ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 203 ควันหลงจากอักษรจารึก
บทที่ 203 ควันหลงจากอักษรจารึก
ไม่ถึงสองเดือน?
เหล่าฆ้องทองคำสบตากันอย่างเงียบๆ แอบคาดเดาความหมายที่แฝงอยู่เบื้องหลังของประโยค ‘ไม่ถึงสองเดือน!’ ดังกล่าว
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการจำกัดเวลาหรือมาตราส่วนเวลา
ทว่า ‘ไม่ถึงสองเดือน’ หมายความว่าอย่างไร? สมแล้วที่เป็นเรื่องสำคัญมาก
เหล่าฆ้องทองคำต่างส่งสัญญาณผ่านสายตายุให้อีกฝ่ายไปถาม ทว่ารู้ดีว่าตอนนี้เว่ยกงกำลังเดือดดาล จึงไม่มีผู้ใดอยากหาเหาใส่หัว หากเป็นเรื่องแย่ถึงขีดสุด พวกเขาจะไม่กลายเป็นที่ระบายให้เว่ยกงพอดีหรือ?
เอกสารส่งไปถึงด่านชายแดน เช่นนั้นก็สบายแล้ว…
เว่ยเยวียนนึกถึงช่วงเวลาการฝึกวรยุทธ์ของตนในตอนนั้น เขาซึ่งแม้จะถูกท่านโหราจารย์ยกย่องว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ ที่หวังว่าจะก้าวสู่ขั้นหนึ่งมากที่สุดในรอบห้าร้อยปีของต้าฟ่ง ตอนนั้นใช้เวลาถึงสามเดือนครึ่งจึงจะไต่จากระดับหลอมปราณไปสู่ระดับหลอมวิญญาณ
สวี่ชีอันที่ไม่ถึงสองเดือนก็บรรลุวีรกรรมอันเกรียงไกรนี้ได้ พรสวรรค์แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก ก่อนหน้านี้เว่ยเยวียนชื่นชมสวี่ชีอัน ชื่นชมในภาวะจิต
ภาวะจิตก็เป็นอีกหนึ่งอย่างของพรสวรรค์
ส่วนความเร็วในการฝึกของสวี่ชีอัน ก่อนหน้านี้เว่ยเยวียนเคยได้ยินว่าเขาเติมเต็มพลังปราณไปที่ตันเถียนกลาง[1] จึงมองสวี่ชีอันด้วยสายตาแปลกใจ
คิดอยู่ว่าปลายฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เจ้าเด็กนี้ก็คงจะเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมวิญญาณได้ในไม่ช้า เลื่อนขั้นสู่อีกระดับในห้าเดือน พรสวรรค์นี้เป็นระดับของฆ้องทองคำ
ประกอบกับภาวะจิตที่เหมาะจะเดินบนระบบทหารโดยธรรมชาติของเขา บางทีในอนาคตอาจจะกลายเป็นอ๋องสยบแดนเหนือคนที่สอง…นักรบขั้นสาม
ผู้ใดจะคิดว่าพรสวรรค์ของสวี่ชีอันจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่เขาคาดไว้
สิ่งสำคัญที่สุดคือสวี่ชีอันทำเรื่องที่เรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วประเทศได้อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ระดับหลอมปราณตระหนักรู้เชิงคู่
สิงโตคำรามสำนักพุทธเป็นเคล็ดวิชา ทว่าต้องจับคู่กับบันทึกภาพตระหนักรู้ บันทึกภาพมิอาจเทียบเคียงกับภาพตระหนักรู้ที่แท้จริง อย่างไรเสียภาพสิงโตทองคำรามก็เป็นเพียงตัวช่วยของเคล็ดวิชา ‘สิงโตคำราม’
จัดอยู่ในองค์ประกอบสมบูรณ์ของเคล็ดวิชา
แต่ถึงกระนั้นสวี่ชีอันก็ตระหนักรู้เชิงคู่ในระดับหลอมปราณได้สำเร็จ ยังคงเรียกได้ว่าสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งประเทศ
เว่ยเยวียนผู้มีความรู้ห้าเล่มเกวียน[2]ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ นึกถึงความเป็นไปได้สามประการออกอย่างรวดเร็ว
ประการแรก หนึ่งร่างสองวิญญาณ
มีบันทึกมากมายที่เมืองพุทธดินแดนตะวันตก หลังจากภิกษุสมณศักดิ์สูงที่บรรลุเต๋านั่งฌานละสังขาร จะฟื้นคืนชีพในร่างของเด็กคนหนึ่ง ไม่เพียงหลงเหลือความทรงจำครบถ้วน ยังชำนาญหลักพุทธศาสนาเองโดยธรรมชาติ
นี่เป็นเพราะเศษวิญญาณของภิกษุสมณศักดิ์สูงผสานรวมกับเด็กที่เพิ่งถือกำเนิด จิตเดิมประเภทนี้แกร่งกล้ากว่าคนธรรมดาตั้งแต่กำเนิด มีส่วนที่น่าอัศจรรย์มากมาย จึงบรรลุการตระหนักรู้เชิงคู่ได้ภายในเวลาอันสั้น เพราะอันที่จริงจิตเดิมของพวกเขาไม่ได้เล็กเลย
ประการที่สอง บุคคลที่มีมหาโชคชะตาในตัว
บุคคลประเภทนี้พบได้ยากยิ่ง หากเป็นผู้ที่มีมหาโชคชะตาล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เลื่องชื่อลือนามในพื้นที่ เช่นผู้นำเต๋าแห่งลัทธิเต๋า ท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์ พ่อมดแห่งสำนักพ่อมดเป็นต้น
ประการที่สาม ผู้อาวุโสเหนือปุถุชนช่วยเบิกเนตร
บุคคลประเภทนี้ไม่ต้องกล่าวอะไรมาก บุตรแห่งสวรรค์ แตกต่างจากคนธรรมดาตั้งแต่กำเนิด
“อะแฮ่ม…” หนานกงเชี่ยนโหรวกระแอม
เขาเป็นตัวแทนที่ถูกเหล่าฆ้องทองคำผลักออกมา หยางเยี่ยนไม่อยู่ ลูกบุญธรรมของเว่ยกงที่อยู่ตรงนี้ก็มีเพียงเขา ดูเหมือนว่าเว่ยกงจะทำใจขับไล่ลูกบุญธรรมไปด่านชายแดนไม่ลง
“พ่อบุญธรรม ต้องการให้ลูกรับใช้สิ่งใด” หนานกงเชี่ยนโหรวกัดฟันเอ่ย
เว่ยเยวียนชำเลืองมองเขา ปิดพระราชสาส์น รินน้ำชาให้ตนเอง พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “ไม่มีอะไรมาก แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
เรื่องเล็กน้อย? เมื่อครู่เจ้าเกือบห้ามอารมณ์ตนไม่อยู่…เหล่าฆ้องทองคำพูดแขวะอยู่ในใจ
จากนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นอารมณ์ของเว่ยเยวียนแปรเปลี่ยนไป แม้จะยังคงแสร้งทำตัวเป็นเมฆบางล่องลอยตามสายลม[3] ทว่าความใจเย็นก่อนพายุฝนจะมาถึงเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเป็นแสงแดดอันอบอุ่นพร้อมสายลมแผ่วเบาพัดโชย
ดูท่าว่าสิ่งที่เขียนบนจดหมายลับจะเป็นข่าวดี…เขียนไว้ว่าอะไรกันนะ? หนานกงเชี่ยนโหรวเอ่ยถามอย่างแปลกใจ “ท่านพ่อบุญธรรม จดหมายเขียนไว้ว่าอย่างไรหรือ”
เว่ยเยวียนยิ้มออกมาจากใจจริง “สวี่ชีอันปะทะกับระดับหลอมวิญญาณ จดหมายนี้เจียงลวี่จงส่งกลับมาจากเขตแดนอวิ๋นโจว ตอนนี้น่าจะบรรลุเลื่อนขั้นเป็นระดับหลอมวิญญาณแล้ว”
เรื่องของการตระหนักรู้เชิงคู่ เว่ยเยวียนไม่ได้เปิดเผยออกไป
เป็นไปไม่ได้…หนานกงเชี่ยนโหรวเกือบจะตะโกนออกมา
สวี่ชีอันเพิ่งจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็ดึงความสนใจจากพ่อบุญธรรมในระหว่างการทดสอบด่านถามใจได้สำเร็จ ในขณะนั้นเขากับหยางเยี่ยนก็อยู่ข้างกาย
กล่าวได้ว่าหนานกงเชี่ยนโหรวเห็นการเติบโตของสวี่ชีอันตลอดเส้นทาง กระจ่างแจ้งถึงรากเหง้าของเขาเป็นที่สุด
ยามที่คนผู้นี้กลายเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ยังคงเป็นจุดสูงสุดของระดับหลอมจิต สำหรับหนานกงเชี่ยนโหรว แค่เป่า ‘ฟู่’ ทีเดียวก็คร่าชีวิตน้อยๆ นี้ได้แล้ว
แม้ท่านพ่อบุญธรรมเคยกล่าวไว้ว่าศักยภาพของเจ้านี่มีมากยิ่ง หนานกงเชี่ยนโหรวก็เห็นด้วย แต่เขายังคงมิอาจยอมรับได้
ไม่ถึงสองเดือน จากระดับหลอมจิตขั้นเก้า กลายเป็นระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ด แตะถึงระดับต่ำสุดของฆ้องเงินได้แล้ว
‘หากหยางเยี่ยนอยู่ตรงนี้ จะต้องยิ้มปากฉีกถึงรูหูแน่…’ หนานกงเชี่ยนโหรวคิดด้วยความอิจฉา
จางไคไท่ที่ยังมีเจตนาดาบรัดกุมรู้สึกอิจฉาตาร้อนเช่นเดียวกัน เมื่อก่อนเขาเคยคิดอยากดึงตัวสวี่ชีอันไปอยู่ใต้บังคับบัญชา วิธีการเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว ‘เงินและประเวณี’
การหักหน้าของฆ้องทองคำก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
“พรสวรรค์ของสวี่ชีอันผู้นี้ยอดเยี่ยมเช่นนี้เลยหรือ หลังจากนี้เกรงว่าที่ทำการปกครองของพวกเราจะต้องมีฆ้องทองคำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน”
“ยังดี ยังดีที่เขาไม่ได้ตัดเรื่องของสกุลจู”
ฆ้องทองคำที่อยู่ตรงนั้น หลังจากตกตะลึงก็ยากจะเก็บซ่อนความปลาบปลื้ม
หากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีนับรบขั้นสี่ปรากฏขึ้นอีก อิทธิพลและพลังทั้งมวลล้วนสูงขึ้นไปอีกขั้น
ทหารขั้นสูงพบได้ยากเพียงใด ขั้นสูงที่ชุบเลี้ยงด้วยอิทธิพลของตนนั้นหาได้ยากยิ่งกว่า
ที่อยู่ตรงนั้นนอกเสียจากคนขี้อิจฉาเช่นหนานกงเชี่ยนโหรว ฆ้องทองคำที่เหลือต่างถอนใจคร่ำครวญกับเรื่องนี้เสียส่วนใหญ่
นี่ก็เป็นประโยชน์ที่สร้างภาพลักษณ์ไว้ดี คนที่ยิ่งมีข้อจำกัดกลายเป็นนักรบระดับสูง จะทำให้ผู้คนยอมรับยิ่งกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลส่วนใหญ่
หากคนชั่วช้าอำมหิตเลื่อนเป็นขั้นสูง พวกเขาคงหวาดกลัวโดยที่ไม่รู้ตัว สวี่ชีอันไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ เขาทำร้ายผู้บังคับบัญชาเพื่อสาวน้อยที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้ คิดในอีกแง่หนึ่ง อันที่จริงสิ่งที่ปกป้องคงเป็นข้อจำกัดภายในใจเขา
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ท่านพ่อบุญธรรมคงรับเขาเป็นลูกบุญธรรมแน่…คนเก็บตัวเช่นหยางเยี่ยนคงไม่ใช้เล่ห์ชิงความโปรดปรานกับข้า สวี่ชีอันที่น่ารำคาญผู้นั้นช่างลื่นไหลนัก…หนานกงเชี่ยนโหรวคิดด้วยความอิจฉา
เว่ยเยวียนเห็นน้ำรั่วไหลตกอยู่ที่มุมตาก็โบกมือพร้อมเอ่ย “ถอยไป ข้าไม่อยากให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้อีก เชี่ยนโหรว ไปเตรียมม้าตามข้าเข้าวัง”
เหลืออีกครึ่งชั่วยามก็เป็นการประชุมราชการเล็กๆ
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่เข้าประชุมราชการช่วงเช้า เพราะชนกับเวลาที่เขานั่งสมาธิบรรลุธรรม เพียงเปิดการประชุมราชการเล็กๆ หนึ่งครั้งที่ห่างกันไม่กี่วัน ทว่าความถี่ไม่มากนัก
การประชุมราชการเล็กๆ ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อประมาณสี่วันที่แล้ว
…
ล้อรถเหยียบข้ามถนนสายหลักที่ปูด้วยแผ่นหินสีดำ หนานกงเชี่ยนโหรวออกแรงดึงบังเหียน แล้วรถม้าก็หยุดลงที่ประตูทางเข้าวัง
เขาหยิบตั่งตัวเล็กที่ห้อยอยู่ใต้ฐานรถลงมาเพื่อรับเว่ยเยวียนลงจากรถ หนานกงเชี่ยนโหรวส่งบังเหียนให้องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ที่รักษาเมือง แล้วตามแผ่นหลังของขันทีเสื้อดำผู้นั้นไป
ห้องทรงพระอักษร จักรพรรดิหยวนจิ่งที่พระเกศาดำเพราะเพิ่งขึ้นใหม่ นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองชั้นดี กวาดสายตามองเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ตรัสด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปะปนกับความรู้สึก
“พระราชสาส์นที่สำนักสมุหเทศาภิบาลอวี่โจวส่งกลับมา ข้าให้สำนักราชเลขาธิการคัดลอกชุดหนึ่งส่งไปถึงมือเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ข้าอยากรู้ความเห็นของพวกเจ้า”
เจ้ากรมการคลังก้าวออกมาจากแถวก่อนพร้อมเอ่ยด้วยเสียงอันดัง “กระหม่อมคิดว่า นี่เป็นเพียงกรณีตัวอย่างในอวี่โจว ในสำนักงานขนส่งแต่ละเมืองของต้าฟ่งที่จางสิงอิงกล่าวว่ามีสายสืบ ทั้งสิ้นล้วนเป็นคำพูดไร้มูลทั้งเพ”
ขุนนางใกล้ชิดกรมโยธาเอ่ยอย่างคล้อยตาม “คำพูดของจางสิงอิงขาดหลักฐาน ไม่น่าเชื่อถือ ต้องตรวจสอบสำนักงานขนส่งของอวี่โจวให้แน่ชัด”
มีขุนนางจำนวนมากออกมาสนับสนุนข้อเสนอด้วยท่าทางที่กระจ่างแจ้งว่า ‘ไม่ตรวจสอบสำนักงานขนส่ง’
คำว่า ‘ขนส่ง’ เป็นปัญหามาแต่อดีตกาล กลุ่มผลประโยชน์ที่พัวพันกับมันมหาศาลเกินไป ตั้งแต่เมืองหลวงถึงสถานที่ ราชสำนักเบื้องบนสู่ยุทธภพเบื้องล่าง ช่างสลับซ้อน คนที่เกี่ยวข้องในนั้นมีมหาศาลเหลือเกิน
จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรสมุหราชเลขาธิการของราชวงศ์ “ขุนนางหวังคิดเห็นอย่างไร”
ท่านสมุหราชเลขาธิการแสดงท่าทางคารวะ “กระหม่อมคิดว่าควรตรวจสอบการขนส่งของอวี่โจวให้แน่ชัด”
“เว่ยเยวียน เจ้ามีความเห็นอย่างไร” จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดพระเนตรขันทีชุดดำ
“กระหม่อมคิดเห็นเช่นเดียวกับท่านสมุหราชเลขาธิการ” เว่ยเยวียนตอบกลับ
เหล่าขุนนางถอนสายตาที่จ้องมองเว่ยเยวียนกลับมา
สมุหราชเลขาธิการหวังเอียงศีรษะและเหลือบมองเว่ยเยวียน ต่างรู้กันโดยไม่ต้องบอกกล่าวและเกิดความผิดหวังเล็กน้อย ช่วงเวลาสำคัญของเมืองหลวงนี้ ผู้ใดกล้าเสนอให้ตรวจสอบสำนักงานขนส่ง นั่นหมายถึงการตัดหนทางในแวดวงราชการของต้าฟ่ง
คู่ปรับทั้งสองคงไม่กระทำผิดต่ำช้าเช่นนั้น แต่ก็คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้กระทำผิด
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักหน้าด้วยแววตาลึกซึ้ง ไม่อาจล่วงรู้ได้ว่ารู้สึกอย่างไร ก่อนจะตรัสต่อไป
“พระราชสาส์นที่สมุหเทศาภิบาลชิงโจวส่งกลับมา หยางกงสร้างแผ่นจารึกเตือนใจที่ทำการปกครองหลักในชิงโจว อักษรจารึกเขียนไว้ว่า ‘เงินเดือนเหล่าท่าน หยาดเหงื่อปวงประชา ทารุณไพร่ฟ้าแสนง่าย ตบตาสวรรค์แสนยาก’ สำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจวคิดว่ากลอนนี้ดังก้องจนหูหนวก มีผลช่วยในการเตือนขุนนางทั้งหลาย เสนอราชสำนักให้เมืองต่างๆ สร้างแผ่นจารึกเตือนใจเลียนแบบ ขุนนางทั้งหลายคิดเห็นกันอย่างไร”
ในห้องทรงพระอักษร เหล่าท่านทั้งหลายก่อจลาจลขึ้น กระซิบกระซาบกันซ้ายขวาหน้าหลัง
“กลอนดี กลอนดีเสียจริง!” ขุนนางใกล้ชิดออกมาจากแถวอย่างฮึกเหิม ตะโกนเสียงดัง “กลอนบทนี้ประพันธ์ได้ยอดเยี่ยมดุจเทพเนรมิต เลิศล้ำเกินบรรยาย นี่สมกับเป็นบทกวีที่ต้าฟ่งของข้าพึงมี มิใช่ ‘กลิ่นหอมละมุนคลุ้งกลางจันทรายามสายัณห์’ หรือ ‘ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ กระหม่อมอารมณ์เดือดพล่าน วิงวอนฝ่าบาททรงบัญชาให้แต่ละเมืองเลียนแบบสร้างแผ่นจารึกเตือนใจในที่ทำการปกครองหลัก”
คำกราบทูลวิงวอนของขุนนางใกล้ชิดผู้นี้ได้รับความเห็นพ้องจากท่านทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์ ไม่พัวพันกับสงครามพรรคการเมือง เหล่าท่านทั้งหลายสุขใจขึ้นในทันใด กล้าที่จะพูดและแสดงความเห็นของแต่ละคน
ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นด้วย บ้างก็ไม่ปรารถนาเห็นหยางกงเรืองนาม อย่างไรเสียสมุหเทศาภิบาลชิงโจวผู้นี้ก็เป็นปัญญาชนของสำนักอวิ๋นลู่
ทว่าผู้คนอีกมากปรารถนาให้ราชสำนักทำเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้หลังปฏิบัติตามก็จะเป็นผลดีต่อภาพลักษณ์ของราชสำนักในใจผู้คนในใต้หล้า ทำคะแนนได้ดียิ่ง
นี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ปัญญาชนชื่นชอบชื่อเสียง
หลายปีมานี้ตั้งแต่ประชาชนจนถึงตระกูลขุนนาง ตั้งแต่สามัญชนจนถึงคหบดีชนบท เสียงด่าทอดังก้องหูไม่เคยขาด เรื่องที่สร้างแผ่นจารึกเตือนใจจะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงของราชสำนักได้บ้าง
สมุหราชเลขาธิการหวังก้าวออกมาจากแถว “กระหม่อมเสนอให้เลียนแบบสำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจว”
อันที่จริงจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงตั้งใจเช่นนี้ แม้เขาจะบำเพ็ญเซียน ทั้งยังไม่สนใจการเมืองและกิจการของราชสำนัก รวมถึงขูดรีดเงินไม่บันยะบันยัง ทว่าเขากลับคิดว่าตนเป็นจักรพรรดิที่ดี
“ชื่อของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หยางกงเป็นที่เลื่องลือ กลอนบทนี้ถือกำเนิดในระหว่างที่ข้าครองราชย์ ชื่อเสียงย่อมต้องจารึกในประวัติศาสตร์ให้โด่งดังชั่วนิรันดร์กาล ข้าไม่เพียงต้องการสร้างแผ่นจารึกเตือนใจในที่ทำการปกครองแต่ละเมือง ข้ายังต้องการเขียนด้วยตนเอง ใช้ลายมือของข้าไปฝนลอกรูป” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสด้วยรอยยิ้ม
“ปีนั้นหยางกงได้คะแนนสูงสุดในการสอบคัดเลือกข้าราชการ เป็นอัจฉริยบุคคลด้านบทกวีในขณะนั้น” สมุหราชเลขาธิการหวังก็ยิ้มตามด้วยเช่นกัน
เว่ยเยวียนทำตัวไม่ถูกอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน
‘เงินเดือนเหล่าท่าน หยาดเหงื่อปวงประชา ทารุณไพร่ฟ้าแสนง่าย ตบตาสวรรค์แสนยาก’…นี่เป็นกลอนที่สวี่ชีอันเขียนลงไปในด่านถามใจเมื่อตอนนั้นมิใช่หรือ
เหตุใดจึงกลายเป็นของหยางกงไปได้?
หรือจะบอกว่าเดิมเป็นกลอนของหยางกง สวี่ชีอันได้ฟังการบรรยายของสวี่ซินเหนียนญาติผู้น้องของเขางั้นหรือ
เว่ยเยวียนปฏิเสธการคาดเดานี้อย่างรวดเร็ว ในแง่พรสวรรค์ด้านการประพันธ์ หยางกงร้อยคนก็มิอาจเทียบเท่าสวี่ชีอันเพียงคนเดียว
กลอนดังกล่าวเพิ่งเป็นที่ประจักษ์เมื่อไม่นานมานี้ ขบวนผู้ตรวจการลงใต้ตลอดเส้นทางจำเป็นต้องผ่านชิงโจว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสวี่ชีอันกลับไปชิงโจว กลอนบทนี้ก็แพร่หลายมาตั้งแต่ชิงโจวแล้ว
เมื่อคิดได้เว่ยเยวียนก็คิ้วขมวด ในใจเกิดความสงสัย ‘สวี่ชีอันเป็นคนประพันธ์กลอนบทนี้ เหตุใดเมื่อครู่ฝ่าบาทจึงมองข้ามไป ทรงจงใจมองข้าม หรือสำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจวจงใจไม่เขียนชื่อของสวี่ชีอันกัน’
สำนักสมุหเทศาภิบาลชิงโจวส่งพระราชสาส์นกลับมาเมืองหลวง ตามปกติพระราชสาส์นประเภทนี้เจ้าพนักงานของที่ทำการปกครองจะเขียนแทน อย่างไรเสียสมุหเทศาภิบาลมิอาจลงมือทำด้วยตนเองได้…หรืออาจจะมีเจ้าพนักงานจงใจมองข้ามผู้ประพันธ์เดิมเพื่อประจบสมุหเทศาภิบาล…เมื่อถึงเวลาเพียงต้องกล่าวว่าเป็นความสะเพร่ายามเขียนพระราชสาส์นจึงจะขายผ้าเอาหน้ารอดไปได้
‘หากวันหนึ่งเรื่องราวคลี่คลายลง ชื่อเสียงของหยางกงแพร่สะพัดไปพร้อมกับกลอนนี้ เมื่อถึงเวลาแม้หยางกงจะอธิบายในภายหลัง ข่าวจะแพร่กระจายหรือไม่ก็เป็นอีกปัญหา ผลลัพธ์มีเท่าไรก็ยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหา ชื่อเสียงทางวรรณกรรมของสวี่ชีอัน ผู้ใดก็ชิงไปไม่ได้…โอ้อวดเสียเหลือเกิน ยังละอ่อนอยู่แท้ๆ’ เว่ยเยวียนทอดถอนใจอยู่ในใจ เดินออกจากแถวพร้อมเอ่ยเสียงดัง
“ฝ่าบาททรงพระกรุณา! ”
………………………………………………
[1] ตันเถียน หรือทุ่งพลัง ตันเถียนกลางอยู่บริเวณหัวใจ
[2] ความรู้ห้าเล่มเกวียน หมายถึง มีความรู้มาก
[3] เมฆบางล่องลอยตามสายลม หมายถึง ทำตัวสบายๆ เหมือนกับว่าเดี๋ยวเรื่องทุกอย่างก็จะผ่านพ้นไป