ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 205-1 สวี่ชีอัน ‘องค์หญิงคงใกล้จะได้รับข้อความอันคลุมเครือของข้าแล้ว’
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 205-1 สวี่ชีอัน ‘องค์หญิงคงใกล้จะได้รับข้อความอันคลุมเครือของข้าแล้ว’
บทที่ 205-1 สวี่ชีอัน ‘องค์หญิงคงใกล้จะได้รับข้อความอันคลุมเครือของข้าแล้ว’
หลังจากนั้น พวกเขาก็ค้นหาหนังสือจำนวนมากที่สามารถพบได้ทุกที่อีกครั้ง โดยใช้วิธีนี้ในการถอดรหัส แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวรู้สึกท้อใจเล็กน้อย ฝ่ายแรกหรี่ตาจนเป็นเส้นตรงพร้อมพูดว่า “หนิงเยี่ยน จู่ๆ เจ้าก็ไร้ไหวพริบขึ้นมาเสียอย่างนั้น”
เห็นได้ชัดว่า ความว่องไวในการคิดของสวี่ชีอันนั้นลดลงอย่างมาก ไม่เฉียบแหลมเหมือนก่อนหน้า
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้น เหม่อมองคานไม้ที่พาดทับไขว้กันไปมา แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “หลายวันก่อนที่เพื่อนของเจ้าไม่สบาย ก็รู้สึกไม่สดชื่นเช่นกันใช่หรือไม่?”
“หะ เหตุใดเจ้าพูดถึงเพื่อนของข้าอีกแล้ว…” ซ่งถิงเฟิงรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
“คิกๆ” สวี่ชีอันคิดในใจว่า ข้าไม่ได้นอนมาสิบสามวันแล้ว เจ้าหวังให้สมองของข้าหมุนเร็วแค่ไหน แม่นางซูซูไร้ประโยชน์นั่น แม้แต่ทำให้ชื่นใจยังไม่ได้ เลี้ยงนางไว้ต่อไปจะมีประโยชน์ใดกัน
ถึงอย่างนั้น ข้อดีของปีศาจสาวประเภทนี้ไม่ได้อยู่ที่เนื้อใน แต่อยู่ที่เปลือกนอก การเลี้ยงปีศาจสาวตนหนึ่งก็เท่ากับเลี้ยงปลาไว้บ่อหนึ่ง ชื่นใจผ่อนคลายกว่าการที่เขาเลี้ยงฮว๋ายชิ่ง หลินอัน ฝูเซียง ไฉ่เวยซึ่งเป็นตัวสำรองเหล่านี้ไว้ด้วยความยากลำบากยิ่งนัก ครั้นถึงเวลาสวี่ชีอันที่เป็นเจ้าของบ่อปลาก็ฉวยเอาฉมวก ถูกใจปลาตัวไหนก็แทงลงไปอย่างรวดเร็ว
“พักผ่อนเสียหน่อยคงดีกว่า” ซ่งถิงเฟิงเสนอความเห็น
“ให้ทหารประจำจุดพักเปลี่ยนม้านำของหวานเข้ามา” สวี่ชีอันพูด
วิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับความอ่อนล้าของสมองก็คือการบริโภคน้ำตาล น้ำตาลเป็นพลังงานเพียงอย่างเดียวที่สมองสามารถนำไปใช้ได้ คนส่วนใหญ่ชอบกินของหวาน ความจริงแล้วไม่ใช่เป็นเพราะของหวานอร่อยอย่างไร แต่เป็นเพราะสมองกระตุ้นให้ร่างกายอยากบริโภคน้ำตาล
เวลานี้สวี่ชีอันต้องการน้ำตาลเป็นอย่างมาก
ทหารประจำจุดพักเปลี่ยนม้าทำลำไยไข่หวาน ขนมปังลูกเกด และเต้าฮวยซิ่งเหริน[1]…รสหวานทั้งนั้น
สวี่ชีอันเลือกชามที่ดีที่สุด เขาเลือกลำไยไข่หวาน แล้วผลักเต้าฮวยซิ่งเหรินให้กับคนตาตี่ ซ่งถิงเฟิงดีใจขึ้นมาทันที
“หนิงเยี่ยน เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าชอบเต้าฮวยซิ่งเหริน”
เพราะดูก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนนอกรีต… สวี่ชีอันยิ้มแล้วกล่าวว่า “เพราะเราเป็นพี่น้องกันนี่นา เห็นเจ้าน้ำตานองหน้า ให้เจ้ากินเต้าฮวยซิ่งเหรินถือเป็นการปลอบใจเจ้า”
‘ใครกันที่น้ำตานองหน้า’ ซ่งถิงเฟิงเหลือกตา รู้ว่าเขากำลังพาดพิงถึงแม่นางซูซู
‘จะว่าไปแล้ว แม่นางซูซูนั้นยอดเยี่ยมมาก พบเห็นได้ยากยิ่ง เป็นหญิงสาวที่สามารถสู้รบกับข้าได้ถึงสามร้อยยก…’ ซ่งถิงเฟิงคิดถึงเรื่องความเคลิบเคลิ้มที่เกิดขึ้นในห้องส่วนตัวที่โรงน้ำชาในวันนี้ แม้จะผ่านมาสิบเกิงแล้ว[2]
‘เจ้าไม่มีวันเข้าใจหรอก เจ้ามันคนเสเพล ส่วนข้าไม่ใช่’ ซ่งถิงเฟิงส่ายหน้าแล้วพูดเยาะเย้ยว่า “เมื่อก่อนตอนที่เจ้าเพิ่งเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ข้าเคยแนะนำให้เจ้าแต่งงานกับหัวหน้ามือปราบหลี่ว์หลี่ว์ชิง แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยงไม่เห็นด้วย ไม่ทันไรก็ไปสานสัมพันธ์กับฝูเซียง ในตอนนั้นข้าก็รู้ได้ทันทีว่าเจ้าเองก็เป็นคนประเภทเดียวกัน หากหัวหน้ามือปราบหลี่ว์แต่งงานกับเจ้า คงเหมือนกับดอกไม้ที่ปักไว้บนมูลวัว”
ท่าทางสง่าผ่าเผยของหลี่ว์ชิงแวบเข้ามาในสมองของสวี่ชีอัน เขาพูดอย่างไม่สบอารมณ์ทันที “แม้ว่าหัวหน้ามือปราบหลี่ว์จะสวยสู้ฝูเซียงไม่ได้ แต่การที่เจ้าเปรียบนางเป็นมูลวัว เห็นทีคงพูดเกินไปหน่อยกระมัง”
“ข้าไม่ได้บอกว่านางเป็นมูลวัว ข้าหมายถึงเจ้าต่างหาก”
“แล้วดอกไม้ที่ปักไว้บนมูลวัวหมายความว่าอย่างไรกัน?”
“…”
หลังจากกินของหวานเสร็จแล้ว เนื่องจากนักสืบเลื่องชื่อสวี่หนิงเยี่ยนอาการไม่ค่อยดี ซ่งถิงเฟิงจึงอาสารับหน้าที่สำคัญในการอนุมาน เขากระแอมเล็กน้อย
“พวกเราลองเปลี่ยนแนวพิจารณาดู หากข้าเป็นโจวหมิน ข้าจะต้องซ่อนรหัสไว้ในที่ที่คณะผู้ตรวจการสามารถหาเจอได้ตลอดเวลา แต่ก็ต้องเป็นจุดที่ไม่ดึงดูดความสนใจของผู้คน”
“อืม” สวี่ชีอันพยักหน้า
“ที่พักของโจวหมินได้ทำการตรวจสอบแล้ว ไม่มีอะไรซ่อนเร้นหรือน่าสงสัย หนังสือเหล่านี้ที่เขาทิ้งไว้ เมื่อครู่พวกเราก็ตรวจสอบดูแล้ว” จูกว่างเสี้ยวกล่าว
ซ่งถิงเฟิงลูบคางพลางครุ่นคิด ‘…อาจไม่จำเป็นต้องเป็นหนังสือก็ได้? โจวหมินเป็นคนละเอียดรอบคอบ เรื่องที่คนอื่นคิดได้ เขาย่อมต้องคิดได้เช่นกัน’
“พวกเราลองเปลี่ยนแนวคิดดู มันอาจจะเป็นเล่มที่เขียนตัวอักษรไว้ แต่ไม่ใช่หนังสือ? หนิงเยี่ยน เจ้าคิดว่าแบบนี้เป็นไปได้หรือไม่”
“ดีมาก ถิงเฟิง ความเฉลียวฉลาดของเจ้าดึงดูดความสนใจของข้าได้สำเร็จ เจ้าเป็นอัจฉริยบุคคลคนหนึ่งที่ถูกผู้หญิงของสำนักสังคีตมองข้าม” สวี่ชีอันเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่ง ก่อนถามว่า “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าจะเป็นอะไร ไม่ใช่ทั้งหนังสือ ไม่ใช่ของที่โจวหมินทิ้งไว้ก่อนเสียชีวิต และยังต้องมีความหนามากพอสมควร…”
สวี่ชีอันชะงักทันที
“ปฏิทินดาราศาสตร์งั้นหรือ?!” ซ่งถิงเฟิงตะโกนขึ้นก่อนใคร
จูกว่างเสี้ยว ชายผู้ซื่อสัตย์ที่จดจ่ออยู่กับการงานตรงหน้า รีบค้นหาปฏิทินดาราศาสตร์ในบรรดาสิ่งของที่ผู้เสียชีวิตทิ้งไว้ “ใช่เล่มนี้หรือไม่?”
“เล่มนี้แหละ!” สวี่ชีอันถ่มสิ่งสกปรกในช่องอกออกมา แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
เป็นทั้งหนังสือและไม่ใช่หนังสือ ทั้งสะดุดตาและสามัญไม่มีอะไรแปลกประหลาด จากการประเมินและวิเคราะห์โจวหมินในช่วงเวลานี้ สวี่ชีอันมีความมั่นใจอย่างยิ่งว่านี่แหละคือแนวทางของโจวหมิน
ทั้งสามคนอดใจไม่ไหวที่จะเปิดปฏิทินดาราศาสตร์ออกดูทันที โดยเริ่มจากอักษรตัวแรก นับตามเบาะแสไปจนถึงอักษรตัวที่หนึ่งร้อยหกสิบสอง รื่อ!
‘รื่อ’ จากอี่เหม่ารื่อ[3]
ต่อมาคืออักษรตัวที่สามร้อยสี่สิบเจ็ด อักษรตัวที่สี่ อักษรตัวที่หนึ่ง อักษรตัวที่สอง
รวมกันเป็น โม่รื่อกวางติงอีอู่!
เห็นได้ชัดว่า นี่เป็นคำตอบที่ผิด
ต่อจากนั้น พวกเขาก็ใช้วิธีที่สอง โดยใช้หมายเลขหน้าแทนจำนวนตัวอักษร
หากใช้หมายเลขหน้า ถ้าเช่นนั้นตัวเลขแต่ละตัวจะต้องตรงกับวันใดวันหนึ่งในปฏิทิน รวมกันได้ดังนี้
โม่[4] วันที่หก เดือนสี่ วันที่สิบห้า เดือนหนึ่ง วันที่นี่สิบเก้า เดือนหนึ่ง วันที่ยี่สิบห้า เดือนหนึ่ง วันที่ยี่สิบหก เดือนหนึ่ง
“รื่อ ผิดอีกแล้ว.” สวี่ชีอันโยนปฏิทินดาราศาสตร์ทิ้ง แล้วด่าทอว่า “แนวความคิดนี้ไม่ถูกต้อง เริ่มต้นใหม่”
“บางทีเราอาจจะต้องไขปริศนาคำว่า ‘โม่’ ก่อน เพราะมันเป็นอักษรเพียงตัวเดียวที่อยู่หัวแถว” จูกว่างเสี้ยวเสนอความคิดของตัวเอง
ความหมายของหัวแถวสำคัญมาก
สวี่ชีอันคลึงคิ้ว “แล้วเจ้ามีแนวคิดอะไรหรือไม่”
จูกว่างเสี้ยวส่ายหน้า
สวี่ชีอันถามต่อไป “คำว่าโม่ คงไม่มีความหมายพิเศษในหน่วยงานของพวกเรากระมัง ”
ซ่งถิงเฟิงพึมพำเบาๆ “ใต้เท้าผู้ตรวจการและฆ้องทองคำเจียงเคยศึกษารหัสตั้งนานแล้ว ถ้าคำว่า ‘โม่’ หมายถึงบางอย่างในหน่วยงาน ใต้เท้าเจียงและใต้เท้าผู้ตรวจการน่าจะค้นพบได้”
“ใต้เท้าผู้ตรวจการจะค้นพบอะไรได้ เขาก็แค่ทายอักษรปริศนาเก่ง” สวี่ชีอันบุ้ยปาก แต่ในเวลาต่อมาเขากลับต้องตกตะลึง
เกิดรัศมีบางอย่างปะทุขึ้นมาในสมองที่แห้งขอดของเขา ราวกับแสงไฟที่แวบสว่างขึ้น
เขาจำได้ว่าตอนที่เขายังอยู่ในโรงเรียนตำรวจ ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งที่ศึกษาทางด้านจิตวิทยาอาชญากรเคยกล่าวไว้ว่า พฤติกรรมและความเคยชินของคนคนหนึ่งนั้นมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างแน่นแฟ้น
ขณะที่ทำการวิเคราะห์และบันทึกข้อมูลส่วนตัวของบุคคลเป้าหมาย จะต้องพยายามรวบรวมข้อมูลของอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุดก่อน เพื่อทำความเข้าใจความเคยชินของอีกฝ่าย
แม้ว่าอาชญากรจะเจ้าเล่ห์ขนาดไหน ก็ยังมีรูปแบบพฤติกรรมที่ดูออกอยู่ดี และนั่นคือความเคยชินของเขานั่นเอง
ถ้าอย่างนั้นความเคยชินของโจวหมินคืออะไร?
มันคืออักษรปริศนา!
หยางอิงอิงเคยบอกว่า โจวหมินชอบเล่นทายอักษรปริศนากับนางขณะดื่มเหล้า…ดังนั้น ในขณะที่โจวหมินกำลังคิดว่าจะซ่อนหลักฐานโดยทิ้งร่องรอยไว้อย่างไรดี เขาจะต้องขยับเข้าใกล้อักษรปริศนาตามความเคยชิน…หากอนุมานจากจุดนี้ ในรหัสทั้งสองชุดนั้น อักษรเพียงตัวเดียวก็คืออักษรปริศนาหนึ่งตัว ความคิดของสวี่ชีอันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวมองหน้ากัน ยังคงนิ่งเงียบอย่างรู้กัน ชั่วพริบตาเดียว สถานะของสวี่หนิงเยี่ยนก็กลับสู่สภาพเดิมอีกครั้ง ฉลาดเฉียบแหลมและมุ่งมั่นเหมือนครั้งที่สืบสวนคดีทะเลสาบซังผอ
อักษรโม่ เมื่อแยกออกจากกันก็คือคำว่าสีดำและสุนัข…สวี่ชีอันคลึงคิ้วอีกครั้งพร้อมกับถามว่า “ข้าจำได้ว่าเพื่อนร่วมงานที่ไปถนนหวงป๋อเคยบอกว่า ที่นั่นเป็นตลาดสุนัข?”
ซ่งถิงเฟิงส่งเสียง ‘อืม’ “เป็นตลาดสุนัขจริง มีอะไรรึ”
………………………………………………………
[1] ซิ่งเหริน อัลมอนด์
[2] 1 เกิง เท่ากับ 2 ชั่วโมงในปัจจุบัน
[3] อี่เหม่ารื่อ ชื่อเรียกวันในระบบคำนวนเวลาในสมัยโบราณ
[4] โม่ มีความหมายว่า เงียบ