ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 201-2 เฮ้อ ผู้หญิง
บทที่ 201-2 เฮ้อ ผู้หญิง
…
ทั้งสี่เดินวนไปวนมาอยู่ในเมืองไป๋ตี้ เพลิดเพลินกับความเป็นอยู่ของผู้คนในท้องถิ่นและลิ้มรสอาหารอร่อยมากมาย
หญิงสาวบอกว่าตนชื่อซูซู มาจากครอบครัวพ่อค้า บิดาเป็นพ่อค้าขายผ้าไหม จึงสามารถสวมชุดกระโปรงงดงามเช่นนี้ได้
นางเห็นคุณชายทั้งสามดูเป็นอัจฉริยะ หน้าตาไม่สามัญ ในใจจึงเกิดความเลื่อมใสและคิดอยากจะสร้างสัมพันธ์ด้วยอย่างไม่อาจหักห้ามใจ
จะสร้างสัมพันธ์หรือจะสร้างอะไร…เจ้าต้องพูดให้ชัดเจนนะ…สวี่ชีอันค่อนแขวะในใจ จุดสำคัญก็คือ ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวกลับเชื่อถือคำพูดเลื่อนเปื้อนเช่นนี้เสียอย่างนั้น เชื่อเข้าไปได้อย่างไรกัน…
อืม จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ พวกเขาถูกลดสติปัญญาลงแล้ว
ในห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง ซ่งถิงเฟิงผลักขนมไปไว้ตรงหน้าซูซูแล้วเอ่ยอย่างเอาอกเอาใจ “แม่นางซูซู เหตุใดไม่กินบ้างล่ะ”
“ข้าน้อยไม่หิวเจ้าค่ะ”
“แม่นางซูซู เหตุใดไม่ดื่มชาล่ะ”
“ข้าน้อยไม่หิวเจ้าค่ะ”
กลัวว่าดื่มน้ำลงไปแล้วจะไหลออกมาล่ะสิ…สวี่ชีอันยกถ้วยชาขึ้นแล้วเอ่ยยิ้มๆ “แม่นางซูซู เข้ามาโรงน้ำชาแต่ไม่ดื่มชา นี่เป็นเพราะดูถูกพวกเราสามคนหรือ”
ซูซูรีบทำท่าทางราวตนไม่ได้รับความยุติธรรม “เหตุใดคุณชายกล่าวเช่นนี้เจ้าคะ”
“หนิงเยี่ยน แม่นางซูซูไม่อยากดื่ม เจ้าก็อย่าไปบีบบังคับคนเขาสิ” จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงรีบตำหนิเพื่อนร่วมงานแล้วออกหน้าให้นางในหัวใจทันที
มารดามันเถอะ พวกเจ้าสองคนคงลืมไปแล้วว่าตัวเองแซ่อะไร…หัวข้างล่างเข้ามาแทนที่หัวข้างบนเสียแล้วสิ… สวี่ชีอันละทิ้งความคิดที่จะใช้น้ำมาทำให้มนุษย์กระดาษเปียกไปทันที
ซูซูเม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยถามหยั่งเชิง “ฟังจากสำเนียงแล้ว คุณชายทั้งหลายคงไม่ใช่คนท้องที่ของเมืองอวิ๋นโจวกระมัง”
ซ่งถิงเฟิงเชิดคางขึ้น น้ำเสียงภาคภูมิใจ “พวกเรามาจากเมืองหลวง”
ซูซูร้อง ‘โอ้โฮ’ ออกมาแล้วรีบปิดปาก เอ่ยแสดงความนับถือระคนประหลาดใจ “คุณชายทั้งสามเป็นคนจากเมืองหลวงนี่เอง ข้าน้อยได้ยินว่าเมืองจิงจ้าวนั้นเป็นเมืองที่ดีที่สุดในใต้หล้า ผู้คนโดดเด่น สถานที่ยอดเยี่ยม ในใจเฝ้าฝันหามานานนักเจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันต้องยอมรับว่า เรื่องการยั่วยวนจิตใจชายนั้น ผีสาวผู้ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าตนนี้นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เขาเคยพบเห็นมา แม้แต่ฝูเซียงก็ยังด้อยกว่า
นางสามารถแตะต้องจุดกระตุ้นภายในใจชายได้เสมอ
นี่ต่างหากที่เป็นการล่อลวงของจริง…ยั่วยวนแบบชั้นต่ำจะใช้ร่างกายเป็นเหยื่อล่อ แต่การทำให้ถึงจุดสุดยอดในห้วงความคิดต่างหากจึงจะเป็นแก่นแท้ของการยั่วยวน
จูกว่างเสี้ยวกล่าวเสริมอย่างโอ้อวด “พวกเราเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล…แม่นางซูซูเคยได้ยินชื่อหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลหรือไม่”
ซูซูส่ายหน้าอย่างตั้งใจฟัง พร้อมกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาใสซื่อ
ซ่งถิงเฟิงแย่งหัวข้อไปพูด เขาเอ่ยชื่นชมยกยอที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หลังจากได้รับสายตาเคารพเลื่อมใสจากแม่นางซูซูแล้ว เขาก็ค่อยๆ ยืดอกได้อย่างมั่นคง
ซูซูเอ่ยชี้นำหัวข้ออย่างไม่กระโตกกระตาก “เช่นนั้นคุณชายทั้งสาม…อ๊ะ ไม่สิ ใต้เท้าทั้งสาม ท่านตามผู้ตรวจการมาทำสิ่งใดที่อวิ๋นโจวหรือเจ้าคะ”
“ย่อมต้องมาสืบคดี”
“สืบคดีอะไรหรือเจ้าค่ะ”
ซ่งถิงเฟิงกำลังจะตอบก็ถูกสวี่ชีอันเตะเข้าที่ใต้โต๊ะ จึงได้สติคืนกลับมานิดหน่อยแล้วกล่าวอย่างลำบากใจ “แม่นางซูซู เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับของราชสำนัก ไม่อาจแพร่งพรายได้”
ซูซูแย้มยิ้ม “ข้าน้อยช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเอาเสียเลย”
การยอมรับผิดช่างเป็นความใจกว้างอย่างยิ่ง ไม่มีความเสแสร้งแม้แต่นิด และนั่นก็ทำให้ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวยิ่งชื่นชอบเข้าไปใหญ่
‘จิตใจของสามคนนี้ยังคงแข็งแกร่ง ข้าต้องเพิ่มพลังให้มากกว่านี้ถึงจะอยู่หมัด หากวันนี้ไม่อาจเก็บข้อมูลอันมีประโยชน์ไปได้ อาจถูกนายท่านโกรธเข้า ครั้นนายท่านโกรธก็จะไม่มอบผู้ชายให้ข้า…จิตใจของเจ้าสวี่ชีอันผู้นี้แข็งแกร่งที่สุด แม้ว่าจะแอบมองเรือนร่างของข้าเป็นบางครั้ง แต่สมองของเขายังคงแจ่มชัด…อืม นายท่านกำชับว่าให้ข้ายั่วยวนเขา ส่วนอีกสองคนให้ทำเมินไป…’
ผีสาวตนนี้เริ่มหางโผล่แล้ว ไม่ได้การ ถิงเฟิงกับกว่างเสี้ยวใกล้จะควบคุมไว้ไม่ไหวแล้ว ข้าต้องรีบลงมือโดยเร็ว…
สวี่ชีอันและซูซูที่ต่างก็มีเลศนัยหันหน้ามายิ้มให้กัน สวี่ชีอันก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอตัวไปปลดทุกข์ก่อนนะ ถิงเฟิงกับกว่างเสี้ยวอยู่กับแม่นางซูซูไปก่อนแล้วกัน”
‘ครืด…ปัง’
…ประตูห้องส่วนตัวเปิดออก จากนั้นก็ปิดลง
ภายในห้องเหลืออยู่เพียงสามคน ซ่งถิงเฟิงเอ่ย “แม่นางซูซู…”
ซูซูที่อยู่ตรงข้ามเผยอริมฝีปากแดงสด แล้วพ่นไอหยินลวงตาที่เหมือนไม่มีอยู่จริงออกไปปะทะใบหน้าของคนทั้งสอง
แววตาของพวกเขาพลันเลื่อนลอยทันที ราวกับเป็นหุ่นกระบอก
ในภาพมายา ซ่งถิงเฟิงก็เห็นจูกว่างเสี้ยวเดินออกไปแล้วเช่นกัน ในห้องจึงเหลือเพียงเขากับซูซู ตอนนี้เอง แม่นางซูซูก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วบรรจงถอดกระโปรง
ชุดกระโปรงและเสื้อตัวเล็กตัวน้อยทั้งหลายถูกถอดออกทีละชิ้น…
“มะ แม่นางซูซูอย่าทำเช่นนี้ ข้ามิใช่คนแบบนั้น”
“แม่นางซูซู พวกเราไปที่เสากันเถอะ…”
ภาพมายาแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นกับจูกว่างเสี้ยวด้วย แต่เขาไม่ได้ทำเช่นเดียวกันกับซ่งถิงเฟิง ในฐานะที่เป็นคนเอาจริงเอาจังกว่า เขาจึงให้แม่นางซูซูนั่งลงที่โต๊ะ…
…
‘ชี่!’
พลังปราณลุกไหม้แผ่นกระดาษ สวี่ชีอันโยนเถ้ากระดาษลงไปในขวดเหล้า รอพักหนึ่งกระดาษก็เผาไหม้จนหมด ควันสีเขียวลอยเอื่อยออกมาจากปากขวด อักขระมนตร์สลับซับซ้อนปรากฏขึ้นบนผิวขวดเหล้าที่สร้างจากเครื่องเคลือบหยาบๆ
นี่คือยันต์ผนึกวิญญาณของลัทธิเต๋า ใช้สำหรับจับผีโดยเฉพาะ
เมื่อใช้ยันต์ชนิดนี้ ก็จำเป็นต้องหาของบางอย่างมาเป็นภาชนะ ไม่ว่าจะเป็นแก้ว ขวด ถุง เหยือก ไห ล้วนใช้ได้ทั้งสิ้น จากนั้นค่อยชี้ปากขวดไปยังวิญญาณร้าย ยันต์ก็จะแสดงผลออกมา
เขาซ่อนขวดเอาไว้ในอกเสื้อแล้วกุมแหวนปานจื่อไว้กลางฝ่ามือ จากนั้นก้าวยาวๆ กลับเข้าไปในห้อง
เพิ่งมาถึงหน้าประตู เขาก็ได้ยินเสียงลมหายใจหนักหน่วงของบุรุษสองเสียง ทำให้สวี่ชีอันใจดิ่งวูบและคิดโยงไปถึงเรื่องไม่ดีไม่งามขึ้นมา
ข้าประเมินผีสาวตนนี้ต่ำเกินไป
ซูซูที่อยู่ในห้องคล้ายได้ยินเสียงฝีเท้า จึงตะโกนเสียงดัง “คุณชายสวี่หรือเจ้าคะ คุณชายทั้งสองไม่รู้ว่าเป็นอะไร จู่ๆ ก็บ้าคลั่งขึ้นมา ท่านรีบไปดูเถิดเจ้าค่ะ…”
สวี่ชีอันระแวดระวังตัว พลาง ‘รีบร้อน’ เปิดประตูห้องอย่างเชื่อฟัง
ในห้องส่วนตัว ซ่งถิงเฟิงกำลังกอดเสาต้นหนึ่งแล้วพุ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่ง ส่วนจูกว่างเสี้ยวจับขอบโต๊ะด้วยมือสองข้าง พร้อมออกแรงขยับโยกบั้นเอว
“…” สวี่ชีอันตกตะลึง
ทันใดนั้นเอง ซูซูที่ลอบซุ่มอยู่ข้างประตูก็ฉวยโอกาสดังกล่าว พ่นไอหยินใส่เขา
สวี่ชีอันสติเลือนรางไปชั่วขณะ แต่ก็ฟื้นกลับคืนมาได้ในพริบตา แหวนปานจื่อที่กลางฝ่ามือยังคงแผ่พลังอบอุ่นต่อไป
เขาร่วมมือโดยแสร้งทำท่าทางนัยน์ตาเลื่อนลอย เหมือนกับว่าตนตกอยู่ในภวังค์
‘ปัง…’ ประตูห้องถูกปิดเบาๆ ได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วดังอยู่ข้างหู
แม่นางซูซูผู้นั้นเดินวนอยู่ในห้องอย่างเนิบนาบรอบหนึ่ง แล้วหัวเราะคิกคักพลางกล่าวว่า “เฮ้อ ผู้ชาย!”
นางนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวแล้วไขว้ขาขึ้นมา เปลี่ยนจากหญิงสาวอ่อนโยนงดงามเปี่ยมเสน่ห์ไปเป็นราชินีผู้สูงส่งเย็นชา
นางไม่สนใจฆ้องทองแดงสองคนที่กำลังตกอยู่ในความวาบหวาม แต่มองไปยังสวี่ชีอันแล้วเลิกคิ้วพร้อมหลิ่วตาเล็กน้อย “ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า ให้ตอบมาตามตรง”
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยแววตาเหม่อลอย เหมือนกับหุ่นของเล่นที่ถูกคนชักใยอยู่เบื้องหลังอย่างเชื่อฟัง
ซูซูนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “โจวหมินเป็นสายลับของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลใช่หรือไม่”
“ใช่”
‘…จากนี้เขาจะบอกทุกอย่างให้นายท่านทราบ!’ ซูซูพยักหน้าเล็กน้อยไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไป นางวกเข้าเรื่อง “บอกข้อมูลทุกอย่างที่เจ้ารู้ให้ข้าฟังทั้งหมด”
ฆ้องทองแดงที่อยู่ตรงข้ามกล่าวด้วยแววตาเลื่อนลอย “ฝันไปเถอะ!”
อะไรกัน?
ซูซูตกตะลึง จากนั้นนางก็เห็นฆ้องทองแดงนามว่าสวี่ชีอันคว้าขวดเหล้าออกมาจากอกเสื้อด้วยท่าทีสงบนิ่ง แล้วเปิดฝาขวด ก่อนชี้ปากขวดมาทางนาง
“ดูด!”
ทุกขั้นตอน เขาล้วนทำท่าทางไร้จิตวิญญาณและมีสายตาเลื่อนลอยอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาคลำขวดเหล้าออกมา ซูซูจึงเพิ่งตระหนักว่ามีสิ่งผิดปกติ
หลังจากนั้น แรงดึงดูดมหาศาลก็แผ่เข้าปกคลุมนาง ก่อนดึงร่างวิญญาณของนางเข้าไปในขวด
“เฮ้อ ผู้หญิง!”
แววตาของสวี่ชีอันเป็นประกาย เขาฟื้นกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง รอยยิ้มน้อยๆ ประดับอยู่บนใบหน้า
………………………………………