ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 171 โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา
บทที่ 171 โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา
สวี่ชีอันมีประสบการณ์ในการต้มบะหมี่น้อยนิด เหตุผลก็คือ หนึ่ง บะหมี่ที่จากสายพานไม่อร่อยเอาเสียเลย สอง ใครบ้างไม่รู้วิธีต้มบะหมี่ แต่ทำออกมาให้อร่อยนั้นความจริงเป็นเรื่องยากมาก
ผู้คนร้อยละ 99 ต้มบะหมี่ไม่อร่อยทั้งนั้น
“อย่างน้อยก็เป็นบะหมี่ที่ข้าดึงเส้นเอง แรงกำลังก็พอดี…”
ในห้องครัว มีสวี่ชีอันและแป้งบะหมี่ เดี๋ยวนวด เดี๋ยวคลึง เดี๋ยวบีบ…อย่างขะมักเขม้นจริงจัง
นวดเสร็จดีแล้วก็วางไว้อีกด้าน ก่อนหั่นเนื้อหมูติดมันเป็นชิ้นลงไปทอดเป็นกากหมูเจียว แล้วตักมาวางไว้บนจาน จากนั้นใช้น้ำมันหมูที่ได้มาทอดไข่ดาว
นำเส้นบะหมี่ที่นวดเสร็จแล้วลงไปต้มในน้ำ หยิบขวดกระเบื้องออกมาจากอกเสื้อ ก่อนนำผงปรุงรสไก่สูตรง่ายใส่ลงไปในน้ำที่เดือดพล่าน
กลิ่นหอมเข้มข้นตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องครัว ชวนน้ำลายสอ สวี่ชีอันยังไม่ได้ทานข้าว จึงกลืนน้ำลายเอื้อกใหญ่
อีกด้านหนึ่ง ฉู่ไฉ่เวยและองค์หญิงฮว๋ายชิ่งเดินเคียงกันลงมาชั้นล่าง องค์หญิงใหญ่ผู้ผู้สวมกระโปรงลากไปกับพื้นบันไดเหลือบมองฉู่ไฉ่เวย แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างสบายๆ
“พวกเจ้าพบบ้านผีสิงหลังนั้นได้อย่างไร”
ฉู่ไฉ่เวยชะงักไป จากนั้นก็เข้าใจความหมายขององค์หญิงใหญ่ จึงเร่งฝีเท้า แล้วเอ่ยว่า “สวี่หนิงเยี่ยนอยากซื้อบ้าน ข้าเลยไปดูฮวงจุ้ยให้เขาน่ะ”
“เรื่องนี้ข้ารู้ ข้าถามว่าไปพบบ้านหลังนั้นได้อย่างไร” องค์หญิงใหญ่ถาม
“คำพูดนี้ขององค์หญิงประหลาดนัก นายหน้าเฒ่าเป็นคนพาเราไปเจอบ้านหลังนั้น” ฉู่ไฉ่เวยกล่าว
‘นายหน้าเฒ่า?’ นัยน์ตาคู่งามขององค์หญิงใหญ่เปล่งประกาย พริบตาเดียวก็คิดอะไรได้มากมาย จึงเอ่ยถามว่า “นายหน้าเฒ่าผู้นั้นมีสิ่งใดพิเศษหรือ”
“ค่อนข้างมีมโนธรรมทีเดียว” ฉู่ไฉ่เวยหยิบขนมหนึ่งชิ้นออกมาจากกระเป๋าคาดเอวหนังกวาง แล้ววางไว้บนฝ่ามือขาวนุ่ม ก่อนยื่นให้กับองค์หญิงใหญ่
‘ค่อนข้างมีมโนธรรม?’ องค์หญิงใหญ่โบกมือ แสดงท่าทางว่าไม่ต้องการ ก่อนเอ่ยถาม “อย่างไร”
“สวี่ชีอันคิดว่าบ้านผีสิงราคาถูก เขาก็ยังพยายามห้ามพวกเราเพราะกลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นกับเรา” ฉู่ไฉ่เวยยัดขนมเข้าไปในปากเล็กๆ อย่างมีความสุข นางชอบเป็นเพื่อนกับฮว๋ายชิ่งที่สุดแล้ว เพราะองค์หญิงไม่แย่งของอร่อยจากตน
หากเปลี่ยนเป็นสวี่หนิงเยี่ยนเจ้าคนน่ารำคาญคนนั้นล่ะก็ หากนางแสร้งชวนไปตามมารยาทแบบนี้ เขาคงจะกินมันจริงๆ
“…” องค์หญิงใหญ่เงียบงันไปนานแล้วถอนหายใจ นางฉลาดน้อยเอง ถึงได้ดึงดันจะสืบข้อมูลจากปากของเด็กคนนี้อยู่ได้
สืบถามข้อมูลจากนางน่ะไม่เท่าไร แต่นี่ยังจะไปเสวนาธรรมกับนาง ไม่ต่างอะไรกับขยิบตาให้คนตาบอดดูเลยสักนิด
คิดถึงตรงนี้ คิ้วงามขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็ขมวดมุ่น พินิจมองเพื่อนสนิท “ช่วงนี้เจ้ากับสวี่หนิงเยี่ยนใกล้ชิดกันเกินไปแล้ว”
“เหรอ” ฉู่ไฉ่เวยงงงวย
“เจ้าไปมาหาสู่กับผู้ชายคนอื่นบ่อยขนาดนี้ไหมล่ะ” องค์หญิงใหญ่เอ่ยเสริม “ไม่นับพวกศิษย์พี่ในสำนักโหราจารย์นะ”
ฉู่ไฉ่เวยครุ่นคิด แล้วร้อง ‘อ๊ะ’ ขึ้นมาเหมือนเพิ่งรู้ตัว “จริงด้วย เขามักจะสรรหาสารพัดวิธีมาเล่นกับข้าตลอดเลย”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเม้มปากราวกับคิดคำนึงอะไรบางอย่าง ตอนนี้เอง นางก็ได้กลิ่นหอมจางๆ ชวนให้น้ำลายสอ
“หอม หอมจัง…ศิษย์พี่คนใดซื้อของอร่อยมานะ อืม น่ากินมาก เป็นของที่ข้าไม่เคยกินมาก่อนด้วย” ฉู่ไฉ่เวยกลืนน้ำลาย ดวงตาเปล่งประกายด้วยความกระหาย
…
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา”
ทันใดนั้น เสียงขับบทกวีทุ้มลึกก็ดังออกมาในห้องครัว ทำให้สวี่ชีอันตกใจสะดุ้ง พอหันไปมอง ก็เห็นโหรชุดขาวหันหลังให้เขาคนหนึ่ง
เจ้าเป็นบ้าหรือไง เกือบทำข้าหัวใจวายแล้ว…สวี่ชีอันสีหน้านิ่งขรึม เอ่ยเสียงราบเรียบ “เจ้ามาแล้ว”
เสียงราบเรียบและลุ่มลึก ราวกับเป็นสหายเก่าแก่ที่รู้จักกันมาครึ่งชีวิต เดือนปีคล้อยไหลไปตามครรลอง กาลเวลาผันแปรเคลื่อนผ่านไปแสนนาน
เสียงนี้ทำให้แผ่นหลังนั้นตะลึง แล้วตอบกลับด้วยน้ำเสียงลุ่มลึกราบเรียบแบบเดียวกัน “ใช่ ข้ามาแล้ว”
พูดจบเขาก็รู้สึกคาดหวังเล็กน้อยว่าคนที่อยู่ข้างหลังจะตอบกลับอย่างไร
เสียงถอนหายใจยาวเหยียดดังมา กลายเป็นเสียงแหบพร่าที่เอ่ยอย่างทอดถอนใจ “คิดไม่ถึงว่าจากกันยี่สิบปี เจ้าก็ยังคงหันหลังให้สรรพสิ่งเช่นเดิม”
‘หันหลังให้สรรพสิ่ง?!’ ประโยคเรียบง่าย แต่กลับทำให้แผ่นหลังของคนชุดขาวเกิดความรู้สึกร่วมอย่างแรงกล้า รู้สึกว่าตนเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือภูผา ความโดดเดี่ยว เย็นชา และไร้พ่ายคือหัวใจหลักอันเป็นนิรันดร์
หลังจากนิ่งงันไปพักหนึ่งก็เอ่ยเสียงราบเรียบ “แต่ต่อให้ข้าเป็นเช่นนี้ ก็ยังถูกเจ้าดึงดูดอยู่ดี”
คิดไม่ถึงว่าจะรับมุกได้เป็นธรรมชาติขนาดนี้…เจ้าพ่อการละครนี่มีของเหมือนกันนี่หว่า สวี่ชีอันครุ่นคิดดูแล้วเอ่ยขึ้นทันใด
“ข้ารู้อยู่แล้ว วันที่หลอมโอสถระดับเก้าหม้อนี้สำเร็จ มันคือวันที่เจ้าจะลงมือ เจ้าไม่ยอมปล่อยข้าไปจริงๆ สินะ”
“หึ ผู้มีคุณธรรมสูงส่งย่อมได้ครอบครองสมบัติล้ำค่า”
“เฮอะ หยางเชียนฮ่วน เจ้าเคยพ่ายแพ้ไหมล่ะ”
ไอน้ำลอยอบอวลระหว่างทั้งคู่ ในห้องครัวเกิดบรรยากาศฟาดฟันกันขึ้นมาทันที แต่ในตอนนั้นเอง เสียงไพเราะแจ่มใสก็ทำลายบรรยากาศนั้นลง
“พวกเจ้าสองคนทำอะไรอยู่” ฉู่ไฉ่เวยยืนอยู่หน้าประตู กวาดตามองคนทั้งสองอย่างงุนงง
สวี่ชีอันก้มหน้าลงทันที คนเส้นบะหมี่ในหม้อ ปกปิดความอับอายที่กลิ้งเกลือกอยู่ในใจเอาไว้
หยางเชียนฮ่วนไม่ขยับเขยื้อน ยังคงยืนเอามือไพล่หลัง หันหลังให้ทุกสรรพสิ่ง แล้วแค่นเสียงกล่าว “ต่อให้ศิษย์น้องเล็กจะร้องขอความเมตตาให้เจ้า ข้าก็ไม่มีวัน…”
ฉู่ไฉ่เวยพูด “ศิษย์พี่หยาง ท่านมาทำอะไรที่ห้องครัว”
หยางเชียนฮ่วน “…อ้อ ข้ามากินบะหมี่”
ฉู่ไฉ่เวยวิ่งไปที่เตาด้วยความดีใจ น้ำลายไหล จ้องมองหม้อบะหมี่แล้วกล่าวพลางยิ้มหยี “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ายังไม่กินข้าว”
เพราะข้ามาทันเวลาพอดีน่ะสิ…สวี่ชีอันเอ่ยยิ้มๆ “ข้าเคยรับปากไว้แล้วว่าจะทำบะหมี่ให้เจ้ากิน”
บะหมี่ในหม้อสุกพอดี สวี่ชีอันมองคนงามในชุดชาววังสีชมพูข้างหลัง แล้วเอ่ยถาม “องค์หญิงใหญ่ สักชามไหมพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้เย็นชาลังเลเล็กน้อย ดวงตาจดจ้องบะหมี่อย่างไม่อาจควบคุม แล้วพยักหน้าอย่างไม่ค่อยจะเป็นตัวเอง “เอาสิ”
เมื่อพิจารณาจากความอยากอาหารของฉู่ไฉ่เวยแล้ว สวี่ชีอันจึงต้มบะหมี่จำนวนมาก ถ้าแบ่งกันสี่คนก็จะได้คนละชามพอดี
เขาตักเส้นบะหมี่ขึ้นมา แช่ในน้ำเย็น จากนั้นตักน้ำซุปเทลงไปในชามสี่ใบเท่าๆ กัน แล้วแบ่งเส้นบะหมี่ใส่ลงในชาม ตกแต่งด้วยไข่ดาว โรยด้วยต้นหอมซอยและกากหมูเจียว
“ศิษย์พี่หยาง มากินด้วยกันสิ” สวี่ชีอันร้องเรียก ลอบเอ่ยในใจว่า จะได้เห็นว่าเจ้าหน้าตาเป็นอย่างไร
เพียงชั่วความคิดแล่นเข้ามาในหัว เขาก็เห็นฝีเท้าของหยางเชียนฮ่วนแยกจากกัน จากนั้น เจ้าตัวก็หายวับไป พร้อมเอาบะหมี่ไปด้วยหนึ่งชาม
ฉู่ไฉ่เวยถือชามมานั่งที่โต๊ะ นางกินกากหมูเจียวก่อน แล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็ซดน้ำซุปไปหนึ่งคำอย่างอดใจไม่ไหว ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้น รู้สึกว่าต่อมรับรสถูกจู่โจมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางรู้สึกว่าทุกอณูในร่างกายต่างกรีดร้องออกมา
‘อร่อย!’
‘อร่อย!’
‘อร่อย!’
สำหรับผู้ที่ทานอาหารรสชาติสดชื่นเป็นครั้งแรก นี่เป็นรสชาติที่ยากจะลืมเลือนได้จริงๆ…สวี่ชีอันยิ้มอย่างพึงพอใจ แล้วหันไปมององค์หญิงใหญ่
มารยาทการกินขององค์หญิงใหญ่สง่างามมาก แต่ก็กินอย่างรวดเร็ว นางสัมผัสได้ว่าสวี่ชีอันมองมา จึงหยุดกิน แล้วมองกลับด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
สวี่ชีอันหัวเราะแห้งๆ แล้วก้มหน้าก้มตากินบะหมี่
องค์หญิงใหญ่ก้มหน้าตามทันที นางกินบะหมี่คำเล็กๆ ราวกับไม่อยากเสียเวลาและไม่อยากรอคอยแม้เพียงเสี้ยวขณะ
ในห้องอันเงียบสงบไร้ผู้คน หยางเชียนฮ่วนผู้หันหลังให้ทุกสรรพสิ่งนั่งยองๆ อยู่ที่มุมห้อง มือถือชาม กินบะหมี่เสียงดังสวบสาบ
‘เจ้าเด็กนี่น่าสนใจจริงๆ ทั้งเล่นแร่แปรธาตุได้ พูดจาก็น่าฟัง บะหมี่ที่ทำยังอร่อยมากอีกด้วย’…คิดถึงตรงนี้ จู่ๆ หยางเชียนฮ่วนก็หยุดชะงัก การทำตัวเป็นจุดสนใจแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้หรือไง
‘เจ้าเด็กนี่…ช่างเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง’
…
เมื่อกินบะหมี่เสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็มองฉู่ไฉ่เวยแล้วเอ่ยพูด “รู้สึกอย่างไรบ้าง”
“อร่อย” ฉู่ไฉ่เว่ยผงกหัว
“นี่เป็นสูตรลับของข้าเอง เป็นแก่นแท้ที่เกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุโดยเฉพาะ” สวี่ชีอันกล่าว “นี่คือสิ่งที่ข้าจะสอนเจ้า เป็นของที่ช่วยเลื่อนขั้นนักเล่นแร่แปรธาตุ”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งผู้ที่กำลังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากเล็กสีแดงเรื่อ นัยน์ตาทอประกาย แล้วหยุดมือโดยไม่ตั้งใจ
“ยากหรือไม่” สิ่งที่ฉู่ไฉ่เวยกังวลที่สุดก็คือความยากของเรื่องนี้
“ยากมากนะ ถึงอย่างไรข้าก็รู้แค่งูๆ ปลาๆ” สวี่ชีอันกล่าว เมื่อเห็นฉู่ไฉ่เวยหน้าคว่ำในพริบตา เขาก็เสริมอย่างจริงจัง
“ถ้าเจ้าทำออกมาไม่ได้ ต่อไปก็จะไม่ได้กินบะหมี่แบบนี้ แล้วก็จะไม่ได้กินของที่อร่อยยิ่งกว่านี้อีก”
สาวน้อยใบหน้ารูปไข่ห่านดวงตารูปอัลมอนด์เบิกโพลง ทันใดนั้นก็จิตวิญญาณอันแรงกล้าก็ลุกโชน
“เจ้าคิดขึ้นมาเองหรือ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเอ่ยถาม
“อืม เป็นสิ่งที่กระหม่อมทุ่มเทกายใจสร้างขึ้นมาเพื่อแม่นางไฉ่เวยพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาก็รู้สึกเสียใจ คำพูดแบบนี้จะพูดต่อหน้าภรรยาหลวงไม่ได้
อย่างที่คิด องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเหลือบมองเขาอย่างมีเลศนัย น้ำเสียงเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “เจ้าใส่ใจไฉ่เวยจังนะ”
“แม่นางไฉ่เวยเป็นผู้มีพระคุณของกระหม่อม กระหม่อมย่อมใส่ใจพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันกล่าว
“ใส่ใจขนาดไหนล่ะ” เมื่อคนงามใบหน้ารูปไข่ห่านได้ยินคำนี้ ในใจก็รู้สึกเป็นสุข
“หากมีเรื่องร้องขอก็จะสนองให้พ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
จากนั้นก็นึกได้ว่าองค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็เป็นผู้มีพระคุณเช่นกัน จึงกล่าวเสริมว่า “กระหม่อมก็ปฏิบัติกับองค์หญิงเช่นเดียวกัน”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่หือไม่อือ
…
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งมีธุระ นั่งพักอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวจากไป สวี่ชีอันจึงหยิบ ‘สูตรลับเล่นแร่แปรธาตุ’ ที่เตรียมไว้พร้อมแล้วออกมา ในนั้นบันทึกกระบวนการสร้างผงปรุงรสไก่เอาไว้ รวมถึงแนวคิดเรื่องผงชูรสด้วย
หลังจากพูดคุยกับแม่นางไฉ่เวยอยู่นาน สวี่ชีอันก็เอ่ยขึ้นมา “ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากจะรบกวนเหล่าศิษย์พี่จากสำนักโหราจารย์”
เขาวางแผนจะให้พวกโหรจากสำนักโหราจารย์ช่วยรักษาเด็กผู้น่าสงสารที่สถานรับเลี้ยงเด็กคนนั้น สาเหตุที่ไม่ได้ไปหาซ่งชิงก็เพราะกลัวว่าแนวคิดเรื่อง ‘มนุษย์สัตว์’ จะไปกระตุ้นเส้นประสาทอันบ้าคลั่งของศิษย์พี่ซ่งเอาได้
เขาอาจจะอยากศึกษาเด็กคนนั้นโดยใช้การรักษาบังหน้า แรกเริ่มย่อมไม่มีเจตนามุ่งร้ายแน่นอน แต่การเล่นแร่แปรธาตุกับสิ่งมีชีวิตแบบครึ่งๆ กลางๆ ของซ่งชิงจะทำให้เรื่องวุ่นวาย
และมีโอกาสที่จะถูกภิกษุเหิงหย่วนขัดขวางโดยที่ยังไม่ทันได้ทำการทดลอง แล้วทำให้เขาไม่สบอารมณ์ได้
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” แผ่นหลังของหยางเชียนฮ่วนปรากฏขึ้น เขาเอ่ยเสียงเรียบ “มีเรื่องอันใด”
สวี่ชีอันเหลือบมองสาวน้อยนักกินที่ดวงตาใสซื่อไร้เดียงสา เขาเอ่ยพึมพำ “ขอเวลาสักเดี๋ยว”
เขากับหยางเชียนฮ่วนออกมานอกห้องและเล่าเรื่องเด็กผู้น่าสงสารให้อีกฝ่ายฟัง “ศิษย์พี่หยาง เด็กคนนั้นอยู่ได้ไม่เกินสามวัน ข้าอยากเชิญศิษย์พี่สำนักโหราจารย์ไปช่วยรักษา”
“ได้!” หยางเชียนฮ่วนตอบรับ แล้วเอ่ยถาม “แล้วทำไมจะต้องหลบเลี่ยงศิษย์น้องไฉ่เวยล่ะ”
สวี่ชีอันส่ายหน้า “แล้วทำไมต้องบอกนาง”
หยางเชียนฮ่วนพยักหน้า “ไม่เลว เจ้ามีบุคลิกสูงส่งเช่นข้า”
…
กลางดึก ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก
เหิงหย่วนที่นั่งสมาธิอยู่พลันลืมตาโพลง จิตสัมผัสถูกกระตุ้น เขาออกจากห้อง ยอบตัวย่นระยะ มาถึงเรือนหลังอย่างรวดเร็ว
ประตูห้องเก็บฟืนเปิดอยู่ ท่ามกลางแสงจันทร์สลัว เขามองเห็นคนชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่กลางเงามืดในห้อง
เหิงหย่วนหยุดชะงัก ใบหูขยับแผ่วเบา หลังจากได้ยินลมหายใจสม่ำเสมอของเด็กคนนั้น สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลาย เอ่ยเสียงขรึมว่า
“ประสกคือ?”
“สองมือไขว่คว้าเดือนดารา โลกนี้ยากจะหาใครเทียมเรา” คนชุดขาวเอ่ยเสียงเรียบ
‘เย่อหยิ่งถึงเพียงนี้เชียว’ …เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้แต่ภิกษุเหิงหย่วนผู้เป็นบรรพชิตก็ยังคิ้วกระตุกอย่างอดไม่ได้ เกิดอารมณ์หุนหันอยากจะปะทะขึ้นมา
ความรู้สึกเช่นนี้หากใช้คำพูดเรียบง่ายมาอธิบายก็จะได้ว่า ‘ข้าไม่อาจทนดูท่าทางยโสเช่นนี้ของเจ้าได้’
คนชุดขาวร้อง ‘อา’ ออกมา แล้วยิ้มเยาะ “ดูท่าทางเจ้าจะไม่รู้จักข้าสินะ ในเมืองหลวงมีคนไม่รู้จักข้าด้วย”
‘เขาเหมือนกำลังยั่วยุ…คนคนนี้ญาติดีด้วยไม่ได้’ …เหิงหย่วนขมวดคิ้ว
ชายชุดขาวยิ้มน้อยๆ อย่างดูแคลน ค่ายกลใต้ฝ่าเท้าแผ่ขยาย จากนั้นก็หายวับไปทันที
ภิกษุเหิงหย่วนพ่นลมหายใจ กล้ามเนื้อตึงเครียดผ่อนคลายลง เขาคลายท่าทีระแวดระวัง แล้วเดินเข้าไปในห้องเก็บฟืนด้วยท่าทางมึนงงเล็กน้อย จุดตะเกียงน้ำมัน จากนั้นตรวจดูสภาพร่างกายของเด็กน้อย
ลมหายใจสม่ำเสมอ ชีพจรปกติ ดีกว่าตอนกลางวันมากนัก ตอนนี้เอง ด้วยแสงจากตะเกียง เขาก็สังเกตเห็นขวดกระเบื้องหนึ่งขวดวางอยู่ข้างตัวเด็ก พร้อมกับเทียบยาหนึ่งแผ่น
‘เทียบยา…คนชุดขาว…เขาเป็นโหรของสำนักโหราจารย์นี่เอง’ ในตอนนี้เอง เหิงหย่วนจึงถึงบางอ้อว่าที่แท้เจ้าคนผู้นั้นก็มาดูอาการคนป่วยนี่เอง
‘ไม่รู้ แล้วยังหาว่าเขามาท้าทายถึงหน้าประตูบ้านเสียอีก’
ภิกษุเหิงหย่วนเก็บเทียบยาและขวดกระเบื้อง ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมา ‘คนชุดขาวผู้นั้นคือนักสร้างค่ายกล โหรระดับที่สี่’
‘ใต้เท้าสวี่สามารถเชิญโหรระดับสี่คนหนึ่งมารักษาเด็กคนนี้ได้ด้วย’ …เหิงหย่วนประทับใจเล็กน้อย แต่ตกตะลึงเสียมากกว่า
………………………