ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 169 ไม่ให้ยืม ไปให้พ้น
บทที่ 169 ไม่ให้ยืม ไปให้พ้น
ในครัว แม่ครัวสองสามคนกำลังง่วนกับการทำงานต่างๆ ทั้งล้างผักหั่นผัก จุดไฟในเตา ทำงานไปพลางพูดคุยไปพลาง
“ต่อไปพวกเราจะต้องไปอยู่ในเมืองชั้นในแล้ว” แม่ครัวหั่นผักพูดยิ้มๆ
ความปรารถนาของชาวบ้านเมืองหลวงที่มีต่อเมืองชั้นในก็เหมือนกับที่สวี่หลิงอินมีต่ออาหารอร่อยนั่นแหละ ผู้ที่อาศัยอยู่เมืองชั้นนอกใช่ว่าจะมีแต่ชนชั้นล่างในสังคม แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองชั้นในล้วนมีแต่ครอบครัวฐานะดีกันทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็นความเป็นอยู่หรือการรักษาความปลอดภัย เมืองชั้นในล้วนเหนือกว่าเมืองชั้นนอกหลายขุม ในเมืองชั้นในแทบจะไม่มีเขตชุมชนแออัดด้วยซ้ำ ยามหญิงสาวออกจากบ้านไปซื้อของก็ไม่ต้องกังวลหวาดกลัว
เมื่อเห็นตรอกเงียบสงบก็สามารถเดินเข้าไปอย่างกล้าหาญได้ แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ไม่คุ้มที่จะส่งเสริม
“ต้าหลางช่างมีอนาคตแท้ๆ ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าบ้านหลังนั้นราคาแค่ห้าพันตำลึงเองนะ” แม่ครัวล้างผักพูด
“ห้าพันตำลึงหรือ เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากบ้านหลังนี้ของพวกเราเลยนี่” แม่ครัวจุดไฟพูด
“เจ้าจะไปรู้อะไร” แม่ครัวล้างผักจิ๊ปาก “ข้าได้ยินฮูหยินบอกว่าบ้านหลังนั้นอย่างน้อยก็ต้องเจ็ดพันตำลึง โอ่อ่ายิ่งกว่าบ้านหลังนี้ของพวกเราเสียอีก”
ส่วนที่ว่าทำไมจ่ายแค่ห้าพันตำลึงนั้น ย่อมเป็นเพราะต้าหลางมีความสามารถ เขาเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่ อยากจะซื้อบ้านราคาต่ำก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
“ฮูหยินบอกข้าว่าอีกไม่กี่วันจะพาพวกเราไปอยู่ในเมืองชั้นใน ข้าจะบอกอะไรให้ เมืองชั้นในน่ะเจริญมาก”
เมืองชั้นนอกมีชาวบ้านชนชั้นล่างอาศัยอยู่มากมาย ส่วนน้อยนักที่จะมีโอกาสได้เข้าไปเมืองชั้นใน ถ้าไม่ขี่ม้าก็นั่งรถม้า แต่ถ้าใช้สองขาของตัวเองอย่างเดียวล่ะก็ จากเมืองชั้นนอกไปถึงเมืองชั้นในต้องใช้เวลาถึงสองชั่วยาม ออกเดินทางตอนกลางวัน กว่าจะถึงเมืองชั้นในพระอาทิตย์ก็ใกล้จะตกดินแล้ว
เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างรอคอยการย้ายไปอยู่ในเมืองชั้นในมาก สองสามวันนี้ล้วนแต่ทำงานขยันขันแข็งเพราะกลัวจะถูกไล่ออก นอกจากลวี่เอ๋อที่ขายตัวเข้ามาจวนสกุลสวี่ตั้งแต่ยังเด็กและเป็นสาวใช้ที่สวี่ต้าหลางสามารถหลับนอนด้วยได้ตามใจชอบแล้ว ส่วนคนรับใช้คนอื่นๆ ล้วนแต่ทำสัญญาจ้างงานทั้งนั้น
“ข้าสังเกตอะไรได้อย่างหนึ่ง…” จู่ๆ แม่ครัวหั่นผักก็พูดแทรกขึ้นมา พอแม่ครัวสองคนหันมามองแล้ว นางก็เอ่ยเสียงเบา
“ฮูหยินชอบอวดต้าหลางมากขึ้นเรื่อยๆ มักจะพูดถึงเขาบ่อยๆ แต่พอต้าหลางกลับมา ดันไม่ยอมทำหน้าดีๆ เลย”
“อะแฮ่ม…”
ทันใดนั้น ที่นอกประตูก็มีเสียงกระแอมไอดังเข้ามา ขัดจังหวะพูดคุยของเหล่าแม่ครัว
“ต้าหลางมาได้อย่างไรเจ้าคะ” เหล่าแม่ครัวเอ่ยถามอย่างตกใจ
สถานที่ที่ทั้งมันทั้งสกปรกอย่างห้องครัวเช่นนี้ ไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้านายสมควรมา
พวกเจ้าแม่เฒ่าทั้งหลายช่างเล่นละครเยอะจังนะ…อาสะใภ้อวดข้าสิถึงแปลก…ในมือของสวี่ชีอันถือชามไว้ เขาพยักหน้าเอ่ย
“ข้าทำส่วนผสมพิเศษมา เอามาช่วยพวกเจ้าทำกับข้าวน่ะ”
สวี่ชีอันกวาดมองรอบหนึ่ง ห้องครัวไม่ถือว่ารก แต่ก็ไม่ได้สะอาด ถึงอย่างไรเมื่ออยู่ภายใต้ควันและน้ำมันมาหลายปี ผนังกับเตาก็ถูกเคลือบด้วยคราบไขมันที่ไม่อาจเช็ดออกได้หนึ่งชั้น
แต่ว่าขอเพียงหมั่นล้างพวกหม้อชามทัพพีไหบ่อยๆ ก็ไม่มีปัญหาแล้ว
“นี่คืออะไรเจ้าคะ” เหล่าแม่ครัวเลื่อนสายตาไปมองที่ชามในมือเขา มันเป็นก้อนเหนียวๆ บางอย่าง
“ของดี อย่ามองส่งเดชนะ นี่เป็นส่วนผสมพิเศษ” สวี่ชีอันหันกายหนี ไม่ให้เหล่าแม่ครัวได้ดูสมบัติของเขา
แม่ครัวก็ไม่สนใจ กลับมายุ่งกับการทำงานต่อ ต้าหลางชอบรอก็ปล่อยให้รอไปสิ เขาเป็นเจ้านาย พวกตนเป็นคนใช้ ไม่มีเหตุผลใดให้คนใช้จะไปควบคุมกับเจ้านายได้ อีกอย่าง ทุกครั้งที่ฮูหยินปะทะฝีปากกับเขา ก็จะถูกยั่วโมโหจนต้องกลอกตาตลอด
ในบ้านนอกจากนายท่านแล้ว ก็น่าจะมีเพียงเอ้อร์หลางที่สามารถพูดภาษาดอกไม้ออกมาได้เท่านั้นที่พอจะฉะฝีปากกับต้าหลางได้
สวี่ชีอันยืนมองอยู่ข้างๆ อาหารจานแรกคือหมูผัดหน่อไม้หลงฤดู เขาใช้โอกาสตอนที่แม่ครัวหันไปทำอาหาร เติม ‘ผงปรุงรสไก่’ ไปหนึ่งช้อนเล็กๆ
จากนั้นใช้ตะเกียบคีบมาชิม แล้วพยักหน้าเบาๆ
รสชาติเพิ่มขึ้นไม่น้อย แต่ยังเทียบกับผงปรุงรสไก่จริงๆ ไม่ได้
กรดกัวนิลิกกับ MSG นั้นต้องส่งเสริมกันและกัน…คิดจะให้ได้รสชาติแบบชาติก่อนยังไงก็ต้องทำผงชูรสขึ้นมา… แต่อย่างไรสวี่ชีอันค่อนข้างพอใจแล้ว
เมื่อแม่ครัวเห็นเช่นนั้นจึงหยิบตะเกียบ คีบหน่อไม้ขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วชิมอย่างละเอียด
ดวงตาของนางเบิกโพลงทันใด ลืมอาหารที่ผัดไปเลย
รสชาติเช่นนี้นางทั้งรู้สึกคุ้นเคยและแปลกใหม่ มีรสชาติของเนื้อไก่ แต่เนื้อไก่ไม่มีทางสดขนาดนี้ แค่ช้อนเล็กๆ กลับทำให้ความสดของหน่อไม้เพิ่มระดับขึ้นมาหลายขั้น นี่เป็นสิ่งที่น้ำแกงรสเด็ดไม่มีทางทำได้เลย
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง คว้าช้อนไปผัดอาหารแทน ไม่ให้มันเละ
“เหมือนว่าจะ…อร่อยมากใช่ไหม” แม่ครัวอีกสองคนมองดูนาง ท่าทางหวั่นๆ
“อร่อย อร่อยเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยกินอาหารอร่อยขนาดนี้มาก่อน…” แม่ครัวกล่าวอย่างตื่นเต้น
…
โถงด้านหน้า สวี่หลิงเยวี่ยถือชามข้าวเข้ามา มองไปรอบๆ แล้วเอ่ยเสียงหวาน “พี่ใหญ่ล่ะเจ้าคะ”
ปกติในเวลานี้ พี่ใหญ่จะมานั่งที่โต๊ะรอกินข้าวแล้ว พลางถือโอกาสหยอกเล่นกับสวี่หลิงอิน หนีบนางไว้ใต้รักแร้แล้วแกว่งไปมาอย่างเอาเป็นเอาตาย
หรือไม่ก็ทะเลาะกับท่านแม่ สองอาสะใภ้กับหลานชายต่างเบื่อหน่ายกันและกัน
“วันนี้วันหยุด อาจไปที่สำนักสังคีตแล้ว” สวี่ผิงจื้อที่ก้มหน้าเช็ดดาบพกเอ่ย
“ท่านพ่อก็พูดไร้สาระ แม้แต่หอคณิกาพี่ใหญ่ยังไม่ไปเลย” สวี่หลิงเยวี่ยพองแก้ม หน้าตาบุญไม่รับ
‘…ใช่ แต่ก่อนข้าก็เคยคิดแบบนี้…พี่ใหญ่ของเจ้าที่ไม่เคยไม่หอคณิกา บัดนี้กลายเป็นบุคคลที่เหล่าคณิกาสำนักสังคีตแข่งขันแย่งชิงกันเสียแล้ว’
สวี่ผิงจื้อแอบทอดถอนใจ กล่าวว่า “ตอนนี้เขาอยู่ระดับหลอมปราณ ไม่จำเป็นต้องรักษาร่างกายแล้ว ไปสำนักสังคีตไม่ใช่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์หรอกหรือ ผู้ชายคนไหนไม่ไปบ้าง…”
จู่ๆ ก็รู้สึกถึงไอสังหารจากด้านข้าง สวี่ผิงจื้อไม่แม้แต่จะเงยหน้า เช็ดดาบพกต่อไป เปลี่ยนคำพูดว่า “พ่อเจ้ากับเอ้อร์หลางก็ไม่เคยไป ถึงหนิงเยี่ยนจะเคยไปบ่อยๆ แต่ก็ไปเพื่อสังสรรค์เข้าสังคมเท่านั้น ทำอะไรไม่ได้ จะว่าไป ผู้ชายสกุลสวี่ของเราไม่ชอบไปเที่ยวหอนางโลมกันหมดเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเชื่อคำพูดของบิดา นึกถึงพี่รองผู้หยิ่งยโสกับพี่ใหญ่ผู้ซื่อสัตย์แล้ว ก็เห็นว่าไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่ชอบอาลัยอาวรณ์หอนางโลมขนาดนั้น
นางส่งเสียง “อืม” แล้วนั่งลงที่โต๊ะอย่างวางใจ
“ท่านแม่ ข้าอยากไปที่ร้านกุ้ยเยว่” สวี่หลิงอินโผล่ขึ้นมาจากใต้โต๊ะ ทำเอาอาสะใภ้ตกใจจนสะดุ้ง
อาสะใภ้ไม่อยากสนใจนาง อารองสวี่สั่งสอนบุตรสาวอย่างจริงใจลึกซึ้ง “หลิงอิน จะไปร้านกุ้ยเยว่บ่อยๆ ไม่ได้นะ มันต้องมีเงิน”
“พี่ใหญ่พาข้าไปเมื่อวานนี่” สวี่หลิงอินไม่ยอมแพ้
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปหาพี่ใหญ่เจ้าสิ” สวี่ผิงจื้อโบกมือ ไม่อยากสั่งสอนบุตรสาวแล้ว ลูกสาวคนนี้โง่เง่าเกินไป อาจารย์ที่สำนักอวิ๋นลู่ก็ยังไม่อาจสั่งสอนนาง
อาสะใภ้เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ว่ากันว่าคนครัวของร้านกุ้ยเยว่มาจากในวัง ฝีมือเป็นอันดับหนึ่งในเมืองหลวง หากครอบครัวเราสามารถเชิญคนครัวเช่นนี้มาได้จะดีมากเลย”
“หอมจังเลย…” จู่ๆ สวี่หลิงอินก็พูดขึ้นมา นางขยับจมูกแล้วมองออกไปนอกประตู
สวี่ผิงจื้อผู้อยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดก็ได้กลิ่นสดใหม่เข้มข้น แม้จะช้ากว่าเพียงนิดเดียว
ไม่นาน เหล่าแม่ครัวก็ยกอาหารเข้ามา ที่ตามมาด้วยยังมีสวี่ชีอัน ทว่าแม้แต่สวี่หลิงเยวี่ยที่ชอบพี่ใหญ่ที่สุดก็ยังไม่สนใจเขา สายตาติดหนึบอยู่กับอาหาร
หมูผัดหน่อไม้หลงฤดูเปล่งประกายแวววาว ผักกาดขาวผัดพริกดอง ซุปซานเย่า กุยช่ายผัดไข่ กระดูกหมูตุ๋นรากบัว หน่อไม้น้ำผัดน้ำมันพริก…และขาหมูผัดโดยฝีมือสวี่ชีอันเอง
“กับข้าววันนี้หอมจัง” สวี่ผิงจื้อกล่าวอย่างไม่คาดคิด
เขาสะบัดมือคีบขาหมูหนังกรุบกรอบมาหนึ่งชิ้น ด้านบนทาด้วยน้ำปรุงรสสีเทา สวี่ผิงจื้อสูดดมกลิ่นชวนน้ำลายสอ เขายัดมันเข้าปากและเคี้ยวอย่างอดใจไม่ไหว
“อร่อยขนาดนี้เชียวหรือ” เขาพูดอย่างตกตะลึง
“ท่านพี่กล่าวเกินจริงไปแล้ว” อาสะใภ้เบ้ปาก รอให้แม่ครัววางจานอาหารเรียบร้อยแล้ว นางก็ใช้ตะเกียบคีบหน่อไม้มาชิ้นหนึ่ง หลังเคี้ยวไปไม่กี่คำ ดวงตาคู่งามก็เบิกกว้างทันใด
อาหารก็ยังเป็นอาหารจานเดิม ไม่มีอะไรแปลก แต่รสชาติสดใหม่ที่แผ่ซ่านออกมาได้ระเบิดต่อมรับรสและทำให้เกิดการโจมตีทางรสชาติขึ้น
ปกติเวลาทำอาหาร อย่างมากที่สุดจะปรุงเพิ่มด้วยน้ำแกงรสเด็ดหนึ่งช้อน ซึ่งน้ำแกงก็แบ่งเป็นระดับต่างๆ กัน ความจริงมันไม่ได้อร่อยอย่างที่คิด เพราะน้ำแกงในยุคสมัยนี้ไม่มีส่วนผสมประเภทผงชูรส รสชาติที่เพิ่มขึ้นมาจึงมีจำกัด
รวมไปถึงการซดน้ำแกงไก่หรือกินเห็ดหอมนั้น แค่กินเห็ดหอมอย่างเดียวก็ทำให้รู้สึกสดใหม่ได้ แต่สิ่งที่สวี่ชีอันใช้คือแก่นที่สกัดมาจากเห็ดหอมสองตะกร้าเต็มๆ การโจมตีต่อมรับรสจึงรุนแรงอย่างยิ่ง
อาสะใภ้หันไปมองเหล่าแม่ครัวอย่างประหลาดใจ ดวงตาเปล่งประกายสว่างไสว “อาหารวันนี้แตกต่างจากวันก่อนๆ เป็นพิเศษ พวกเจ้าทำได้อย่างไรหรือ”
สวี่หลิงเยวี่ยและสวี่ผิงจื้อก็หยุดตะเกียบเช่นกัน ต่างรอคอยคำตอบของแม่ครัวด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม
มีเพียงสวี่หลิงอินที่ไม่สน นางสนแค่ว่าจะมีอาหารอร่อยจะตกถึงท้องมากแค่ไหนเท่านั้น
“เป็นสูตรลับของต้าหลางเจ้าค่ะ…” แม่ครัวรีบร้อนโบกมือ
คนในบ้านมองไปที่สวี่ชีอันทันที สวี่ผิงจื้อเอ่ยอย่างตกใจ “เจ้าได้สูตรมาจากไหน”
สวี่หลิงเยวี่ยและอาสะใภ้มองเขาอย่างสงสัย
สวี่ชีอันวางตะเกียบอย่างรวดเร็ว แล้วอธิบายว่า “ข้าคิดว่าอาหารที่บ้านจืดชืดไป อาหารของร้านกุ้ยเยว่ก็แพงเกินไป ข้าเลยบดทุบของบางอย่าง ลองดูแล้วรสชาติไม่เลวเลยทีเดียว”
อารองสวี่พยักหน้าเบาๆ หันหน้าไปมองที่โต๊ะแล้วเบิกตาโต “สวี่หลิงอิน”
สวี่หลิงอินปีนขึ้นไปบนโต๊ะแล้วย้ายจานมาวางข้างตัวเอง
“ของข้าหมดเลย” นางขมวดคิ้วตั้ง พูดเสียงคมชัด
…
สวี่ชีอันรีบไปยังที่ทำการในยามเหม่า (เวลาประมาณ 05.00-06.59) ตลอดเช้าจนถึงเที่ยงเขาไม่ได้ทำอะไร นอกจากดูแลรับรองเหล่าฆ้องทองแดงและฆ้องเงินที่กลับมาจากคุก
เมื่อวานพวกเขารู้ข่าวที่เจ้ากรมโยธาหมดอำนาจจากปากของสหายร่วมหน่วยแล้ว และรู้รายละเอียดของคดีที่ตัดสินการอยู่หรือไปของพวกเขา หากปราศจากบทบาทของสวี่ชีอันที่เข้ามาแทรกกลางในเรื่องล่ะก็ ชะตากรรมของพวกเขาหลายคนอาจพลิกผัน
ไม่ง่ายเลยที่จะรับมือกับพวกเขา สวี่ชีอันผูกฆ้องทองแดงที่อกอย่างดีแล้วแขวนดาบพก หน้าที่ของเขายามบ่ายก็คือลาดตระเวนตามท้องถนน
“หนิงเยี่ยน เจ้าไม่ได้ไปสำนักสังคีตมาพักหนึ่งแล้วนะ” จู่ๆ จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมไร้วาจาก็พูดขึ้น
นั่นก็เพราะตอนนี้เขาเกิดภาพลวงตาว่า ไม่ใช่ข้าที่เล่นคณิกา แต่เป็นพวกนางต่างหากที่กำลังเล่นข้า …สวี่ชีอันกล่าวอย่างจนใจ “ข้ารู้สึกว่าใกล้ถึงระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดแล้ว เลยวางแผนจะลองทะลวงระดับหลอมวิญญาณน่ะ”
‘ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุด’ …จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า
พวกเขาสองคนก็อยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดเช่นกัน เรื่องนี้ไม่ยากเย็น แค่เพียงฝึกลมหายใจทุกคืนทุกวัน การก้าวเข้าสู่ขั้นสูงสุดก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้น
ส่วนที่ยากคือสั่งสมผลงานและแลกมาซึ่งภาพตระหนักรู้
แต่มานับดูแล้วสวี่ชีอันเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพิ่งจะสองเดือน กลับอยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดแล้ว นี่มันคุณสมบัติอะไรกัน
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องสั่งสมผลงานให้ดี” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยด้วยความอิจฉา ทั้งยังกล่าวเสริมอย่างหดหู่ “แต่จากการสั่งสมตั้งแต่คดีซังผอจนถึงตอนนี้ คิดว่าน่าจะพอแล้วนะ”
“อืม” สวี่ชีอันเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน “ข้าวางแผนจะสั่งสมอีกสองอาทิตย์ค่อยไปสำนักสังคีต”
สำนักสังคีตเป็นหัวข้อสร้างบรรยากาศมีชีวิตชีวาให้แก่พวกเขาได้ดีเสมอ ซ่งถิงเฟิงยักคิ้วหลิ่วตา “ถ้าอย่างนั้นแม่นางฝูเซียงคงต้องทรมานแล้ว”
เดินไปพูดไป พวกเขาก็มาถึงทางเข้าที่ทำการ สายตาของทั้งสามก็ถูกภิกษุผู้สวมชุดหลวงจีนสีคราม รูปร่างสูงใหญ่ผึ่งผายดึงดูดไปทันที
ชุดหลวงจีนของเขาเก่าซอมซ่ออย่างเห็นได้ชัด รอบคอแขวนลูกประคำใหญ่หนาไว้เส้นหนึ่ง บนหัวล้านมีรอยแผลเป็นสองรอย สีหน้าขื่นขมความแค้นลึกล้ำ
เขาก็คือภิกษุเหิงหย่วนนั่นเอง
พอเห็นสวี่ชีอันออกมา ดวงตาเหิงหย่วนก็สว่างไสว ก้าวใหญ่ๆ เดินเข้าไปหาแล้วประนมมือทั้งสิบ “ใต้เท้าสวี่”
ไม่ให้ยืม ไปให้พ้น…สวี่ชีอันขัดจังหวะเขา กล่าวอย่างจนใจ “ไต้ซือเหิงหย่วน ข้ามีงานราชการรออยู่ ดังนั้นพวกเราอย่าพูดจาอ้อมค้อมเลย ข้ามีเงินเดือนเพียงเดือนละห้าตำลึง เงินไม่พอหรอก”
ขณะที่พูดอยู่ สายตาของเขาก็มองลงไป เห็นรองเท้าผ้าของเหิงหย่วนขาดวิ่น นิ้วเท้าสองนิ้วยื่นออกมา
‘ที่แท้ก็มายืมเงินหนิงเยี่ยน’ …สีหน้าของซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวจ้องมองเหิงหย่วนอย่างไม่เป็นมิตร
พอเห็นสวี่ชีอันปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา เหิงหย่วนก็เงียบไปพักใหญ่ ค้อมตัวเอ่ย “อาตมาทราบแล้ว”
เมื่อมองดูแผ่นหลังภิกษุใหญ่จากไป สวี่ชีอันก็นึกถึงตอนเรียนอยู่มัธยมขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ตอนนั้นพ่อของเขาวิ่งมาที่โรงเรียนแต่ไกลเพื่อส่งอาหารให้กับเขา หลังจากถูกเขาบ่นอย่างรังเกียจว่ามาส่งข้าวไม่ทัน ก็ได้เห็นภาพแผ่นหลังของพ่อที่จากไปอย่างโดดเดี่ยวเช่นนี้แหละ
“นี่…เดี๋ยวก่อน” สวี่ชีอันตะโกนเรียกเขา ถอนหายใจโล่งอก “ครั้งนี้จะยืมเงินเท่าไหร่ล่ะ พูดมาให้ชัดก่อนสิ ถ้ามากเกินไปข้าไม่ให้ยืมนะ ช่วงนี้ข้าไม่มีเงินจริงๆ”
……………………………