ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 182 แสงสีเลือด
บทที่ 182 แสงสีเลือด
เรื่องของลัทธิขงจื๊อเกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเป็นแค่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลห่มหนังลัทธิขงจื๊อเท่านั้นแหละ …สวี่ชีอันประชดตัวเอง ปรับสีหน้า แล้วมองดูผิวกระจกหยก
พักหนึ่ง หน้ากระจกก็ปรากฏตัวอักษรขึ้นมา หมายเลขสี่ส่งข้อความมาว่า ‘ข้าเคยเดินทางไปทางตะวันตก คนที่นั่นส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้หนังสือ งมงายล้าหลัง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ‘อารยะ’ คืออะไร แต่คนในท้องถิ่นค่อนข้างอัธยาศัยดี พวกเขาให้การต้อนรับข้าผู้มีภาพลักษณ์เป็นนักดาบอย่างอบอุ่น แต่พอข้าบอกชาวบ้านว่าข้ามีฐานะเป็น ‘ปัญญาชน’ ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อข้าก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ’
‘ทั้งด่ากราด ทั้งข่มขู่ ทั้งขับไล่ ทำให้ข้าต้องออกมาจากที่นั่น และระหว่างการเดินทางต่อจากนั้น ข้าก็ไม่เคยเปิดเผยตัวตนว่าเป็นบัณฑิตอีกเลย’
…นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ‘ความโกรธแค้นของเด็กกากที่มีต่อเด็กเรียน’ อย่างนั้นเหรอ สวี่ชีอันไม่ได้แสดงความเห็นอะไร เขารอคอยข้อความต่อไป
‘สี่: ข้าคิดว่าแถบตะวันตกเพียงแค่รังเกียจพวกปัญญาชนเฉยๆ เท่านั้น ต่อมาถึงได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้รังเกียจปัญญาชน แต่รังเกียจลัทธิขงจื๊อ โดยเฉพาะพวกลัทธิขงจื๊อสายตรง เรื่องนี้ทำให้ข้าคิดถึงบันทึกท่อนหนึ่งข้าเคยอ่านในหนังสือประวัติศาสตร์ก่อนหน้านี้ อืม ในประวัติศาสตร์ช่วงห้าร้อยปีก่อน ศาสนาพุทธเคยเจริญรุ่งเรืองในต้าฟ่งอย่างยิ่ง ทั้งเผยแพร่คำสอนไปทุกหนทุกแห่ง
‘ช่วงเวลาอันดีงามดำเนินอยู่ไม่นาน ไม่ถึงร้อยปี ราชสำนักก็เริ่มทำลายพุทธศาสนา ผู้ที่สนับสนุนให้ทำลายพุทธศาสนาก็คือสมุหราชเลขาธิการในสมัยนั้นนั่นเอง และเขาก็ยังมีอีกฐานะหนึ่ง นั่นก็คือเจ้าสำนักอวิ๋นลู่ ปัญญาชนในสมัยก่อนแทบจะมาจากสำนักอวิ๋นลู่กันทั้งสิ้น ลัทธิขงจื๊อสายตรงก็เกิดการแตกแยกเมื่อสองร้อยปีก่อน…’
สวี่ชีอันส่งข้อความ ‘แค่นี้?’
ต้าฟ่งในสมัยนั้นเป็นอาณาเขตของลัทธิขงจื๊อ แล้วพุทธศาสนาต้องการเผยแพร่คำสอนมายังที่ราบภาคกลาง การที่ลัทธิขงจื๊อจะลงมือขัดขวางก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลมากๆ ในทำนองเดียวกัน ภาคตะวันตกเกลียดชังปัญญาชนก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลเช่นเดียวกัน
เผือกลูกนี้กินแล้วไม่ได้อะไรเลย
‘สี่: ฮึ หมายเลขสาม ช่วงนี้เจ้าเกียจคร้านไปหน่อยนะ’
สวี่ชีอัน “???”
ถ้าอย่างนั้นข้าควรจะกัดนิ้วแล้วแสดงฉาก ‘หัวสมองสั่นสะท้าน’ [1]ให้เจ้าดูหรือไง
‘สี่: หรือเป็นเพราะเตรียมสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ เลยไม่มีเวลาอ่านประวัติศาสตร์ อืม ที่ข้าจะบอกก็คือ สมุหราชเลขาธิการในตอนนั้นเคยพูดประโยคหนึ่งตอนกวาดล้างศาสนาพุทธว่า ‘หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ ขอเอาชีวิตของข้า ตัดเส้นทางสู่พุทธ’ จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่เข้าใจความหมายของประโยคนี้เลย’
หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ ขอเอาชีวิตของข้า ตัดเส้นทางสู่พุทธ …นี่มันหมายความว่าอะไร สวี่ชีอันงุนงง
‘ห้า: บางทีอาจเป็นคำพูดปลุกเร้าจิตใจหรือเปล่า’
หมายเลขห้าถามได้ดี! สวี่ชีอันยิ้ม
‘หนึ่ง: ไม่ใช่ ลัทธิขงจื๊อขั้นสามคือระดับก่อชะตา คำว่า ‘ขอเอาชีวิตข้า’ …ไม่มีทางเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ คำพูดของหมายเลขสี่ทำให้ข้านึกถึงรายละเอียดเพิ่มเติมขึ้นมา สมุหราชเลขาธิการผู้นั้นมีชื่อว่าตู้จงซู หลังจากกวาดล้างพุทธศาสนาแล้ว เขาก็ก้าวสู่ระดับก่อชะตาขั้นสาม พูดอีกอย่างก็คือ ‘การก่อชะตา’ ของเขา คือการล้างบางพุทธศาสนานั่นเอง’
หลังจากล้างบ้างพุทธศาสนา ก็ก้าวสู่ระดับก่อชะตาอย่างนั้นหรือ สวี่ชีอันนึกถึงข้อมูลที่นักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่จางเซิ่นพูดกับเขาโดยบังเอิญขึ้นมา ระดับก่อชะตาของลัทธิขงจื๊อคือกระบวนการ ‘แสวงหาเป้าหมายของชีวิต’ ดังนั้นถึงได้เรียกว่าก่อชะตา
‘ก่อชะตา’ จะต้องมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ทะเยอทะยาน…ดังนั้น หลังล้างบางพุทธศาสนาจึงก้าวสู่ระดับก่อชะตา นี่มันน่าสนใจมากทีเดียว…หมายความว่าการล้างบางศาสนาพุทธคือเป้าหมายที่ถูกต้องและทะเยอทะยานจริงๆ น่ะหรือ
สวี่ชีอันคิดอยู่ในใจก็ส่งข้อความไป ‘ระดับก่อชะตาคล้ายคลึงกับการกล่าวปณิธานของศาสนาพุทธ และที่เข้าสู่ระดับก่อชะตาด้วยการล้างบางศาสนาพุทธ ก็หมายความว่าการทำลายพุทธศาสนาเป็นเรื่องถูกต้อง’
เมื่อมีการรับรองจากนักเรียนลัทธิขงจื๊ออย่างหมายเลขสาม ทุกคนจึงตระหนักได้ว่ามันผิดปกติ หากไม่ล้างบางพุทธ ใต้หล้าจะเป็นพุทธ…บางทีนี่อาจจะไม่ใช่คำพูดล้อเล่น
เบื้องหลังเกี่ยวข้องกับเรื่องวงในระดับลึก ไม่ใช่เรื่องผิวเผินแค่ ‘แย่งชิงอาณาเขต’ เช่นนั้นแน่
ไม่มีใครพูดอะไรอยู่นาน ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ผ่านไปสิบกว่านาที หมายเลขสองก็กล่าว ‘หมายเลขสาม ในกลุ่มผู้ตรวจการไปอวิ๋นโจวคราวนี้มียอดฝีมืออยู่มากน้อยแค่ไหน’
‘สาม: ดูเผินๆ มีแค่ฆ้องทองคำคนเดียว พวกที่ซุ่มซ่อนนั้นไม่รู้’
‘ใช้คำว่า ‘มีแค่’ ได้ดี’ …หมายเลขสองโพล่งขึ้นในใจ
ใครก็ตามที่เคยรู้จักหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลล้วนรู้ว่าฆ้องทองคำคือทหารระดับสี่ เมื่อทหารระดับสี่อยู่ในสนามรบ แต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือชั้นสูงที่สามารถล้มหนึ่งพันคนได้
ในสายการฝึกที่ยังมีขอบเขตแบบมนุษย์ปุถุชน ระดับสี่ที่รวบรวม ‘ความตั้งใจ’ เอาไว้นั้นคือจุดสูงสุด
ขึ้นมาอีกขั้นก็คือระดับสาม แต่ระดับสามนั้นมีความสามารถงอกแขนขาขึ้นมาใหม่ได้ ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาอีกต่อไป
‘…แม้ว่าจะเป็นกลุ่มของข้าซึ่งรวมตัวข้าไปด้วย หากต้องต่อกรกับฆ้องทองคำระดับสี่หนึ่งคน เกรงว่าคงจะได้พบจุดจบแบบตกตายไปพร้อมกันเท่านั้น’ หมายเลขสองถอนหายใจ
ไร้คำพูดไปพักหนึ่ง เมื่อแน่ใจว่าเพื่อนในกลุ่มที่หาดีไม่ได้ทั้งหลายออฟไลน์กันแล้ว สวี่ชีอันก็เก็บกระจกใบเล็ก ออกจากห้อง ไปยืนอยู่บนกราบเรือ หันหน้าสู่แม่น้ำสายใหญ่ ปลดทุกข์ที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
เมื่อสวมเข็มขัดเรียบร้อยแล้วก็กลับห้องไป
…
วันต่อมา ท้องฟ้าเริ่มสว่าง สวี่ชีอันตื่นขึ้นมา มองไปรอบๆ ก็เห็นสหายร่วมหน่วยทั้งสองคนกำลังโคจรพลัง ฝึกลมหายใจหลอมปราณ
ทุกคนต่างก็พยายามหนักกัน เต็มไปด้วยพลังปราณเช่นนี้อยู่ทุกวัน …สวี่ชีอันลุกขึ้นนั่ง ยืดเอวบิดตัว
จิต ปราณ วิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียว เมื่อพลังปราณอัดแน่นอยู่ในตันเถียนส่วนบน กลาง ล่าง พลังจิตก็พุ่งสูงขึ้น ตอนนั้นเอง หมายความว่าจะสามารถตระหนักรู้ เตรียมทะลวงระดับหลอมวิญญาณได้เลย
พลังปราณของสวี่ชีอันอัดแน่นอยู่เต็มตันเถียนตั้งนานแล้ว ใกล้จะล้นออกมาอยู่รอมร่อ เมื่อตระหนักรู้อย่างต่อเนื่องทุกวันๆ พลังจิตก็จะเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ขาดแค่ ‘โอกาส’ ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณได้แล้ว
โอกาสจะมาอย่างไรนั้นสวี่ชีอันไม่รู้ เว่ยเยวียนก็ไม่ได้บอกเขา เพราะพ่อเว่ยไม่รู้ว่าการฝึกตนของสวี่ชีอันพัฒนาได้เร็วขนาดนี้
เขาคิดมาตลอดว่าฆ้องทองแดงที่ตนให้ความสำคัญยังอยู่ในช่วงโคจรพลังปราณอยู่เลย
เมื่อสัมผัสได้ว่าสวี่ชีอันตื่นแล้ว จูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงก็หยุดฝึกลมหายใจ คนแรกหันมาพูดว่า
“รอให้เสร็จสิ้นการเดินทางไปอวิ๋นโจว ที่หน่วยก็จะมอบเงินรางวัลให้ ข้าก็เก็บเงินแต่งเมียได้มากพอเสียที”
จูกว่างเสี้ยวมีน้องสาวที่เป็นหวานใจวัยละอ่อนอยู่คนหนึ่ง อืม ไม่ใช่น้องสาวแท้ๆ แต่เป็นน้องสาวข้างบ้าน ทั้งคู่มีความรักบริสุทธิ์ต่อกัน เป็นดั่งตะพาบน้ำมองถั่วเขียว ถูกใจกันมาก
แต่บิดาของน้องสาวคนนั้นต้องการให้จูกว่างเสี้ยวนำสินสอดจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงมาสู่ขอ ไม่อย่างนั้นก็ไม่ได้แต่ง
จูกว่างเสี้ยวมีเงินเดือนเดือนละห้าตำลึง บวกกับรายได้สีเทาอีกเล็กน้อย ในหนึ่งปีก็อาจเก็บเงินได้แปดสิบกว่าตำลึง แต่เขายังต้องไปสังสรรค์ ใช้จ่ายรายวัน แล้วยังต้องไปหอนางโลมด้วย…แต่ละปีจึงเก็บเงินได้สามสิบกว่าตำลึง
แค่นี้ก็ไม่ง่ายแล้ว ถึงอย่างไรรายจ่ายที่หอนางโลมก็เป็นเรื่องจำเป็น คนธรรมดาก็ยังต้องการ แล้วนับประสาอะไรกับทหารผู้กล้ามีเลือดมีเนื้อล่ะ
บ้าเอ๊ย…แม่งอย่ามาปักธงตั้งเป้าแบบนี้จะได้ไหม คนแบบเจ้าน่ะ ข้าเห็นในละครชาติก่อนไม่หนึ่งพันก็แปดร้อยครั้งแล้ว…สวี่ชีอันกลอกตา
“ยินดีด้วย ขอให้กว่างเสี้ยวแต่งงานได้ในเร็ววัน” ซ่งถิงเฟิงพูดจบ ก็เหลือบเห็นถุงหอมสีม่วงสวยงามที่แขวนอยู่ที่เอวของสวี่ชีอัน ปักลายดอกบัวสีขาว เห็นแล้วเขาก็ถามว่า “หนิงเยี่ยน อันนี้ฝูเซียงให้มาหรือ”
“ไม่ใช่!” สวี่ชีอันปล่อยให้เขาถอดถุงหอมออกไป
“เจ้าหนู เจ้าคงไม่ได้มีคู่หมั้นด้วยหรอกใช่ไหม” ซ่งถิงเฟิงค่อยๆ เบิกตาตี่ของเขาขึ้น เอ่ยด้วยความอิจฉา
“ไม่มี” สวี่ชีอันแย่งถุงหอมกลับมา แล้วนอนลงอีกครั้ง ถุงหอมสีม่วงห้อยอยู่ที่ปลายจมูก ส่งเสียงพึมพำเบาๆ “นางเป็นแค่น้องสาวของข้า น้องสาวบอกว่าสีม่วงนั้นมีเสน่ห์”
“หนิงเยี่ยนทำไมไม่แต่งเมียล่ะ” จูกว่างเสี้ยวแสดงความสงสัย
ในสายตาเขา สวี่ชีอันไม่เพียงได้รับความชื่นชมอย่างลึกซึ้งจากเว่ยกงเท่านั้น เขายังได้รับพระราชทานรางวัลเป็นทองคำหนึ่งพันตำลึงจากฝ่าบาท เส้นทางอนาคตและเงินทองดั่งดอกไม้บาน
ตัวเขาก็ถึงวัยแต่งภรรยามีลูกแล้ว
“เขาก็เหมือนกับข้า เป็นพวกเสเพล” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยประเมิน
“ไปให้พ้น เราไม่เหมือนกัน” สวี่ชีอันนอนอยู่บนเตียง สองมือหนุนอยู่หลังศีรษะ เอ่ยทอดถอนใจว่า “ให้เวลาปรับตัวอีกสักระยะเถอะ”
เพิ่งมาถึงต้าฟ่งได้สามเดือนเต็ม เขายังไม่อาจวางใจแล้วปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างสมบูรณ์หรอก ดังนั้นถึงได้เอาแต่หมกมุ่นอยู่ที่สำนักสังคีต หมกมุ่นกับอ้อมอกอุ่นของฝูเซียง แต่ไม่ได้เตรียมใจกับการแต่งงานสร้างครอบครัวเลย
จูกว่างเสี้ยวพยักหน้าเบาๆ ให้คำแนะนำว่า “ต้องดูเงื่อนไขของเจ้าต่อภรรยาในอนาคต”
“เงื่อนไขหรือ…” สวี่ชีอันนิ่งคิดแล้วเอ่ย “ผมยาวเป็นลอนใหญ่”
“เงื่อนไขของเจ้าแปลกจัง” ซ่งถิงเฟิงขมวดคิ้ว
สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “นี่คือเงื่อนไขสามประการเลยนะ”
ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็กินข้าวเช้า แล้วไปเคาะประตูห้องของเจียงลวี่จง
“มีเรื่องอะไร” เจียงลวี่จงนั่งอยู่บนโต๊ะ ดูแผนที่อวิ๋นโจวอยู่ สายตาเฉียบคมดุจตาเหยี่ยวของเขาสร้างแรงกดดันให้ผู้อื่นมหาศาล
“ปัญหาด้านการฝึกตนขอรับ อยากจะขอคำชี้แนะจากฆ้องทองคำเจียงสักหน่อย” สวี่ชีอันหยิบขนมหนึ่งชิ้นเข้าปาก “จะเลื่อนขั้นไประดับหลอมวิญญาณได้อย่างไรขอรับ”
เรื่องนี้ก่อนหน้านี้ความคิดของสวี่ชีอันคือค่อยเป็นค่อยไป ปล่อยไปตามธรรมชาติ
พอสั่งสมมาจนถึงระดับที่สมควร ก็จะสามารถเลื่อนขึ้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้เองโดยธรรมชาติ
แต่ดูจากเงื่อนไขของการเลื่อนระดับเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุของฉู่ไฉ่เวยแล้ว เขาก็ได้แรงบันดาลใจ เมื่อมองย้อนกลับไปในสายการฝึกยุทธ์ก็จะพบว่า การเลื่อนขั้นจากระดับหลอมจิตสู่ระดับหลอมปราณนั้นก็มีเงื่อนไขอยู่ นั่นก็คือ ห้ามเสียพรหมจรรย์!
เจียงลวี่จงหัวเราะบอก “ง่ายมาก พอจิต ปราณ วิญญาณของเจ้าแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว หว่างคิ้วของเจ้าจะปวด นั่นคือช่วงที่เจ้าจะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณ ส่วนวิธีการเลื่อนขั้นนั้น อืม ห้ามนอนสิบวัน”
เอ๊ะ? ไม่นอนสิบวันนี่เรื่องจริงเหรอ จะไม่ตายฉับพลันหรือไง
เมื่อเห็นใบหน้างุนงงของสวี่ชีอัน เจียงลวี่จงก็กล่าวอธิบาย “เจ้าได้ยินไม่ผิดหรอก ห้ามนอนสิบวัน เมื่อข้ามผ่านได้ก็จะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณ ถ้าไม่ผ่าน อย่างเบาก็จะหมดสติ อย่างหนักจะสมองเสื่อมตาย ในสายการฝึกยุทธ์นั้น ทุกระดับล้วนเป็นบททดสอบความเป็นความตายทั้งนั้น”
“…แล้วทำไมต้องห้ามนอนสิบวันขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างฉงน
“ตอนที่เจ้าอยู่ระดับหลอมจิต คงจะได้เผชิญกับขีดจำกัดของกายเนื้อเป็นพักๆ ทุกครั้งที่ทะลวงขีดจำกัดได้ พลังกายก็จะเพิ่มขึ้น เช่นนั้นเจ้ารู้ขีดจำกัดของจิตเดิมหรือไม่”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“วิธีการทะลวงขีดจำกัดของจิตเดิมที่ดีที่สุดก็คือห้ามหลับนอน สิบวันเป็นแค่เวลามาตรฐานคร่าวๆ เพราะขีดจำกัดของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน ในอนาคตพอเจ้าพยายามเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณ เจ้าก็จะสัมผัสได้เอง”
“ไม่ใช่ว่าร่างกายจะทนรับไม่ไหวหรอกนะขอรับ”
“ดังนั้นระดับหลอมจิตกับหลอมปราณจึงเป็นการสร้างพื้นฐานให้กับระดับหลอมวิญญาณอย่างไรเล่า รวมไปถึงการตระหนักรู้ประจำวันของเจ้าด้วย มันก็เสริมความแข็งแกร่งของจิตเดิมเช่นกัน ขณะเดียวกันก็เพิ่มโอกาสในการเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณด้วย” พูดถึงตรงนี้เจียงลวี่จงก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า
“เจ้ายังกังวลเร็วเกินไป เส้นทางสายยุทธ์ สิ่งสำคัญที่สุดคือความตั้งใจชนิดบุกป่าฝ่าดง ขึ้นเขาลงห้วย จะทะเยอทะยานเกินไปไม่ได้”
“ฆ้องทองคำเจียงกล่าวมีเหตุผล” สวี่ชีอันพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าอยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดแล้วขอรับ”
เจียงลวี่จง “???”
เขาใช้สายตาประเภทคลางแคลงใจมองจ้องสวี่ชีอัน มองอยู่พักหนึ่ง ก็เอ่ยอย่างไม่พอใจ “อย่ามาพูดเล่นนะ ข้าจำได้ว่าตอนที่เจ้าเข้าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เจ้ายังอยู่ระดับหลอมจิตอยู่แล้ว ยังไม่ถึงสามเดือนก็อยู่ระดับหลอมปราณขั้นสูงสุดแล้ว มีที่ไหน…คงไม่ใช่เรื่องจริงกระมัง”
สวี่ชีอันยักไหล่ “ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ แล้วข้าจะถามท่านทำอะไรเล่า อืม เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ”
สวี่ชีอันออกจากห้องของเจียงลวี่จง ทิ้งให้ใต้เท้าฆ้องทองคำนั่งอยู่ที่โต๊ะ พึมพำอยู่เพียงลำพัง “นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ไม่สมเหตุสมผล…เว่ยกง เขารู้ไหม”
…
หลังจากผ่านไปหกวัน ความรู้สึกของการล่องเรือครั้งแรกในชีวิตของสวี่ชีอันก็คือ ‘บัดซบ!’
บนดาดฟ้าเรือ ซ่งถิงเฟิงทอดมองแม่น้ำอย่างไร้จิตวิญญาณ มองดูเรือขนส่งที่ผ่านไปมา กล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็จะไปถึงอวี่โจวแล้ว ฆ้องทองคำเจียงสัญญากับพวกเราว่าจะพักผ่อนหนึ่งวัน ข้ากินปลาจนเอียนแล้ว”
“อวี่โจวอุดมไปด้วยแร่เหล็ก ร่ำรวยจนเลื่องชื่อ เป็นถิ่นกำเนิดอัจฉริยบุคคล คาดว่าคนงามในสำนักสังคีตก็น่าจะมีน้ำมีนวลด้วยเช่นกัน” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งเสริม
สวี่ชีอันไม่สนใจว่าคนงามของสำนักสังคีตจะมีน้ำมีนวลหรือไม่ เขาคิดแต่อยากจะลงเรือเร็วๆ จากนั้นก็ไปหาอะไรอร่อยๆ กิน
กลางฤดูหนาวเช่นนี้ผักผลไม้หายากอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับการลอยอยู่บนน้ำ พักนี้กินแต่ปลาอยู่ทุกมื้ออาหาร กินจนตอนนี้เขาเห็นปลาก็จะอ้วก แทบจะเป็นโรคเบื่ออาหารอยู่แล้ว
ตอนนี้เอง สายตาของสวี่ชีอันที่นอนคว่ำอยู่ข้างเรือก็บังเอิญเห็นเรือหลวงลำหนึ่งแล่นเข้ามา
เจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อยสองสามคนบนดาดฟ้าเรือก็สังเกตเห็นเรือหลวงลำที่สวี่ชีอันอยู่เช่นกัน หลังจากเห็นว่าบนดาดฟ้าเรือมีคนสวมเครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่สองสามคน พวกเจ้าหน้าที่ก็ตื่นตระหนกกันอย่างเห็นได้ชัด แล้วถอยหลังโดยไม่รู้ตัว
จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว ยังคงมีท่าทีเหมือนเดิม ทว่าไม่ได้มองมาทางนี้เลยแม้แต่นิด
…หลังมองเห็นพวกเราก็ลืมตัวตื่นตระหนกขึ้นมาเลย นี่เป็นท่าทีของคนร้อนตัว…แม้ว่าจะเปลี่ยนท่าทีได้ และยังนับว่าวางตัวสงบเสงี่ยม แต่ท่าทางที่มองตรงไปข้างหน้าไม่เอนเอียงเบี่ยงหัวกลับยิ่งแสดงอาการร้อนตัวชัดเจน…เป็นเพราะกลัวหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปเองตามสัญชาตญาณหรือไง
นักสืบเก่าอย่างสวี่ชีอันเกิดสงสัย
ปฏิกิริยาของเหล่าเจ้าหน้าที่บนเรือหลวงฝั่งตรงข้าม เป็นปฏิกิริยาของคนร้อนตัวแบบตรงเป๊ะกับที่เขารู้มาตอนเรียนจิตวิทยาที่สุด
เพื่อความปลอดภัย ขอยืนยันสักหน่อย
สวี่ชีอันยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อ เคาะด้านหลังกระจกหยกใบเล็กเบาๆ แล้วหยิบ ‘หนังสือเวทมนตร์’ ของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อออกมา แล้วฉีกหน้าที่บันทึกวิชามองปราณ
ตอนนี้ใน ‘หนังสือเวทมนตร์’ มีวิชามองปราณมากที่สุด วันนั้นที่คุมตัวนายกององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์โจวชื่อสวงเข้าเมืองหลวง สวี่ชีอันก็ยังหน้าด้านขอวิชาเวทมนตร์จากจางเซิ่นอีก เพื่อนำมาเสริมในหนังสือเวทมนตร์ที่ค่อยๆ ถูกใช้หมดไป
ตอนนั้นฉู่ไฉ่เวยก็อยู่ด้วย…จึงกลายเป็นการถ่ายทอดทักษะครั้งใหญ่
ส่วนที่ว่าทำไมถึงมีแต่วิชามองปราณ ก็เพราะวิชานี้เรียบง่าย จำง่าย
‘ชี่…’
ขณะเผาหน้าหนังสือ ก้นบึ้งในดวงตาของสวี่ชีอันก็สาดประกายสว่างออกมา แล้วจ้องมองเรือหลวงตรงหน้า
เขามองเห็นแสงสีเลือดแดงสดเหนียวหนืด
ในคำจำกัดความของวิชามองปราณ หลังจากฆาตกรฆ่าคนเสร็จแล้วจะแปดเปื้อนแสงสีเลือดไปพักหนึ่ง
……………………………………….
[1] ฉากจากอนิเมะเรื่อง “Re:Zero” บทพูดของตัวร้ายที่มีชื่อว่าเพเทลกิอุส โรมาเนคอนติ