ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 199 หมายเลขสี่ ‘ข้าวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของหมายเลขสามได้แล้ว’
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 199 หมายเลขสี่ ‘ข้าวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของหมายเลขสามได้แล้ว’
บทที่ 199 หมายเลขสี่ ‘ข้าวิเคราะห์ตัวตนที่แท้จริงของหมายเลขสามได้แล้ว’
‘สอง: วันนี้คณะผู้ตรวจการเดินทางมาถึงอวิ๋นโจว ข้าจึงอยากรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเจียงลวี่จง ทั้ง ‘ความตั้งใจ’ นิสัย และพวกจุดอ่อนต่างๆ ของเขา’
หมายความว่าอย่างไร…สวี่ชีอันตกตะลึง หมายเลขสองเห็นเหล่าเจียงเป็นศัตรูในจินตนาการไปแล้วหรือ ไม่สิ เป็นศัตรูอย่างแท้จริงเลยต่างหาก ดังนั้นจึงเริ่มเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อเตรียมตัวต่อสู้อย่างนั้นหรือ
ยังไม่ต้องคิดถึงขั้นว่าข้ากับเหล่าเจียงมีมิตรภาพไม่เลวต่อกันหรอก ต่อให้ไม่มีมิตรภาพใดๆ ข้าก็ไม่อาจบอกจุดอ่อนของเขาได้ ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ในคณะผู้ตรวจการเช่นกัน
‘สาม: ขออภัย ข้าไม่อาจเปิดเผยข้อมูลใดๆ ของคณะผู้ตรวจการให้เจ้าได้’
หลังจากสวี่ชีอันตอบกลับ ความคิดของเขาก็วุ่นวาย นึกเชื่อมโยงสิ่งมากมายอยู่ในหัว หมายเลขสองเก็บข้อมูลของเจียงลวี่จง เห็นได้ชัดว่าเป็นการเตรียมการเพื่อที่อนาคตอาจจะเกิดความขัดแย้งขึ้น
นี่เป็นการตัดสินใจของหมายเลขสองเองหรือว่าหยางชวนหนานเป็นคนสนับสนุนกันนะ
ถ้าหากเป็นอย่างหลังก็หมายความว่าหยางชวนหนานมีแนวโน้มว่าจะดำเนินการขั้นรุนแรงเมื่อเกิดเรื่องขึ้นสินะ
หมายเลขสองไร้วาจาจะกล่าวทันที กลุ่มสนทนาตกอยู่ในความนิ่งชะงัก
ท่ามกลางบรรยากาศชะงักงันและกระอักกระอ่วน หมายเลขสี่ผู้เป็นอดีตปัญญาชนและปัจจุบันเป็นมือกระบี่ก็โผล่หน้ามา
‘หมายเลขสอง หยางชวนหนานต้องสงสัยว่าคบคิดกับกองโจรและลักลอบส่งเสบียงทหาร แบบนี้ก็เท่ากับการก่อกบฏแล้ว ทั้งหมายเลขสามยังเป็นปัญญาชน จะช่วยคนชั่วช้าทำความชั่วได้อย่างไร ปัญญาชนอย่างพวกเรา ยึดถือผิดชอบชั่วดี ตัวเล็กคุณธรรมยิ่งใหญ่ จิตใจกระจ่างชัดเจน’
ถูกต้อง ปัญญาชนอย่างพวกเราต้องมีปณิธานอันแรงกล้าแบบนี้…สวี่ชีอันพยักหน้าแข็งขัน เห็นด้วยอย่างยิ่ง
‘สอง: ขออภัย ข้าเสียมารยาทไป ข้าไม่ได้คิดจะทำเรื่องเลวร้ายกับคณะผู้ตรวจการหรอก’
‘สาม: แต่ตอนที่เจ้าถามคำถามนี้ก็เหมือนเตรียมพร้อมที่จะรบเชียว อืม หมายเลขสอง ข้ารู้ว่าเจ้ามีอคติฝังลึกกับราชสำนัก แต่เวลาทำการใดเจ้าใช้อารมณ์มากเกินไป หยางชวนหนานถูกใส่ร้ายหรือไม่ ต้องสืบดูจึงจะรู้’
‘ห้า: ใช่แล้ว ข้าก็รู้สึกว่าหมายเลขสองสุดโต่งเกินไป ฟังจากที่พวกเจ้าคุยกันเมื่อครู่ คณะผู้ตรวจการเพิ่งจะไปถึงอวิ๋นโจวเอง คนเขายังไม่ทันเริ่มสืบ เจ้าก็คิดจะต่อยตีกับเขาเสียแล้ว’
‘…หมายเลขห้า เจ้านี่แหละที่ไม่มีสิทธิ์พูดมากที่สุด!’ ทุกคนพร่ำบ่นในใจ
หมายเลขสองไม่ได้พูดต่อ ราวกับโมโหขึ้นมาแล้ว เพราะสมาชิกพรรคฟ้าดินล้วนต่อต้านไม่สนับสนุนนาง แม้แต่หมายเลขสามที่นางรู้สึกดีด้วยมาตลอดก็ยังมีท่าทีชัดเจน
จนถึงตอนนี้ สวี่ชีอันแทบจะยืนยันได้เลยว่าทหารหญิงผู้นั้นก็คือหมายเลขสอง ในหัวจึงฉายภาพใบหน้ารูปเมล็ดแตงที่องอาจและงดงามของอีกฝ่ายขึ้นมา
เขาถอนหายใจแล้วส่งข้อความ ‘เจียงลวี่จงเป็นฆ้องทองคำระดับสี่ เชี่ยวชาญหมัดมวย ส่วนเรื่องนิสัยก็ไม่ได้มีจุดเด่นอะไรมากนัก ดังนั้นจึงไม่มีข้อบกพร่องที่เห็นได้ชัด’
ข้อมูลเหล่านี้ล้วนอยู่ในระดับตื้นๆ ไม่ใช่เรื่องลับอะไร
นิสัยก็ไม่มีข้อบกพร่องมากมายอะไรจริงๆ นั่นล่ะ ในบรรดาฆ้องทองคำที่สวี่ชีอันรู้จัก หนานกงเชี่ยนโหรวมีบุคลิกคล้ายสตรี หยางเยี่ยนมีใบหน้าเป็นอัมพาต จางไคไท่ที่หยิ่งผยองเฉียบคม…เทียบกับคนเหล่านี้แล้ว นิสัยของเจียงลวี่จงดูกลางๆ ที่สุด แล้วยังไม่ค่อยมีจุดเด่นชัดเจนอะไรนัก
แต่ก็หมายความว่าเขาไม่มีจุดอ่อนข้อใหญ่ใดๆ ด้วย
‘สอง: ขอบคุณมาก วางใจเถอะ ข้าไม่กระทำการบุ่มบ่ามแน่นอน และจะไม่ทำร้ายคณะผู้ตรวจการโดยไม่มีเหตุผลด้วย อืม…ข้ายังมีคำถามอีกหนึ่งเรื่อง ข้าอยากรู้เรื่องคนที่ชื่อสวี่ชีอัน หมายเลขสาม เจ้าก็เคยพูดถึงคนผู้นี้นี่นา’
แม้แต่ข้าเจ้าก็อยากสืบความอย่างนั้นหรือ เจ้าอยากจะเล่นกับข้าใช่ไหม สวี่ชีอันระวังตัวขึ้นมาฉับพลัน จึงไม่ได้ตอบกลับในทันที
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปฏิเสธ หมายเลขหนึ่งที่แอบดูอยู่เงียบๆ กลับปรากฏตัวขึ้นมา ‘ข้าสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับคนผู้นี้ให้แก่เจ้าได้ แต่เจ้าต้องใช้ของที่มีค่าเท่ากันมาแลกเปลี่ยน’
จู่ๆ ก็โดนแทงข้างหลังเสียอย่างนั้น…
ไม่สิ เจ้าจะเอาข้อมูลของข้าไปขายก็ต้องขออนุญาตข้าก่อนไม่ใช่หรือ ข้าอนุญาตหรือยัง เจ้าเอาไปขายอย่างโจ่งแจ้งเกินไปแล้ว…นิ้วชี้ของสวี่ชีอันแตะที่หน้ากระจก แต่ก็ดึงกลับมา
ทำอย่างไรดี จะขัดขวางอย่างไรดี
ถ้าขัดขวางหมายเลขหนึ่ง เขา (นาง) จะยอมรับหรือไม่ หมายเลขหนึ่งชอบแอบดูข้อความ ทำตัวค่อนข้างลึกลับ แม้ว่าจะจำกัดขอบเขตได้คร่าวๆ แล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีคนที่เป็นไปได้อยู่มากมาย
และในบรรดาคนเหล่านี้ ไม่มีสักคนที่เขาสามารถรับมือได้
อีกอย่างจะขัดขวางด้วยเหตุผลใดได้ เรื่องของสวี่ชีอันกับเรื่องของข้าหมายเลขสามไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย หมายเลขสามอย่างข้ามีสิทธิ์อะไรไปขัดขวางล่ะ
นอกเสียจากจะเปิดเผยตัวตน แต่ว่า…ก่อนหน้านี้ข้ากล่าวชมฆ้องทองแดงสวี่ชีอันไปขนาดนั้น ตอนนี้กลับถูกบีบให้เปิดเผยตัว…คงได้อับอายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนีแน่ อยู่ต่อไปไม่ได้แล้วด้วย
หลังจากครุ่นคิดดู สวี่ชีอันก็ตัดสินใจจะรอดูสถานการณ์ต่อไปแทน ดูก่อนว่าหมายเลขหนึ่งจะพูดอย่างไร แล้วดูอีกทีว่าท่าทีของหมายเลขสองเป็นอย่างไร
ถ้าหากหมายเลขสองแค่อยากจะทำความเข้าใจคร่าวๆ หรือหมายเลขหนึ่งเพียงเปิดเผยข้อมูลตื้นๆ ออกมา เช่นนั้นเขาก็ไม่ต้องสนใจ
‘สอง: เจ้าต้องการอะไร’
‘หนึ่ง: เจ้าติดเอาไว้ก่อนได้’
‘สอง: ไม่มีปัญหา โปรดกล่าวมาเถิด ข้าจะประเมินราคาตามข้อมูลที่เจ้าเปิดเผยมาให้เอง’
‘หนึ่ง: สวี่ชีอันผู้นี้ เดิมทีเป็นมือปราบคนหนึ่งของที่ว่าการอำเภอฉางเล่อในอำเภอฟู่กัวของเมืองหลวง นิสัยอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่มีอะไรพิเศษ จนกระทั่งเมื่อสามเดือนก่อน อาของเขาไม่ทันระวัง ทำเงินภาษีหายไประหว่างทางคุ้มกันแล้วถูกตัดสินให้ตัดหัว ฝ่าบาททรงพิโรธไม่หาย จึงเอาผิดตระกูลสวี่สามชั่วโคตรให้เนรเทศไปอยู่ชายแดน แต่ใครเล่าจะคิดว่าในวันที่สามหลังจากเกิดคดีเงินภาษี คดีนี้ก็คลี่คลายแล้ว สวี่ชีอันจึงถูกปล่อยตัวพ้นความผิด’
ได้ยินมาถึงตรงนี้ หมายเลขห้าจอมป่าเถื่อนจากหนานเจียงก็อดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ‘โชคดีจัง’
นางเพิ่งจะพูดจบก็เจอหมายเลขหนึ่งแย้งขึ้นมา ‘ไม่เลย เขาเป็นคนไขคดีเงินภาษีด้วยตัวเอง ตัวเขาอยู่ในคุก แต่ไขคดีเงินภาษีที่ทำให้ที่ว่าการเมือง สำนักโหราจารย์ และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องปวดหัวได้โดยอาศัยแค่สำนวนความเท่านั้น’
‘อัจฉริยะ’ …ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในใจของสมาชิกทุกคนในพรรคฟ้าดินพร้อมกัน
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ มิน่าเขาถึงสามารถนั่งอยู่ข้างผู้ตรวจการจางได้ มิน่าเขาถึงสามารถจับพิรุธเรื่องผีผาไร้เมล็ดได้ทันที…แม้ว่าคนผู้นี้จะเป็นบุรุษเจ้าสำราญ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขามีความสามารถในการไขคดีที่ยอดเยี่ยมมาก…และเขามาเพื่อสืบเรื่องของหยางชวนหนาน มาเพื่อสืบเรื่องการตายของสายลับจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลในอวิ๋นโจว
หมายเลขสองพลันนึกขึ้นได้
‘สอง: เข้าใจแล้ว ขอบคุณสำหรับคำตอบ’
‘หนึ่ง: อืม เจ้าคิดว่าความสามารถของเขามีแค่นี้หรือ’
‘หมายความว่าอย่างไร ฆ้องทองแดงที่ชื่อสวี่ชีอันผู้นี้ยังมีวีรกรรมอื่นอีกหรือ’ ทุกคนในพรรคฟ้าดินตื่นตัวขึ้นมา รออยู่พักหนึ่งก็เห็นข้อความของหมายเลขหนึ่ง
‘ช่วงก่อนหน้านี้หมายเลขสามเอ่ยถึงคดีซังผอไม่หยุด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้รับผิดชอบคดีนี้คือใคร ก็คือคนผู้นี้อย่างไรเล่า ก่อนที่จะเกิดคดีซังผอ สวี่ชีอันได้เข้าร่วมการยึดทรัพย์ขุนนางต้องโทษด้วย เนื่องจากไม่พอใจที่ผู้บังคับบัญชาหยามเกียรติญาติของขุนนางต้องโทษ จึงโมโหแล้วฟันฆ้องเงินจนเกือบตายคาที่ จากนั้นจึงต้องโทษจำคุกและถูกตัดสินให้ตัดเอว’
หมายเลขสี่และหมายเลขห้ารู้สึกนับถือขึ้นมาทันใด
ดวงตาของหมายเลขสองสว่างไสว ทันใดนั้นก็เกิดความรู้ดีๆ ขึ้นกับฆ้องทองแดงชื่อสวี่ชีอันผู้นี้ นี่คือการยกย่องคุณธรรมของเขา
จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินผู้หาญกล้าเลื่อมใสจอมยุทธ์ในยุทธภพที่เมื่อเห็นความไม่เป็นธรรมก็ออกโรงช่วยเหลือเช่นนี้เป็นที่สุด แม้ว่าสวี่ชีอันผู้นี้จะเป็นเขี้ยวเล็บของราชสำนัก แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าของเขาเลย
หมายเลขหนึ่งเอ่ยต่อ ‘เนื่องจากความสามารถในการสืบคดีของเขาโดดเด่น หลังจากเกิดคดีซังผอขึ้น ฝ่าบาทก็มีพระกระแสรับสั่งให้เขาทำคดีนี้ อนุญาตให้ทำผลงานชดเชยความผิด’
‘คนผู้นี้ฉลาดมีไหวพริบ ขณะที่สืบคดีอยู่นั้น เขาก็คลี่คลายคดีการหายตัวไปของท่านหญิงผิงหยางได้พร้อมกัน เรื่องนี้พวกเจ้าก็รู้ หมายเลขสามเคยบอกไว้แล้ว แต่คดีซังผอกลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง หมายเลขสอง ถ้าหากเจ้าไม่ได้พบนายกององครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่ชื่อโจวชื่อสวงคนนั้น สวี่ชีอันก็ยากจะหลุดพ้นจากโทษประหารตัดเอว ที่กล่าวเช่นนี้แปลว่าความจริงแล้วเจ้ามีบุญคุณต่อเขานะ’
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็จำเป็นต้องออกหน้ากล่าวอะไรบ้าง ‘ใช่แล้ว แต่เขาไม่รู้ถึงการมีอยู่ของเจ้า จึงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของข้าเท่านั้น’
ขายขี้หน้านัก…
จากนั้นหมายเลขหนึ่งก็พูดอธิบายเรื่องที่สวี่ชีอันพบเบาะแสวงในที่เกี่ยวกับการสมรู้ร่วมคิดของพรรคฉีกับสำนักพ่อมดเพื่อสนับสนุนกองโจรในอวิ๋นโจว
‘การตรวจการครั้งนี้จึงเกิดขึ้นได้เพราะตัวเขานั่นเอง’…ในใจของหมายเลขสองซับซ้อนเหลือจะกล่าว
เมื่อฟังถึงตรงนี้ นางก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องได้พอสมควรแล้ว และรู้ว่าฆ้องทองแดงผู้นั้นที่ได้พบในงานเลี้ยงตอนเย็นเก่งกาจกว่าที่ตนคาดเอาไว้เสียอีก
เขาเป็นคนเก่งกาจมากความสามารถที่ไม่อาจละเลยได้เลย
‘หนึ่ง: นอกจากนี้ สวี่ชีอันยังเชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุและมีความสัมพันธ์อันดีกับโหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์ ก่อนที่เขาจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาเคยถูกขังอยู่ในคุกของกรมอาญาเพราะคุณชายของรองเจ้ากรมโจวต้องการแก้แค้น แต่โหรชุดขาวของสำนักโหราจารย์กับปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่มาช่วยเอาไว้ เขาจึงออกจากกรมอาญาได้อย่างปลอดภัยไร้ปัญหา’
‘มีความสัมพันธ์อันดีกับโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ด้วย’ …หมายเลขสองนึกถึงดาบพกอันมีเอกลักษณ์เล่มนั้นของสวี่ชีอันแล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย การคาดเดาของตนได้รับการยืนยันแล้ว
‘สี่: เดี๋ยวนะ ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ออกโรงช่วยเหลือหรือ’
ปฏิกิริยาของหมายเลขสี่ว่องไวเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย มีความรู้สึกอันตรายเหมือนว่าอีกไม่นานตนถูกคนแล่เนื้อเถือหนังออกมา
หมายเลขหนึ่งเคยตรวจสอบข้า…เรื่องนี้เข้าใจได้ ถึงอย่างไรช่วงที่ข้าอยู่ในเมืองหลวง ข้าก็เคยมีชื่อเสียงเพราะคดีซังผอกับคดีเงินภาษีจริงๆ ทั้งยังกลายเป็นเป้าหมายที่เหล่าขุนนางในเมืองหลวงให้ความสนใจอีกด้วย…แต่สิ่งที่หมายเลขหนึ่งรู้เกี่ยวกับข้าล้วนเป็นเรื่องหลังจากเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งนั้น
นึกถึงตรงนี้ จิตใจของสวี่ชีอันก็สั่นไหว ลองเอ่ยถามว่า ‘คุณชายของรองเจ้ากรมโจวแก้แค้นหรือ อืม ถ้าจำไม่ผิดล่ะก็ ผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังคดีเงินภาษีก็คือรองเจ้ากรมโจวนี่เอง เพียงแต่สวี่ชีอันมีดวงมากจริงๆ เพราะคุณชายโจวไปแย่งชิงอนุตระกูลจาง จึงถูกชำระบัญชีเอาได้’
เพราะสำนักอวิ๋นลู่ลอบแทรกซึมสายลับเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ดังนั้นการที่เขารู้ความจริงเบื้องหลังของคดีเงินภาษีได้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
สิ่งที่สวี่ชีอันอยากจะตรวจสอบก็คือ หมายเลขหนึ่งรู้เรื่องที่ตนกล่าวหาโจวลี่หรือไม่
สิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ หมายเลขหนึ่งไม่ตอบ ราวกับยอมรับเรื่องที่ว่า ‘สวี่ชีอัน’ โชคดีมากไปแล้ว
‘หนึ่ง: สาเหตุที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่ช่วยเหลือเขานั้นมีอยู่สองประการ หนึ่งคือคนผู้นี้เคยเขียนกลอนบทหนึ่งแล้วมอบให้แก่ฆราวาสจื่อหยาง สองคือญาติผู้น้องของเขาเป็นนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ และสอบได้ตำแหน่งจวี่เหริน’
ญาติผู้น้องของสวี่ชีอันคือนักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ และยังสอบได้เป็นจวี่เหรินอีก
สวี่ชีอันจำเป็นต้องรับทำคดีซังผอเพื่อทำผลงานชดเชยความผิด และในช่วงเวลานั้น หมายเลขสามก็สนใจเรื่องคดีซังผออย่างยิ่ง…สุดท้ายก็ใช้เงินร้อยตำลึงอย่างไม่เสียดายเพื่อให้หมายเลขสองคุมตัวโจวชื่อสวงส่งมายังเมืองหลวงแล้วมอบให้กับสำนักอวิ๋นลู่…หมายเลขสามกับสวี่ชีอันมีความสัมพันธ์อะไรกันนะ…แล้วเขามีความสัมพันธ์กับญาติผู้น้องคนนั้นอย่างไร
หมายเลขสี่ตื่นตัวขึ้นมา รู้สึกว่าตนได้ค้นพบจุดสำคัญเข้าให้แล้ว เขาตื่นเต้นกับการค้นพบครั้งนี้มาก จึงใช้สมองเริ่มคิดเชื่อมโยงเรื่องอื่นๆ
‘ช่วงคดีซังผอตอนแรกๆ มีปราณกระบี่ผันผวน หมายเลขสามก็ได้รับข้อมูลเป็นคนแรกได้อย่างรวดเร็ว…ยามทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเฝ้ายามอยู่ใกล้ๆ กับทะเลสาบซังผอ…และสำนักอวิ๋นลู่ก็ส่งคนแทรกซึมเข้าไปในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ถ้าหากสายลับผู้นี้เป็นคนในครอบครัวของนักเรียนในสำนัก เช่นนั้นก็สามารถรับประกันความน่าเชื่อถือได้…’
‘รู้แล้ว หมายเลขสามก็คือญาติผู้น้องคนนั้น ญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน!’
หมายเลขสี่หัวเราะบ้าคลั่งอย่างควบคุมไม่อยู่ เมื่อเป็นแบบนี้ พอถึงเวลาที่เขาจะไปเมืองหลวงในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ต้องงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว เขาสามารถตรงไปหาหมายเลขสามโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนได้เลย
ซึ่งก็คือญาติผู้น้องคนนั้นนั่นเอง!
…………………………………..