ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว
บทที่ 126 องค์หญิงใหญ่เรียกตัว
ไต้ซือเหิงชิงกล่าวอ้อมแอ้ม “ใต้เท้ารู้ได้อย่างไร”
สมญานามเหิงหยวนนี้สวี่เอ้อร์หลางเป็นคนบอกเขา ตอนที่ให้สวี่เอ้อร์หลางไปหาหมายเลขหกที่สถานรับเลี้ยงเด็กวันนั้นก็พบว่าหมายเลขหกจากไปแล้ว พอสวี่เอ้อร์หลางกลับมาก็บอกสวี่ชีอันว่า ‘พนักงานบอกข้าว่า ปรมาจารย์เหิงหยวนจากไปแล้ว กล่าวว่ามีเบาะแสของศิษย์น้อง’
“ท่านไม่ต้องสนว่าข้ารู้ได้อย่างไร ตอนนี้ข้ากำลังถามท่าน” สีหน้าของสวี่ชีอันเคร่งขรึม สำหรับพระที่ทำตัวอารยะขัดขืนแบบนี้ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้านักหรอก
แม้ว่าหากสู้กันตัวต่อตัว ไต้ซือของวัดมังกรเขียวผู้นี้อาจจะกดเขาไว้กับพื้นได้เลยก็ตาม
แต่สวี่ชีอันเป็นคนมีพี่มีน้อง เบื้องหลังเขายังมีราชสำนักอยู่
ไต้ซือเหิงชิงลังเลเล็กน้อย กล่าวว่า “เหิงหยวนเป็นจอมยุทธ์หลวงจีนของวัดแห่งนี้ อุปนิสัยบุ่มบ่าม อารมณ์ร้อน มักถูกเจ้าอาวาสลงโทษบ่อยๆ เพราะชอบบังเอิญทำร้ายเพื่อนร่วมสำนัก เขาถูกขับออกจากวัดมังกรเขียวไปแล้วตั้งแต่ปีก่อน”
หมายเลขหกเป็นพระวัดมังกรเขียวจริงด้วย ว่าแต่เป็นจอมยุทธ์หลวงจีนเหรอมิน่าร่างกายถึงได้แข็งแรงกำยำเหมือนหลู่จื้อเซิน…หมายเลขหกเคยบอกว่าศิษย์น้องของเขาถูกนายหน้าค้ามนุษย์ลักพาตัวไปขาย…ศิษย์น้องที่หมายเลขหกตามหาจะใช่เหิงฮุ่ยหรือไม่
แต่เหิงฮุ่ยหนีไปกับท่านหญิงผิงหยางนี่นา…แต่เหิงฮุ่ยขโมยอาวุธเวทมนตร์ของวัดมังกรเขียวไป ทว่าอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนั้นกลับไปอยู่ที่กองร้อยโจวชื่อสวงแห่งองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ นี่หมายความว่าภิกษุเหิงฮุ่ยประสบภัยใช่หรือไม่
หรือว่าเขาจะเกี่ยวพันกับคดีซังผอด้วย ถ้าเป็นอย่างหลัง แล้วเป้าหมายของเขาคืออะไร แล้วยังมี ท่านหญิงผิงหยางไปอยู่ไหนแล้ว
การเดินทางมายังวัดมังกรเขียวครั้งนี้ได้อะไรกลับไปมากกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก
…
แม้ว่าเขาจะตั้งใจเร่งควบม้าเดินทาง แต่การกลับมายังหน่วยงานราชการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังใช้เวลาไปกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว
สวี่ชีอันปล่อยให้คนในคณะไปพักผ่อน ส่วนตนปิดประตูสะสางสรุปคดี
จากนั้นก็หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีขึ้นมาแล้วใส่ข้อความลงไป ‘สาม: ยังไม่มีข่าวคราวของหมายเลขหกเหรอ’
ไม่มีใครสนใจเขา
ผ่านไปนาน นักบวชเต๋าจินเหลียนก็กระโดดออกมาตอบ ‘เก้า: ยังไม่มีข่าวคราว’
สวี่ชีอันรู้สึกได้อย่างรวดเร็วว่าหมายเลขหกอาจจะพบอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางไม่ตอบกลับนานขนาดนี้หรอก
‘สาม: นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านยังไม่ได้ดูตำแหน่งชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเหรอ’
‘เก้า: คงถูกวิชาลับอะไรบางอย่างปิดกั้นไปแล้ว’
‘สอง: ทำไมเจ้าหัวโล้นมักมีปัญหาอยู่เรื่อยเลยนะ’
หมายเลขสองกระโดดออกมาแทรก
‘เก้า: เขาสืบคดีศิษย์น้องหายตัวไปอยู่ตลอด บางทีอาจเจอกับการแก้แค้นของกลุ่มอิทธิพลเบื้องหลังผิงหยวนปั๋วก็เป็นได้’
ไม่หรอก เขาพบเบาะแสของศิษย์น้องแล้ว…แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม ยังไงซะหมายเลขหกก็เจอกับปัญหาใหญ่แล้ว
‘สี่: ถ้าชิ้นส่วนหนังสือปฐพีตกอยู่ในมือคนนอก เช่นนั้นพวกเราก็ได้แต่ต้องทำเหมือนตอนแรก ไม่ส่งข้อความใดๆ อีก’
‘สอง: ถ้าตกไปอยู่ในมือของนิกายปฐพี พวกเราทุกคนอาจตกอยู่ในอันตรายได้’
พูดถึงตรงนี้ พรรคฟ้าดินทุกคนก็รู้สึกได้ถึงความกังวลและความกดดันในจิตใจ
ไม่ใช่แค่กังวลถึงความปลอดภัยของหมายเลขหกเท่านั้น แต่การไม่ส่งข้อความในหนังสือปฐพีอีกต่อไป จะทำให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่พรรคฟ้าดินสร้างขึ้นอย่างยากลำบากเหลือแต่ชื่อ
กรณีที่เลวร้ายที่สุดคือตกอยู่ในมือของนิกายปฐพี หากเป็นสมาชิกเต๋าธรรมดาของนิกายปฐพีน่ะไม่น่ากลัวหรอก แต่ถ้าหากผู้นำเต๋าของนิกายปฐพีเก็บหนังสือปฐพีกลับได้เองล่ะ
หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสามยังดี เพราะซ่อนตัวในเมืองจิงจ้าวได้ ผู้นำเต๋านิกายปฐพียังพอจะหวั่นเกรงอยู่บ้าง แต่คนอื่นก็จะตกอยู่ในอันตรายแล้ว
‘สอง: หมายเลขสามช่วยหน่อยเถอะ’
‘สี่: อืม ถ้าหมายเลขสามสามารถใช้ความสัมพันธ์ของสำนักอวิ๋นลู่ให้ความช่วยเหลือนักบวชเต๋าจินเหลียนลับๆ เช่นนั้นความลำบากในการตามหาตัวหมายเลขหกก็จะลดลงไปมาก’
สมาชิกพรรคฟ้าดินรู้สึกพึ่งพาหมายเลขสามมากกว่าผู้ที่ชอบแอบอ่านข้อความอย่างหมายเลขหนึ่งมาก
ขอเพียงเป็นเรื่องในขอบเขตเมืองจิงจ้าวแห่งต้าฟ่ง ในหัวก็จะนึกถึงหมายเลขสามขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
…ทำไมข้ารู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นเครื่องมือมนุษย์ไปแล้วล่ะ
ตัวตนและสถานะปัจจุบันของหมายเลขหกเป็นข้อมูลโดยตรงที่ข้าเพิ่งได้มา ตอนนี้หากแพร่ออกไปก็มีความเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผยตัวตนอยู่มากนัก ข้าต้องสร้างความต่างของเวลา…อืม เว้นแต่ว่าเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินจะรู้จักรากฐานของหมายเลขหกกันแล้ว
‘สาม: พวกเจ้ารู้ตัวตนของหมายเลขหกกันหรือไม่ ข้าหมายถึงนอกจากข้อมูลที่ว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธน่ะ’
‘สอง: ไม่รู้ หมายเลขหกอ้างว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธพเนจร มีแผนจะอาศัยอยู่ในเมืองจิงจ้าวในระยะยาว’
หมายเลขหกแอบอ้างว่าเป็นคนนอกพื้นที่…อืม สมองของพระรูปนี้แข็งแกร่งกว่าหลู่จื้อเซินอยู่สักหน่อย
สวี่ชีอันรับรู้อยู่ในใจแล้ว เขาส่งข้อความเข้าไป ‘เรื่องนี้พวกเจ้าไม่ต้องสนใจ ข้าจะติดต่อกับนักบวชเต๋าจินเหลียนเอง ข้ารู้เรื่องสถานการณ์ของหมายเลขหกดีกว่าใคร ท่านนักบวช คืนนี้ท่านมาที่บ้านข้าหน่อยได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษากับท่าน’
“!!!”
เมื่อเห็นประโยคนี้ของหมายเลขสาม ไม่รู้เพราะอะไร ในใจของทุกคนในพรรคฟ้าดินจึงรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมาพร้อมกัน ต่างเกิดความรู้สึกกระสับกระส่ายเหมือนมีเข็มแทงหลัง
คาดไม่ถึงว่าหมายเลขสามจะรู้รากฐานของหมายเลขหกได้ชัดเจนแล้ว ฟังจากความหมายในคำพูด ราวกับเขาเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของหมายเลขหกในระดับหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพวกเขาติดต่อกันแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้นเอง…ความสามารถของบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่แข็งแกร่งอย่างที่คิดจริงๆ…หมายเลขสองคิดอย่างกริ่งเกรง
หมายเลขสามน่าสนใจ เขาเข้ามาในพรรคช้าที่สุด แต่ฝีมือ ความสามารถ และความรู้สึกไวที่เขาแสดงออกมานั้นทำให้คนพูดไม่ออก หวังว่าจะได้เจอเขายามกลับไปเมืองจิงจ้าวในอนาคตนะ ถึงตอนนั้นจะขอเรียนรู้ด้วยอย่างดีเลย…หมายเลขสี่ชื่นชมด้วยใจจริง
‘ห้า: โอ้โห ถ้าอย่างนั้นเจ้าห้ามมาสืบหาตัวตนของข้าเชียวนะ ไม่อย่างนั้นข้าจะโกรธจริงด้วย’
หมายเลขห้าพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมาตรงๆ
‘หนึ่ง: หมายเลขสาม เรื่องคดีซังผอนั้น ในมือของเจ้ามีข้อมูลที่ถูกต้องยิ่งกว่านี้อยู่ใช่หรือไม่’
‘สาม: สองสามวันนี้ไม่ได้สนใจเรื่องคดีซังผอเลย’
หมายเลขหนึ่งเห็นดังนั้นก็กลับไปดำน้ำต่อ
เมื่อนัดแนะเวลาพบปะกับนักบวชเต๋าจินเหลียนเรียบร้อย สวี่ชีอันก็ออกจากห้องข้าง ตรงไปยังหอเฮ่าชี่ ขอพบเว่ยเยวียน
ในห้องชาสว่างโล่ง เว่ยเยวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะคนเดียวและกำลังเล่นหมากรุกอยู่ มือซ้ายเล่นกับมือขวา คล้ายกำลังแสดงละครเดี่ยวฉากคนเหงา
เว่ยเยวียนไม่ได้เงยหน้าขึ้น เขายิ้มพลางเอ่ยว่า “เล่นหมากมาครึ่งชีวิต แรกเริ่มรบทุกครั้งแพ้ทุกครั้ง แพ้ทุกครั้งก็รบไม่ถอย ต่อมาก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้น เอาชนะยอดฝีมือระดับชาติคนแล้วคนเล่า จนหาคู่แข่งไม่ได้โดยไม่รู้ตัว”
‘ครั้งก่อนตอนท่านเล่นหมากกับท่านโหราจารย์ ไม่ใช่ว่าเสมอกันหรอกเหรอ’ สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ
“แต่ศัตรูนอกกระดานหมากกลับทำให้คนปวดหัวมาก” เว่ยเยวียนวางหมากลง บีบนวดหว่างคิ้วแล้วเอ่ย “มีเรื่องใด”
“ข้าน้อยมารายงานความคืบหน้าของคดีต่อเว่ยกงขอรับ” หยุดพักหนึ่ง สวี่ชีอันก็กล่าวว่า “ยามเช้าเมื่อวาน นายอำเภอจ้าวแห่งมณฑลไท่กังถูกฆ่าปิดปากในคืนที่เขาถูกจับขังคุกขอรับ เรื่องนี้หน่วยงานเก็บเงียบไว้ยังไม่ประกาศชั่วคราว”
“สภาพการตายของนายอำเภอจ้าวแปลกประหลาด ไม่ได้ถูกพิษ ไม่มีบาดแผล ตายอย่างเป็นธรรมชาติยิ่งขอรับ”
สีหน้าของเว่ยเยวียนพลันนิ่งชะงัก ครู่ต่อมา แววตาก็ส่องประกายวาบ “เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
“ข้าน้อยตรวจสอบข้อมูลดูแล้ว พบว่าผู้ที่ทำเรื่องนี้ได้นั้น นอกจากเทพหยินของลัทธิเต๋าแล้ว ยังมีสำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือขอรับ” สวี่ชีอันสูดหายใจลึก
“คดีซังผอเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ข้าน้อยพยายามอย่างหนักและพิจารณารอบด้าน ในราชสำนักนอกจากคนผู้นั้นแล้ว ยังจะมีผู้ใดสมรู้ร่วมคิดกับกลุ่มอิทธิพลใหญ่สองแห่งนี้ได้พร้อมกันอีกล่ะขอรับ”
ปัง! ฝ่ามือของเว่ยเยวียนตบลงบนกระดานหมากจนตัวหมากเต็มกระดานสั่นสะเทือน สายตาของเขาจ้องมองสวี่ชีอันเขม็งอย่างคมกริบ “ออกจากที่นี่แล้ว ห้ามไปพูดคำพวกนี้กับใคร”
สวี่ชีอันก้มหน้าลงอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวอธิบาย “แต่ แต่ข้าน้อยตรวจสอบต่อไปได้ยาก…”
“ออกไป” เว่ยเยวียนกล่าวเสียงเย็น
“ขอรับ” สวี่ชีอันถอยออกจากห้องชา
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ เดินไปไกลแล้ว เว่ยเยวียนก็เก็บตัวหมากอย่างเป็นระเบียบ พร้อมทำความสะอาดถาดน้ำชา หลังเปลี่ยนชุดครามแล้วก็เดินไปหน้าบันได เอ่ยกำชับพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ว่า
“เตรียมรถม้า ข้าจะเข้าวัง”
…
สวี่ชีอันเกลียดที่ในมือไม่มีบุหรี่ ยามใช้ความคิดก็ได้แต่ต้องนั่งแห้งๆ ฟังหลี่ว์ชิงกับฆ้องเงินสามคนพูดคุยเรื่องคดีความ ส่วนตนวิญญาณล่องลอยไปแล้ว
“อ๋องสยบแดนเหนืออยู่ที่ชายแดนห่างไกล ข้าไม่อาจวิ่งไปสืบถึงชายแดนได้แน่ อีกอย่างก็ไม่กล้าสืบด้วย เว้นเสียแต่ฝ่าบาทจะออกราชโองการให้ด้วยพระองค์เอง ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่ป้ายทองชิ้นเดียวก็ตรวจสอบผู้วิเศษคนนั้นไม่ได้หรอก”
“ตัวอยู่ที่ชายแดน…เฮ้อ นั่นเป็นข้อพิสูจน์ว่าตนไม่อยู่ในที่เกิดเหตุได้อย่างสมบูรณ์แบบเลยนี่”
“แต่บนโลกนี้ไม่มีอาชญากรรมที่สมบูรณ์แบบหรอก ตราบใดที่ทำลงไปแล้วก็จะทิ้งเบาะแสเอาไว้อยู่ดี จุดสำคัญอยู่ที่ข้าจะจับเบาะแสเหล่านั้นได้หรือไม่…อืม อ๋องสยบแดนเหนือไม่อยู่ในเมืองจิงจ้าว แต่เขาจำเป็นต้องมีตัวแทนคนหนึ่ง และตัวแทนคนนั้นจะต้องเป็นคนในราชสำนักสักคน”
เบาะแสเรื่องอ๋องสยบแดนเหนือตรวจสอบไม่ได้ชั่วคราว เพราะเว่ยเยวียนไม่กล้าช่วยเหลือเขา ถ้าหากเว่ยเยวียนสามารถขอพระราชโองการได้ เช่นนั้นทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา
ดีที่กระต่ายเจ้าเล่ห์ไม่ได้มีหนึ่งโพรง คนฉลาดก็ย่อมไม่ได้มีแค่หนทางเดียว
การเดินทางไปวัดมังกรเขียววันนี้ไม่ได้เสียเปล่า ภิกษุเหิงฮุ่ยแห่งวัดมังกรเขียวเป็นกุญแจไขคดี แต่หากอยากจะตรวจสอบกุญแจไขคดีคนนี้ ก็ต้องคิดวิธีตามหาหมายเลขหก
นี่คือเหตุผลที่ทำไมสวี่ชีอันต้องนัดเจอตอนกลางคืนกับนักบวชเต๋าจินเหลียน
“ก๊อกๆ…”
เสียงเคาะประตูขัดจังหวะพูดคุยของหลี่ว์ชิงกับฆ้องเงินทั้งสาม ทำให้พวกเขาขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ ก่อนมองไปยังนอกประตู
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมไม่ค่อยพูดยืนอยู่ข้างประตู กล่าวว่า “หนิงเยี่ยน องค์หญิงใหญ่เชิญ”
พวกหลี่ว์ชิงหันหน้าไปมองสวี่ชีอัน
ฮว๋ายชิ่งหาข้าทำอะไร…คิดถึงข้าเหรอ ไอหยา เมื่อวานไม่ใช่เพิ่งเจอหน้ากันเหรอ เหมือนว่าจะไม่เจอกันวันเดียวกลับเหมือนไม่พบกันมาสามปีเชียว!
ในหัวของสวี่ชีอันผุดภาพใบหน้าขององค์หญิงเย็นชาผู้งดงามและหน้าอกหน้าใจสูงใหญ่จนสามารถวางไว้บนโต๊ะได้ของนาง
เห็นอยู่ชัดๆ ว่ารูปลักษณ์ภายนอกเย็นชาเหมือนเซียน แต่เรือนร่างกลับเหมือนนางมารยั่วสวาท
…
ณ อุทยานหลวง
มุมทั้งสี่ของศาลาแขวนผ้าม่านกันลมหนาวเอาไว้ ถ่านไฟเผาไม้พร้อมแผ่ไอร้อนให้ความอบอุ่นแก่ผู้คน
จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดคลุมเต๋าและเว่ยเยวียนในชุดสีครามกำลังเดินหมากกันอยู่ พวกเขาคนหนึ่งคือจักรพรรดิ แต่กลับสวมชุดคลุมมังกรน้อยครั้งนัก
ส่วนคนหนึ่งเป็นขุนนางทรงอำนาจผู้คอยตรวจสอบขุนนางนับร้อย แต่กลับสวมแต่ชุดครามอยู่ตลอด
เทียบกันกับพวกคนแก่ที่ใช้ชีวิตตามใจตนทั้งสองคน องค์รัชทายาทวัยหนุ่มกลับสวมชุดสุภาพเรียบร้อย ยืนอยู่ข้างจักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยความนอบน้อม
“เมื่อวานราชครูหลอมโอสถทองคำออกมาหนึ่งหม้อ กลับไปข้าจะส่งคนนำไปให้เจ้าหนึ่งเม็ด” จักรพรรดิหยวนจิ่งคลำตัวหมาก มองดูอยู่นานก็หยิบหมากดำสามชิ้นออกไปอย่างหน้าไม่อาย ก่อนพูดยิ้มๆ “โอสถทองคำหนึ่งเม็ดแลกกับหมากสามตัว ไม่เกินไปกระมัง”
เว่ยเยวียนพยักหน้า “ไม่เกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
เขาเดินหมากอีกสองสามก้าว เว่ยเยวียนยิ้มพลางหยิบหมากขาวหกชิ้นของจักรพรรดิหยวนจิ่งไป กล่าวยิ้มๆ “ค่ายกลของฝ่าบาทวุ่นวายเล็กน้อย กระหม่อมทำความสะอาดให้พระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยเสียงเรียบ “หลายปีมานี้ คนที่ข้าพึ่งพามากที่สุดก็ยังเป็นเว่ยเยวียน มักจะคิดตลอดว่าถ้าปีนั้นเจ้าไม่ได้เข้าวัง แต่เดินอยู่ในเส้นทางสอบรับราชการ อาณาจักรก็จะมีคนแก้ปัญหา ข้าก็จะไม่ต้องเปลืองสมองไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ด้วย”
สีหน้าของเว่ยเยวียนผงะไปทันที แล้วกลับมาเป็นปกติในพริบตา เขายิ้มพลางกล่าวว่า “ตอนนี้กระหม่อมไม่ได้จัดการเรื่องราวให้กับฝ่าบาทเหมือนกันหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
องค์รัชทายาทขมวดคิ้ว จดจ้องไปที่กระดานหมาก ครุ่นคิดไม่พูดไม่จา
ไม่ใช่เพราะว่ากระดานหมากของเสด็จพ่อกับเว่ยกงฆ่าฟันกันอย่างน่าตื่นเต้นอะไรนักหรอก แต่เป็นเพราะกำลังขบคิดเรื่องบทสนทนาระหว่างทั้งสองคนต่างหาก
เขามีความรู้สึกเหมือนชมบุปผากลางสายหมอก คล้ายจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ
สองคนที่นั่งอยู่ในศาลา คนหนึ่งอุทิศตนฝึกวิชาเต๋ายี่สิบปีแต่ก็ยังควบคุมราชสำนักได้อย่างมั่นคง ความคิดจิตใจของจักรพรรดิช่างบริสุทธิ์เหมือนเปลวไฟนัก
คนหนึ่งควบคุมหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลในฐานะขุนนางราชการ เก่งกาจทั้งบุ๋นบู๊ ทำให้ปัญญาชนนับไม่ถ้วนละอายใจ
บทสนทนาระหว่างพวกเขาต้องใคร่ครวญให้ละเอียดรอบคอบ
ขณะที่องค์รัชทายาทกำลังมีความคิดผุดขึ้นมากมาย ก็ได้ยินจักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสว่า “สืบคดีซังผอเป็นอย่างไรบ้าง เอกสารที่หน่วยราชการกับกรมอาญาส่งมาวุ่นวายสับสนไปหมด ข้าจำได้ว่า ผู้ทำคดีหลักของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลเป็นฆ้องทองแดงต้องโทษแซ่สวี่คนนั้นใช่หรือไม่”
………………………………….