ชัดเจนมากแล้ว การจับกุมไส้ศึกภายในองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ก็เทียบเท่ากับการสร้างผลงานแล้ว
หลี่ว์ชิงถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ นางพยายามอย่างเต็มที่แล้ว
หากเป็นการแข่งขันอย่างยุติธรรม หลี่ว์ชิงจะไม่ช่วยสวี่ชีอันเช่นนี้ แต่อีกฝ่ายตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย และคดีนี้ก็เป็นความหวังเดียวของเขาในการชดใช้ความผิด
หลี่ว์ชิงรู้สึกว่าจากความหมายของคำว่าเพื่อน หากช่วยได้นางก็ช่วย
นางออกจากห้องประชุมตามเพื่อนร่วมงานในที่ว่าการเมืองไป
ห้องประชุมอันกว้างใหญ่เหลือเพียงขันทีหลิวกับขันทีที่เขาพามา เจ้ากรมซุนและข้าหลวงเฉิน
ขันทีหลิวยื่นมือออกมา ขันทีที่ติดตามเขาเป่าหมึกให้แห้งทันที และยื่นหนังสือให้เขา
ขันทีหลิวอ่านเนื้อหาอย่างละเอียดถี่ถ้วน สองหน้าแรกเป็นการคุยกันเรื่องรายละเอียดคดีระหว่างกรมอาญากับที่ว่าการเมือง ซึ่งโต้เถียงกันเป็นหลัก และค่อนข้างไม่มีสาระ
จนกระทั่งสวี่ชีอันเข้าร่วม รายละเอียดคดีถึงเริ่มชัดเจนขึ้น และล็อกตัวผู้ต้องสงสัยได้ภายในหนึ่งก้านธูป
คดีคืบหน้าเร็วจนทำให้ขันทีหลิวรู้สึกตกใจ ตามกระบวนการปกติ เกรงว่าจะต้องใช้เวลาสองสามวันในการเชื่อมโยงคดีเหมืองดินประสิวในภูเขาต้าหวงกับคดีเจ้าหน้าที่ถือธงตำแหน่งชั้นผู้น้อยเข้าด้วยกัน
‘ถ้าหากเป็นเช่นนั้น การที่ฝ่าบาทแต่งตั้งให้สวี่ชีอันเป็นผู้รับผิดชอบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็คงมีความหมายลึกซึ้ง…’ ขันทีหลิวตระหนักได้ในทันที
“เสี่ยวหยุนจื่อ ตั้งแต่วันนี้เจ้าอยู่ที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล รับผิดชอบกระตุ้นให้พวกเขาทำคดี และส่งข่าวให้ข้าทันที”
ขันทีหลิวกล่าว
“ขอรับ!” ขันทีน้อยที่จดบันทึกน้อมรับคำสั่ง
…
จวนสกุลโจว ประตูบานใหญ่สีดำปิดสนิท
ซ่งถิงเฟิงก้าวขึ้นบันไดไปที่หน้าประตูภายใต้การชี้นำของสวี่ชีอัน และทุบประตูดัง ‘ปังๆ’
“เปิดประตู! หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมาทำคดี”
เสียงแก่ชราดังมาจากในประตู “ท่านหัวหน้ากองร้อยป่วย ไม่รับแขก กลับไปเสียเถิด”
ซ่งถิงเฟิงทุบประตูอีกครั้ง คนข้างในแสร้งทำเป็นตาย ไม่ตอบรับ
‘เป็นคนหนีหนี้หรือ’
ซ่งถิงเฟิงยิ้มหยัน และถีบประตูบานใหญ่ ท่ามกลางเสียงดัง ‘ปัง’ ประตูไม้บานใหญ่แตกเป็นเสี่ยงๆ เศษไม้ปลิวกระจุยกระจาย
ชายชราที่สวมชุดผ้าป่านสีคราม หลบอยู่ไกลๆ ด้วยความเกรงกลัว และมองเหล่าแขกที่ไม่ได้รับเชิญด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เหลือคนสองคนเฝ้าประตู คนอื่นๆ ตามฆ้องเงินหลี่กับฆ้องเงินหยางเข้าไป” สวี่ชีอันสะบัดมือ สั่งให้เหล่าฆ้องทองแดงรีบเข้าไป ส่วนเขากับฉู่ไฉ่เวยไว้ข้างหลัง
“เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ เหตุใดจึงไม่รีบเข้าไป” ฉู่ไฉ่เวยเอียงศีรษะมองเขา
“ตอนสงครามระหว่างประเทศที่ด่านซานไห่ เจ้าเคยเห็นฝ่าบาทบุกตะลุยโจมตีข้าศึกหรือไม่” สวี่ชีอันมองนางกลับ
ฉู่ไฉ่เวยพูดไม่ออก นางรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นการให้เหตุผลผิดๆ แต่สมองที่ไม่ค่อยฉลาดก็คิดข้ออ้างที่จะโต้กลับไม่ออกชั่วคราว
“เดิมทีข้าอยากให้ยาเม็ดทรงพลังกับเจ้า แต่ช่างเถอะ” นางตีหน้าขรึม
“ยาเม็ดทรงพลังหรือ”
“บำรุงร่างกายของเจ้า พลังปราณกับเลือดไม่สมดุลกันจะเป็นเช่นนี้” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว
ในฐานะนักพยากรณ์ฮวงจุ้ยของระบบโหร ตอนที่นางปรุงยารักษาโรคเพื่อช่วยชีวิตคน สวี่ชีอันยังล็อกกุญแจอยู่ในสนามอยู่เลย
เพียงแค่มองผิวของสวี่ชีอันก็รู้ว่าตอนนี้เขาบกพร่องมาก
“ให้ยาข้าหนึ่งเม็ด แล้วข้าจะเชิญเจ้าไปทานอาหารคืนนี้” สวี่ชีอันใช้ศอกสะกิดนาง
ฉู่ไฉ่เวยถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างรังเกียจ นางหยิบขวดลายครามออกมาจากในกระเป๋าหนังกวางและโยนให้เขา “เพียงพอให้เจ้าใช้ระยะหนึ่ง”
ฉู่ไฉ่เวยผู้หยิ่งในศักดิ์ศรี สวี่ชีอันชอบผู้หญิงที่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ เขาเดินเข้าไปข้างในพลางเทขวดลายคราม และกัดยาสีน้ำตาลเม็ดหนึ่ง
ยารสชาติแปลกๆ หลังจากเคี้ยวไปสองสามครั้ง ก็มีความเผ็ดร้อนพุ่งขึ้นมา
สวี่ชีอันกลืนมันลงไป ไม่กี่วินาทีต่อมา เขาก็รู้สึกอบอุ่นในท้อง และรู้สึกสบายมาก ความรู้สึกที่สูญเสียพลังไปก็ฟื้นฟูขึ้นมาไม่น้อยเช่นกัน
“ขอบอกไว้ก่อน นี่เป็นผลเชิงลบที่เกิดจากเคล็ดวิชา ไม่ได้หมายความว่าข้าเป็นหยวนเสี่ยวเอ้อ”
“หยวนเสี่ยวเอ้อคืออะไร”
“ไม่ใช่ของดี”
ขณะที่พวกเขาเดินไปพลางคุยไปพลางก็มาถึงลานชั้นในแล้ว
หลี่อวี้ชุนกับหยางเฟิงเดินเข้ามา และส่ายหน้า “คนหายไป”
หยางเฟิงกล่าวเสริม “ของมีค่าในจวนก็ถูกขนย้ายไปแล้ว”
ซ่งถิงเฟิงดึงคนเฝ้าประตูมาทันที ดาบจี้อยู่ที่คอของเขา และตะโกนว่า “โจวชื่อสวงอยู่ไหน”
“ท่านหัวหน้ากองร้อย…เขา เขาพาภรรยากับพวกลูกๆ ออกจากเมืองไปเยี่ยมพ่อแม่แล้ว”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงบอกว่าเขาป่วย”
“ท่านหัวหน้ากองร้อยอธิบายเช่นนี้ ข้าน้อย ข้าน้อยจึงพูดตามปกติ…” คนเฝ้าประตูมีสีหน้าหวาดกลัว ขาทั้งสองข้างสั่น ไม่เหมือนคนพูดโกหก
สวี่ชีอันถามว่า “ไปเมื่อไหร่”
“วันเดียวกันกับที่พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสิ้นสุดลง…” คนเฝ้าประตูกลืนน้ำลาย และอ้อนวอน “ท่าน ท่านหัวหน้ากองร้อยก่ออาชญากรรมอะไรหรือ ข้าน้อยไม่รู้เรื่อง ไม่รู้เรื่อง…”
สวี่ชีอันโบกมือ เป็นสัญญาณให้ซ่งถิงเฟิงปล่อยเขาไป
เขานำคนเข้าไปในบ้านอีกครั้ง และค้นดูทีละห้องๆ นอกจากโบราณวัตถุกับภาพเขียนที่ค่อนข้างล้ำค่าจะถูกขนย้ายไปแล้ว เครื่องเรือนทั้งหมดในบ้านก็ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์
“นายกองโจวหนีไปแล้ว!” หลี่อวี้ชุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม
“พูดแบบนั้นตอนนี้ยังเร็วเกินไป” สวี่ชีอันมองฉู่ไฉ่เวย
สาวงามที่มีใบหน้ารูปไข่เข้าใจความคิดของเขาในทันที นางกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ลืมตาที่มีประกายแสงหมุนวน และกวาดมองทั่วทุกมุมในจวนสกุลโจว
นางไม่ได้ทำเพื่อหาคน แต่ค้นหาของอย่างอื่น เน้นไปที่สวนดอกไม้กับบ่อน้ำหิน
ครู่ต่อมา ฉู่ไฉ่เวยก็กระโดดลงมาจากหลังคา และส่ายหน้า “ในบ้านไม่มีศพซ่อนอยู่ แล้วก็ไม่มีคนตายที่นี่ในช่วงนี้เช่นกัน…อืม ก็อาจจะถูกปกปิดด้วยวิธีพิเศษได้เช่นกัน พวกเจ้าขุดพื้นสักสามฟุต แล้วค้นหาดู”
“ไม่จำเป็นแล้ว” สวี่ชีอันถอนหายใจ “ไม่ว่าจะตายหรือหนีก็สูญเสียเบาะแสนี้ไปแล้ว”
แต่แปดสิบเปอร์เซ็นต์คือหนี เพราะคนในบ้านเห็นนายกองโจวพาครอบครัวออกไปด้วยตาของตัวเอง
หลังจากนำคนเดินออกประตูจวนสกุลโจว หมิ่นซานก็นำฆ้องทองแดงสองสามคนเร่งรีบเข้ามา ยังไม่ทันคุมบังเหียนม้า เขาก็ตะโกนว่า “หลังจากพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ นายกองโจวขอวันหยุดยาว”
เมื่อเขาเห็นเพื่อนร่วมงานทุกคนมีสีหน้าหดหู่ จิตใจก็หนักอึ้ง
“หนีไปแล้ว” หยางเฟิงถอนหายใจออกมา
…
สวี่ชีอันเพิ่งจะพาคนออกไป คนของกรมอาญากับที่ว่าการเมืองก็ควบม้ารีบมาที่จวนสกุลโจว เมื่อเห็นประตูที่พังทลาย พวกเขาก็รู้สึกเย็นวาบในใจทันที
หลังจากดึงคนในบ้านมาสอบปากคำ ก็รู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพิ่งคว้าน้ำเหลว เพราะนายกองโจวหนีออกจากเมืองหลวงไปนานแล้ว
ภายในใจของคนของที่ทำการปกครองทั้งสองซับซ้อนอย่างอธิบายไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรจะยินดีหรือควรจะเสียใจ
…
พลบค่ำ!
ขันทีหลิวรีบกลับมาที่วังหลวงก่อนประตูเมืองจะปิด ภายใต้การปรนนิบัติของเหล่าลูกชาย เขาเปลี่ยนเป็นชุดลำลอง อาบน้ำ และดื่มน้ำชาก่อนอาหาร
ขันทีเล็กคนหนึ่งรีบเข้ามา และเอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อบุญธรรม ฝ่าบาทส่งคนมาเชิญท่าน”
ขันทีหลิวบีบนวดที่หว่างคิ้ว และพูดอย่างโกรธๆ “รู้แล้ว!”
เขาจิบน้ำ และเรียกให้ลูกชายเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ เขาเปลี่ยนเป็นชุดคลุมงูเหลือม และเพิ่งจะก้าวออกธรณีประตู จู่ๆ ก็นึกถึงอะไรบางอย่าง
“เอาสำนวนคดีมาให้ข้า อันที่ข้าเอากลับมาวันนี้”
ขันทีเล็กกลับห้องไปหยิบ
ตลอดทางจนถึงหอปฏิบัติธรรม หลังจากที่ผ่านด่าน เขาก็ถูกพาเข้าไปในหอ และเห็นจักรพรรดิหยวนจิ่งที่สวมชุดคลุมเต๋าและเครายาวพลิ้วไหว
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้นั่งสมาธิหรือทำงาน ในมือของเขาถือม้วนหนังสือ แต่ความคิดกลับไม่อยู่ที่หนังสือ
“หลิวหรง ข้าส่งคนไปดูแลคดี นี่ก็หนึ่งวันแล้ว ได้อะไรบ้าง” จักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ขันทีหลิวตกตะลึง เขาอยู่ในวังมาหลายสิบปี บุคลิกของจักรพรรดิหยวนจิ่ง เขายิ่งทำท่านี้มากเท่าไหร่ จิตใจก็ยิ่งมืดมนมากขึ้นเท่านั้น
หากถามว่าคดีนี้ปลอมหรือไม่ ฝ่าบาทก็อาจจะเกิดโมโหขึ้น
ขันทีหลิวรู้สึกหวาดกลัว จากนั้นก็ปีติยินดี เขาคิดในใจว่าโชคดีที่เตรียมตัวมาแต่เนิ่นๆ และโชคดีที่วันนี้ยังได้อะไรบ้างจริงๆ
“ฝ่าบาท นี่คือสรุปของคดีในวันนี้ ข้าน้อยกำลังจะมอบให้ท่านดู” ขันทีหลิวหยิบหนังสือบางๆ เล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ
………………………………………………