ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 153 ภาพลักษณ์ของหมายเลขสามแตกสลาย
บทที่ 153 ภาพลักษณ์ของหมายเลขสามแตกสลาย
สายตาของเหิงหย่วนทอดมองกระจกหยก นี่เป็นสิ่งที่เขาทำหายที่ก้นบ่อ ระหว่างที่มีปากเสียงกับเหิงฮุ่ยก็ทำหลุดมือไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
ครั้นได้ฟังเรื่องของเหิงฮุ่ยจบแล้วมองเห็นเขานั่งสิ้นใจ ความโศกเศร้าก็จับขั้วหัวใจ จึงไม่ได้สนใจชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
ต่อมาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็มาถึง เขารู้ตัวว่าต้องเข้าคุกแน่ เพื่อป้องกันไม่ให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามหากระจกพบ การทิ้งมันไว้ที่ก้นบ่อจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
แผนการของเหิงหย่วนคือ ถ้าหากมีโอกาสหลุดพ้นไปได้ก็จะนำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกลับมา หรือไม่ก็ให้นักบวชเต๋าจินเหลียนนำกลับมาแทนเขา
ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันจะมาอยู่ในมือของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
สวี่ชีอันจ้องมองเหิงหย่วน รอคำตอบจากอีกฝ่าย
กระจกหยกเป็นสิ่งที่เว่ยเยวียนส่งให้เขาเช้านี้ ไม่ได้สั่งอะไรไว้ แต่สวี่ชีอันรู้สึกว่าเว่ยเยวียนคิดจะส่งมอบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีคืนแก่หมายเลขหกผ่านทางเขา
เมื่อเห็นชายหัวโล้นเงียบงันไปนาน สวี่ชีอันก็จิบชาอึกหนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ “กระจกบานนี้พบที่ก้นบ่อ ไม่ใช่ของท่าน แต่เป็นของเหิงฮุ่ย และชื่อจริงๆ ของมันก็คือหนังสือปฐพี”
เหิงหย่วนพลันเงยหน้าขึ้น จ้องมองที่เขา สวี่ชีอันหัวเราะ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความมั่นใจ “บนโลกนี้มีคนมากมายที่ไม่รู้จักมัน แต่ไม่รวมพวกเราหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนะ”
เหิงหย่วนก้มหน้าลงอีกครั้ง เอ่ยเสียงเบา “เป็นของอาตมาเอง”
สวี่ชีอันกล่าว “จากที่ข้ารู้มา นี่เป็นของวิเศษของลัทธิเต๋านิกายปฐพี เหตุใดถึงมาอยู่ในมือของพระอย่างท่านได้ล่ะ”
เหิงหย่วนตอบ “อาตมามีวาสนาได้รับอาวุธเวทมนตร์ชิ้นนี้มา หวังว่าใต้เท้าจะส่งกลับคืนมาให้”
สวี่ชีอันส่ายหน้า เก็บกระจกหยกกลับไปแล้วถือเล่นอยู่ในมือ เอ่ยยิ้มๆ “ไต้ซือ ข้าเกรงว่าคงไม่ใช่เท่านี้กระมัง ของวิเศษของลัทธิเต๋านิกายปฐพี จะใช้แค่คำว่า ‘มีวาสนา’ มาอธิบายได้หรือ
“ถ้าหากท่านพูดเรื่องที่เป็นประโยชน์แบบตรงไปตรงมา ข้าก็จะปล่อยท่าน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ อีกครึ่งชีวิตที่เหลือของท่านก็จะอยู่ในคุกใต้ดินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตลอดไป”
เหิงหย่วนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินไป
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “เจ้าจะไปไหน”
“อาตมาจะกลับเข้าคุก”
…นิสัยของหมายเลขหกไม่เลวเลย เขาไม่ทรยศต่อพรรคฟ้าดิน แน่นอนว่าอาจเป็นเพราะไม่ได้ถูกทรมาน แต่แบบนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าอยากได้นี่นา สวี่ชีอันกล่าวเสียงขรึม “เป็นเพียงของวิเศษชิ้นหนึ่ง เหตุใดไต้ซือต้องทำเช่นนี้ บนโลกนี้มีสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งกว่าอิสรภาพด้วยหรือ”
เหิงหย่วนไม่ได้หันกลับมา เพียงกล่าวว่า “ใต้เท้าใส่โซ่ตรวนโปรดกลับให้อาตมาเถิด”
สวี่ชีอันมองไปยังเจ้าพนักงานผู้ทำหน้าที่บันทึก “เจ้าออกไปก่อน”
เจ้าพนักงานเก็บกระดาษ พู่กัน และแท่นฝนหมึกแล้วก็ออกจากห้องไต่สวนไป
สวี่ชีอันกระแอมไอ น้ำเสียงกลับมาอ่อนโยน “ไต้ซือ นั่งก่อนๆ”
เขาลุกขึ้น ดึงแขนของเหิงหย่วน ทำท่าทางเคารพนอบน้อม
เหิงหย่วนกลับมานั่งที่โต๊ะอย่างงุนงง มองดูฆ้องทองแดงที่มีท่าทีเปลี่ยนไปแบบ 180 องศา ไม่รู้ว่าในใจของเขามีแผนการอะไร
“ใต้เท้า ข้าไม่รู้เรื่องอะไรเลย หนังสือปฐพีได้มาเพราะวาสนาจริงๆ” เหิงหย่วนกล่าวอย่างจนปัญญา
…อย่าได้พูดจาแน่นอนอย่างนี้สิ ผู้ละทางโลกไม่มุสา เดี๋ยวเจ้าจะอายเอานะ สวี่ชีอันกล่าวด้วยท่าทางกรุ้มกริ่ม “เจ้าเป็นหมายเลขหกของพรรคฟ้าดินใช่ไหม”
Σ(°△°|||)
เหิงหย่วนเบิกตาโพลง จ้องมองเขาด้วยท่าทางตกใจงุนงง ความใจเย็นบนใบหน้าหายวับไป เหลือแต่ความเป็นปรปักษ์และระแวดระวังตัวแทน
ราวกับขอแค่สวี่ชีอันเผยสัญญาณว่าเป็นอันตรายต่อพรรคฟ้าดินออกมา เขาก็พร้อมจะลงมือปลิดชีพฆ้องทองแดงผู้นี้ด้วยฝ่ามือเดียว เอาชีวิตแลกชีวิต
สวี่ชีอันกดเสียงเบา หมอบลงกับโต๊ะและใช้น้ำเสียงแบบนักสืบลับกล่าวว่า “ตัวข้าชื่อสวี่ชีอัน เป็นสายลับจากสำนักอวิ๋นลู่ที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไม่ใช่ของที่หน่วยลาดตระเวนหาพบ แต่เป็นข้าที่นำขึ้นมาจากก้นบ่อ และเป็นข้าเองที่พาคนไปตามหาพวกเจ้า ส่วนเรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคำสั่งจากหมายเลขสาม เขาเป็นหัวหน้าของข้า”
หมายเลขสามหรือ! เหิงหย่วนตะลึงพรึงเพริด เขาไม่นึกแย้งหรือสงสัยในคำพูดของฆ้องทองแดงตรงหน้า เพราะในชั่วพริบตานี้ เขาฉุกนึกถึงอะไรบางอย่างได้
‘หมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เขาเผยข้อมูลว่าสำนักศึกษาได้แฝงคนไว้ตามหน่วยงานราชการของราชสำนักแต่ละแห่ง… ในฐานะที่เคยเป็นสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อสายตรงของราชสำนัก พฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องปกติ…’
หลังจากเกิดคดีซังผอ หมายเลขสามก็พูดถึงรายละเอียดคดีซังผอในข้อความของพรรคฟ้าดินด้วย… หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีสายลับจากสำนักอวิ๋นลู่จริงๆ …’
‘แต่หมายเลขสามรู้ตัวตนของข้าได้อย่างไร ใช่แล้ว นักบวชเต๋าจินเหลียนรู้ตัวตนของพวกเราทุกคน ตอนนั้นเหิงฮุ่ยอยู่กับข้า นักบวชเต๋าจินเหลียนจำเป็นต้องหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับเหิงฮุ่ย จึงทำได้เพียงขอความช่วยเหลือจากคนอื่น และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็รับผิดชอบคดีซังผออยู่ หมายเลขสามที่มีสายลับอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในการขอความช่วยเหลือ…’
‘อีกทั้งข้ายังติดหนี้ชีวิตหมายเลขสามอยู่หนึ่งครั้ง ไม่แปลกที่หมายเลขสามจะเป็นถือบัณฑิต เป็นวีรชนคนกล้า เป็นสหายที่พึ่งพาอาศัยได้ เหตุต้นผลกรรมในครั้งนี้ ต่อไปคงยากจะตอบแทนแล้ว’
คิดมาถึงตรงนี้ เหิงหย่วนก็สูดหายใจลึก สายตาที่มองสวี่ชีอันปราศจากความตื่นตัวและความเป็นปรปักษ์ เขาเอ่ยถามอย่างนุ่มนวล “หมายเลขสามยังกล่าวอะไรอีกหรือ”
“เขาบอกว่าการสอบช่วงวสันต์กำลังมาเยือน ไม่อาจออกไปจากสำนักอวิ๋นลู่ได้ ต่อไปถ้าหากเจอปัญหาแบบนี้อีก อาจจะช่วยไม่ทัน ดังนั้นจึงให้ข้ามาติดต่อกับไต้ซือ ต่อไปหากไต้ซือมีอะไรให้ช่วยล่ะก็ สามารถเรียกหาข้าได้ตลอดเวลา”
สวี่ชีอันเสริมขึ้นในใจว่า และถ้ามีอะไรที่ข้าอยากให้ช่วย ข้าก็จะเรียกหาท่านเหมือนกัน แถมไม่ต้องเปิดเผยตัวตนของหมายเลขสามอีกต่างหาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องเปิดเผยในระยะสั้นนี้ล่ะ
ตอนนี้เขาไม่อยากเปิดเผยตัวตนชั่วคราว มาดที่สร้างไว้ก่อนหน้านี้ออกจะโอ้อวดเกินไปหน่อย สมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนคิดว่าเขาเป็นระดับสุดยอดหัวกะทิในสำนักอวิ๋นลู่และเป็นอัจฉริยะมากความรู้กันทั้งนั้น
สุดท้ายหมายเลขสามกลับกลายเป็นแค่ฆ้องทองแดงคนหนึ่ง
อีกอย่าง ทำอะไรต้องหาทางหนีทีไล่ไว้เสมอ การไม่เปิดเผยตัวจริงก็เท่ากับว่ายังเหลือที่ว่างขนาดใหญ่ให้เคลื่อนไหวอีกมากมาย
กลับกันแล้วสำหรับหมายเลขหก ข้าจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือว่าศิษย์สำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่มีอะไรแตกต่างกันมาก แถมข้ายังไม่ต้องหลอกลวงเขาด้วย
เหิงหย่วนพยักหน้า รับชิ้นส่วนหนังสือปฐพีที่ฆ้องทองแดงรูปงามส่งมาให้แล้วเอ่ย “ต่อไปถ้าหากมีอะไรให้อาตมาช่วย ใต้เท้าเอ่ยปากได้เลย”
สวี่ชีอันยิ้มพลางโบกมือ “ไต้ซือ ข้าจะพาท่านออกไป”
พอส่งเหิงหย่วนเดินจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็กลับมายังโถงชุนเฟิง พวกมือปราบลวี่ชิงจากที่ว่าการไม่ได้มาที่หน่วยแล้ว เพราะรู้ว่าสวี่ชีอันอาจจะทำผลงานชดเชยความผิดจากคดีของท่านหญิงผิงหยางได้แล้ว
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวนั่งอยู่ที่โถงข้าง ส่วนหลี่อวี้ชุนกำลังจัดระเบียบข้าวของอยู่ ของประดับทุกชิ้นจะต้องเป็นระเบียบเรียบร้อย
“หัวหน้า ให้ข้าช่วย…”
“ไม่ต้อง เจ้าไม่ต้องทำ” หลี่อวี้ชุนรีบตะโกนหยุด “ข้าทำเอง ข้าทำเองก็พอแล้ว”
สวี่ชีอันมีความสุขอย่างยิ่ง เขานั่งลงที่โต๊ะแล้วกล่าวว่า “หลังจากคดีสิ้นสุดแล้ว เราไปดื่มสุราที่หอนางโลมด้วยกันเถอะขอรับ ข้าเลี้ยงทุกคนเอง”
“หอนางโลมหรือ…” หลี่อวี้ชุนลังเลนิดหน่อย
“หัวหน้า อย่าบอกนะว่าท่านไม่เคยไปหอนางโลม” สวี่ชีอันเจอจุดอ่อนเข้าแล้ว เขายักคิ้วหลิ่วตาอย่างประหลาด
ในยุคนี้ ผู้ชายที่มีตำแหน่งฐานะแต่ไม่เคยไปหอนางโลม… ระดับความหายากช่างเหมือนกับสาวปริญญาเอกที่ยังเวอร์จิ้น กับหนุ่มปริญญาเอกวัยสามสิบปีที่ไม่เคยใช้มือช่วยตัวเองในชาติก่อนของสวี่ชีอัน
ล้วนเป็นของหายากยิ่งในโลกทั้งนั้น
“สถานที่อโคจร มีอะไรน่าไป” หลี่อวี้ชุนส่ายหน้า พูดว่า “วันนี้สามคนนั้นจะถูกตัดหัวตอนเที่ยง ไปดูไหม”
สวี่ชีอันรีบส่ายหน้า “ไม่ไป ข้าทนเห็นภาพแบบนั้นไม่ไหว”
หลี่อวี้ชุนส่งสายตางุนงง
การตัดหัวนี้เป็นเรื่องปกติมากในต้าฟ่ง ยิ่งในช่วงตรวจสอบข้าราชสำนักที่มักจะมีขุนนางกลุ่มหนึ่งถูกลากไปตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่ว และนักโทษประหารรอตัดหัวหลังฤดูใบไม้ร่วงเหล่านั้นก็มีจำนวนเพียงพอจะทำให้พวกชาวบ้านรับรู้ในครั้งแรก ครั้งที่สองคุ้นเคย ครั้งที่สามถึงขั้นดูไปด้วยกินข้าวไปด้วยได้เลย
ไม่มีแรงกระทบกระเทือนจิตใจแม้แต่นิด
“ยังไงข้าก็ไม่ไป” สวี่ชีอันกล่าว
คนนับร้อยถูกตัดหัว สำหรับเขาแล้วมันจะกระทบกระเทือนมากเกินไป เดี๋ยวจะนอนไม่หลับ นี่ขนาดเขามีประสบการณ์สืบสวนมาหลายปี เคยเห็นสำนวนคดีฆาตกรรมนองเลือดมาไม่น้อย หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา เกรงว่าคงได้ทิ้งเงามืดไว้ในจิตใจแล้ว
…
ยามเที่ยง ณ ไช่ซื่อโข่ว
บนแท่นประหาร คนหลายร้อยนั่งคุกเข่า สองคนด้านหน้าสุดก็คือจางเฟิ่งเจ้ากรมทหาร และจางอี้ ลูกชายของเขา
พวกเขาสวมชุดนักโทษสีขาว มีผ้าดำปิดตา รอความตายที่มาเยือน รอบๆ มีชาวบ้านหลายพันคนมามุงดูอยู่กันอย่างเนืองแน่น
ไม่ใช่ทุกคนที่ชอบดูภาพโหดร้ายเลือดสาด แม้ว่าในสายตาของชาวบ้าน ผู้ที่ถูกตัดหัวล้วนเป็นนักโทษความผิดร้ายแรงอย่างยิ่งก็ตาม แต่สาเหตุหลักๆ เป็นเพราะราชสำนักกึ่งบังคับกึ่งส่งเสริมเรื่องการ ‘ล้อมดู’ เช่นนี้ คนเหล่านี้จะไม่มาไม่ได้ ล้วนถูกบังคับให้มาดูทั้งสิ้น
เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง มันคือ ‘ส่งเสริมความน่าเกรงขามของราชสำนัก สยบปวงประชา’
“ฟัน!” เจ้าหน้าที่ดำเนินการเหลือบมองนาฬิกาแดดแล้วออกคำสั่ง
ความตายมาเยือน เหล่าญาติมิตรที่ถูกปิดตาเอ่ยปากก่นด่า ด่าว่าเจ้ากรมทหารจางเฟิ่งทำร้ายคนอื่นจนเข้าตัวเอง ตายเป็นผีแล้วจะไม่ปล่อยเขาแน่
เพชฌฆาตยกดาบขึ้นสูง หัวคนมากมายกลิ้งตก เลือดกระเซ็นเสียเกินจริงอย่างยิ่ง กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งทำให้แม้แต่ชาวบ้านที่อยู่นอกวงก็ยังได้กลิ่น
จากนั้นก็ฟันนักโทษต่ออีกสองกลุ่ม ซึ่งก็คือคนในครอบครัวของผิงหย่วนป๋อและซุนจงหมิง
พระเหิงหย่วนผู้ยืนอยู่นอกฝูงชนหันกายเดินจากไปเงียบๆ ที่เขามาดูการประหารมีเหตุผลอยู่อย่างสองประการ
อย่างแรกคือระงับเวรกรรมแทนศิษย์น้องเหิงฮุ่ย ดังนั้นจึงมาดูศัตรูถูกตัดหัว อย่างที่สองคือสงบความคิดยึดติดของตน หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดจิตมารในภายภาคหน้า
เหิงฮุ่ยคือศิษย์น้องที่เลี้ยงมาจนโตกับมือ เป็นทั้งน้องชายทั้งลูกชาย แค้นย่อมชำระด้วยแค้น เรื่องนี้จบสิ้นแล้ว
….
“ไต้ซือเสินซู…ท่านตื่นแล้วหรือยัง”
ที่โถงข้าง สวี่ชีอันฝึกลมหายใจหลอมปราณไปพลาง เรียกเสินซูไปพลาง แต่เขาก็ยังไม่ได้รับการตอบกลับจากภิกษุชั้นสูงรูปนี้เลย
ราวกับอีกฝ่ายสัมผัสถึงความคิดของข้าได้ มันคือการอ่านจิตของสำนักพุทธหรือ การอ่านจิตน่าจะอ่านความทรงจำไม่ได้ใช่ไหม…แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหลับใหล ซึ่งถือเป็นเรื่องดี
สวี่ชีอันกำลังครุ่นคิด ในใจก็สั่นไหวขึ้นมา เขาลืมตาขึ้น เห็นเพื่อนร่วมงานสองคนล้วนกำลังปิดตาฝึกลมหายใจ เขาจึงหยิบกระจกหยกออกมาอย่างสบายใจแล้วอ่านข้อความ
‘หก: ทุกท่าน ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่เป็นห่วง’
‘ห้า: หมายเลขหก เป็นหมายเลขหกจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลปลอมตัวมาใช่ไหม’
หมายเลขห้าถามข้อสงสัยออกมาเป็นคนแรก ดูเผินๆ เหมือนคนรอบคอบ แต่ความจริงโง่เง่าที่สุด
‘สี่: อา ถ้าเป็นตัวปลอม นักบวชเต๋าจินเหลียนคงเตือนพวกเราล่วงหน้าไปแล้ว หมายเลขห้า สิ่งที่เจ้าควรจะคิดก็คือหมายเลขหกถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยุยงมาหรือไม่ต่างหาก’
ไม่แปลกที่หมายเลขสี่เป็นปัญญาชน ทั้งยังเคยเป็นขุนนางใหญ่ ความคิดจิตใจเฉียบแหลมนัก…สวี่ชีอันทำเสียงจิ๊จ๊ะ
‘ห้า: หมายเลขหกเจ้าได้ถูกยุยงมาหรือไม่’
‘หก: อาตมาไม่เป็นไร อาตมาเพียงอยากขอบคุณที่หมายเลขสามและนักบวชเต๋าจินเหลียนให้ความช่วยเหลือ’
‘เก้า: ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ ศิษย์น้องผู้นั้นของเจ้าไม่ได้มีใจคิดสังหารเจ้า’
‘สี่: คดีซังผอเป็นอย่างไรบ้าง’
เห็นเช่นนั้น สวี่ชีอันก็รอพักหนึ่ง ไม่รอให้หมายเลขหนึ่งได้ตอบ เขาก็ส่งข้อความก่อน ‘คดีซังผอจบลงแล้ว แต่ก็ยังไม่สิ้นสุด’
‘สี่: เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วย’
‘ห้า: หมายความว่าอย่างไร เป็นเช่นนั้นจริงๆ ด้วยคืออะไร เหตุใดคดีซังผอจบลง แต่ยังไม่สิ้นสุด’
‘สี่: อา ให้หมายเลขสามมาอธิบายดีกว่า ข้าคิดว่าเขาอธิบายได้ชัดเจนกว่าข้า’
สวี่ชีอันคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็รับไม้ต่อจากหมายเลขสี่ ส่งข้อความลงไปว่า ‘เรื่องนี้เรียบง่ายมาก จุดประสงค์แท้จริงของคดีซังผอก็เพื่อชักนำไปสู่คดีท่านหญิงผิงหยาง เหิงฮุ่ยนำสิ่งที่ถูกผนึกไปก่อความวุ่นวายในเมืองชั้นใน การทำลายจวนผิงหย่วนป๋อเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด’
‘วันนี้ยามเที่ยง ขุนนางที่เกี่ยวข้องทั้งสามคนถูกตัดสินประหารสามชั่วโคตร ถูกตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่ว คดีของท่านหญิงผิงหยางจบลงแล้ว จุดประสงค์ของผู้สั่งการอยู่หลังม่านบรรลุผลแล้ว ต่อไปพวกเขาคงจะออกจากเมืองจิงจ้าวไปพร้อมกับของที่ถูกผนึก ความวุ่นวายครั้งนี้ก็จะนับว่าปิดฉากลงแล้ว’
‘แต่ตัวคดีซังผอยังไม่จบสิ้น’
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หมายเลขห้าพลันฉุกคิดขึ้นได้ จากนั้นอยู่ดีๆ ก็แทงสวนหมายเลขสามไปหนึ่งที ‘หมายเลขสาม เจ้ามันจอมหลอกลวง คนที่เก็บเงินได้ทุกวันๆ เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นตัวเจ้าเอง’
……………………………………..