ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 206 จดหมาย
บทที่ 206 จดหมาย
เมืองหลวง ณ พระราชวัง
องค์รัชทายาททรงจัดงานเลี้ยงพระญาติในตำหนักบูรพา หลินอันในฐานะพระขนิษฐาร่วมพระครรภ์ทรงเสด็จมาถึงนานแล้ว ทรงประทับอยู่ที่พระที่นั่งเก้าอี้ ทรงแกว่งพระบาทที่อยู่ใต้ฉลองพระองค์กระโปรง
วันนี้พระองค์ไม่ได้ทรงสวมใส่ฉลองพระองค์กระโปรงสีแดง แต่ทรงสวมฉลองพระองค์กระโปรงยาวสีม่วงกุ๊นทองสวยหรู พระเศียรทรงสวมมงกุฎทับทิมแดงปะการัง ใช้ปะการังเป็นโครง มีหงส์ทองเหมือนมีชีวิตสองตัวพยุงทับทิมที่อยู่ตรงกลาง ห้อยด้วยพู่ไข่มุกหกสาย
นอกจากนี้ ยังมีเครื่องประดับทั้งปิ่นที่มีพู่ห้อยและปิ่นหยกเป็นต้น ทรงแต่งพระองค์ประณีตงดงาม
สีม่วงเป็นวัสดุที่ใช้กันทั่วไปสำหรับนางสนมในวัง ช่วยขับให้สตรีดูสง่างามและสูงส่ง ไม่เหมาะกับสาวน้อย แต่เนื่องด้วยบุคลิกของหลินอันนั้นบอบบางเกินไป ทำให้ดูเหมือนตุ๊กตาที่ได้รับการแต่งตัวอย่างสวยหรู
ประกอบกับใบหน้ากลม ดวงตาโตมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล ทั้งยังมีเสน่ห์น่าเกรงขาม ดูเย่อหยิ่งทว่าไร้เดียงสาในคราวเดียว ถึงแม้หลากหลายบุคลิกผสมผสานกัน แต่สามารถควบคุมทุกอย่างได้ดีมาก
ยังมีเวลาครึ่งชั่วยามก่อนเสวยพระกระยาหารกลางวัน บรรดาพระราชโอรสและพระราชธิดาต่างทยอยมาถึงพระตำหนักบูรพา ทุกพระองค์ต่างทรงคุ้นเคยกับความวิจิตรงดงามของหลินอันมานานแล้ว
ในบรรดาองค์หญิงทั้งสี่พระองค์ น่าจะมีพระองค์เพียงพระองค์เดียวที่เหมาะกับการแต่งพระองค์แบบนี้ หากเป็นองค์หญิงพระองค์อื่น เกรงว่าจะควบคุมการแต่งพระองค์ที่สวยหรูเกินเหตุเช่นนี้ไม่ได้
พระสิริโฉมของฮว๋ายชิ่งนั้นทรงพระสิริโฉมมาก แต่บุคลิกลักษณะกลับไม่เหมาะสม
“ฮว๋ายชิ่งยังไม่มาอีกหรือเพคะ” แววพระเนตรเฉลียวฉลาดของหลินอันกลอกไปมา ทรงมองออกไปที่นอกพระทวารด้วยท่าทางงดงาม
“ทหารได้ถ่ายทอดคำพูดไปแล้ว พระองค์รับสั่งว่าอาจมาช้าหน่อย” องค์รัชทายาททรงตรัสพร้อมแย้มพระสรวล จากนั้นก็ทรงพระกาสะ
“วันนี้เป็นวันขายผงปรุงรสไก่ซึ่งเป็นสูตรลับของสำนักโหราจารย์ จึงได้มอบให้กับทางพระราชวังส่วนหนึ่ง ข้าจึงได้เชิญพระอนุชาและพระขนิษฐามาลองชิม”
ที่จริงเมื่อหลายวันก่อน สำนักโหราจารย์ได้ ‘ถวาย’ ผงปรุงรสไก่จำนวนหนึ่ง โดยส่งไปที่ห้องเครื่องในพระราชวัง พระราชโอรสและพระราชธิดาหลายพระองค์ต่างทรงเคยเสวยเครื่องปรุงรสที่อร่อยจนเลิกเสวยไม่ได้ชนิดนี้แล้ว
เมื่อพูดถึงประเด็นร้อนนี้ พระราชโอรสและพระราชธิดาต่างทรงปฏิสันถารกันด้วยความสนพระทัย
‘เมื่อพูดถึงผงปรุงรสไก่นี้ รสชาติทำให้หยุดกินไม่ได้จริงๆ เพียงแต่มักทำให้คอแห้ง’
“เมื่อวานนี้เสด็จพ่อยังทรงตรัสว่า ของสิ่งนี้กินมากไม่ได้ การกินอาหารรสจืดจึงเป็นวิธีการรักษาสุขภาพที่ดี”
ขณะที่ทรงตรัส พระราชโอรสหลายพระองค์ต่างก็ทรงบุ้ยพระโอษฐ์ ต่างไม่เห็นด้วยกับความคิดเรื่องการรักษาสุขภาพของจักรพรรดิหยวนจิ่งในทุกด้าน มีเพียงคนวัยกลางคนที่หมดหนทางเท่านั้น จึงคิดจะแช่เก๋ากี่ในแก้วน้ำอุ่น คนหนุ่มสาวจะรักษาสุขภาพไปทำไมกัน
หลินอันทรงทอดพระเนตรไปรอบๆ เชิดพระหนุกพลางถามขึ้น “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นผู้คิดค้นผงปรุงรสไก่”
เวลานี้ทรงเปลี่ยนเป็นยายตัวร้ายแล้ว เรียกร้องความสนใจ
คำถามนี้เหล่าพระราชโอรสและพระราชธิดาต่างไม่ทรงทราบจริงๆ ในพระราชวังมีคนที่รู้เรื่องนี้เพียงสามคน คือ องค์รัชทายาท ยายตัวร้าย และฮว๋ายชิ่ง ถ้าทั้งสามคนไม่พูดถึงเรื่องนี้ ก็คงไม่มีใครรู้
จากการซักถามของพี่น้องชายหญิง ยายตัวร้ายก็ทรงเชิดพระหนุกสูงขึ้นกว่าเดิม และกล่าวด้วยท่าทางงดงามว่า
“คือสวี่ชีอัน ผู้ใต้บังคับบัญชาของข้า”
พระองค์ทรงเน้นช่วงครึ่งหลังของประโยค
“สวี่ชีอัน?” องค์ชายสี่ทรงขมวดพระขนง “นั่นไม่ใช่คนของฮว๋ายชิ่งหรอกหรือ”
องค์ชายสี่เป็นพระเชษฐาร่วมพระครรภ์ของฮว๋ายชิ่ง
“เวลานี้เขากลายเป็นคนของข้าแล้ว เขาสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อข้า” ยายตัวร้ายโอ้อวดพฤติกรรมที่ตัวเองสามารถโค่นฮว๋ายชิ่งได้
เพราะในสายตาของพี่น้องทุกคน พระองค์ทรงถูกฮว๋ายชิ่งรังแกมาโดยตลอด ตอนนี้กว่าจะเอาคืนได้นั้นไม่ง่ายเลย พระองค์จึงทรงเก็บอาการไม่อยู่แล้ว สวี่ชีอันยิ่งเก่งเท่าไหร่ พระองค์ก็ยิ่งดีพระทัย เพราะยิ่งรู้สึกประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
พระราชโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์ต่างกลั้นไม่อยู่จึงทรงพระสรวลออกมา องค์ชายสี่ทรงแอบขมวดพระขนง และทรงไม่พอพระทัยใจอย่างมากกับพฤติกรรมโค่นพระขนิษฐาร่วมพระครรภ์ของพระองค์
ถึงกระนั้น แม้พระองค์จะทรงเป็นพระราชโอรสของฮองเฮา เดิมทีควรมีฐานะสูงสุด แต่ในที่สุดตำแหน่งองค์รัชทายาทได้ก็ถูกแต่งตั้งให้กับพระราชโอรสองค์โตซึ่งทรงพระประสูติโดยพระสนม ซึ่งก็คือองค์รัชทายาทคนปัจจุบัน พระเชษฐาร่วมพระครรภ์ของหลินอัน
ในเวลาเดียวกัน จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงปฏิบัติต่อพระราชโอรสและพระราชธิดาพระองค์อื่นอย่างเสมอภาคกัน แต่กลับทรงโปรดหลินอันเพียงคนเดียว และไม่ค่อยทรงโปรดฮว๋ายชิ่งเท่าไรนัก สิ่งนี้ทำให้องค์ชายสี่ทรงไม่มั่นใจมากยิ่งขึ้น
พระมารดาเคยตรัสว่า ฮว๋ายชิ่งแข็งแกร่ง ใช้อำนาจบาตรใหญ่ เหมือนเสด็จพ่อในวัยหนุ่มราวกับแกะ แต่มีความสามารถมากกว่าพระองค์มากนัก หากนางเป็นผู้ชาย เกรงว่าจะทำให้เสด็จพ่อทรงชิงชังมากกว่านี้
“สวี่ชีอันเป็นคนของใครกัน”
ในเวลานี้ น้ำเสียงเยือกเย็นทว่าน่าฟังของฮว๋ายชิ่งพลันดังมาจากนอกประตู พระราชธิดาพระองค์โตของจักรพรรดิทรงฉลองพระองค์กระโปรงสีเหลืองนวลเสด็จมาถึงแล้ว
พระราชโอรสและพระราชธิดาทุกพระองค์ทรงเห็นชัดเจนว่า ‘เสียงเอะอะโวยวาย’ ด้วยความกำเริบเสิบสานของหลินอันนั้นเงียบลงในทันใด ตอนแรกพระองค์ไม่ทรงยอมแพ้ในคราวเดียว ดูเหมือนต้องการจะแสดงท่าทีแข็งกร้าว ทว่ากลับอ่อนลงในเวลาอันรวดเร็ว ก่อนจะรวบรวมความกล้า แล้วทรงตรัสเสียงดัง “คนละครึ่ง!”
ทรงใช้น้ำเสียงกำเริบเสิบสาน เอื้อนเอ่ยคำพูดที่ขี้ขลาด
ฮว๋ายชิ่งเปล่งเสียง ‘หึ’ ในลำคอ
พระองค์รู้จักพฤติกรรมประจบสอพลอของสวี่ชีอันดี ทรงหลับตาข้างหนึ่งด้วยความอดกลั้น ที่สำคัญเป็นเพราะหลินอันเป็นพระขนิษฐาที่โง่เขลา ไม่เป็นภัยคุกคามแม้แต่น้อย การแย่งคนก็เพื่อต้องการให้พระองค์ขุ่นเคืองเท่านั้น
ถ้าเป็นพระราชโอรสพระองค์อื่น กล้ามาแย่งคนของพระองค์เช่นนี้ ฮว๋ายชิ่งจะต้องทรงตอบโต้อย่างแน่นอน และจะตอบโต้อย่างไม่ปรานีด้วย ไม่เหมือนกับที่ทรงปฏิบัติต่อหลินอันเช่นนี้ ที่แค่ข่มขวัญพระองค์เท่านั้น
ฮว๋ายชิ่งเดินไปตรงหน้าหลินอัน มองพระองค์ตั้งแต่พระเศียรจรดพระบาท แล้วทรงตรัสเบาๆ ว่า “หลีกไป ข้าจะนั่งตรงนี้”
ยายตัวร้ายเงยพระพักตร์ขึ้น เห็นแต่ดวงพระเนตรของฮว๋ายชิ่ง ไม่เห็นครึ่งล่างของพระพักตร์ของพระองค์ เพราะก้อนเนื้อหนักหลายชั่งที่น่ารังเกียจบนพระอุระของฮว๋ายชิ่งบดบังสายพระเนตรไว้
สิ่งนี้ทำให้พระองค์ท้อใจยิ่งนัก พระเชษฐภคินีพระองค์นี้ไม่เพียงแต่มีความสามารถมากกว่าพระองค์เท่านั้น แต่รูปร่างก็ยังดีกว่าด้วย นอกจากความโปรดปรานของเสด็จพ่อแล้ว พระองค์ไม่มีอะไรเทียบฮว๋ายชิ่งได้เลย
ยายตัวร้ายเป็นผู้หญิงที่บอบบาง ถูกฮว๋ายชิ่งรังแกแบบนี้ จึงเบือนหน้าหนีด้วยความน้อยใจ
ช่วยไม่ได้ สู้ก็สู้ไม่ได้ ทะเลาะวิวาทกันก็จะสูญเสียภาพลักษณ์ของพระราชธิดา ยิ่งกว่านั้นฮว๋ายชิ่งยังเป็นปัญญาชน ไม่พูดจาหยาบคาย ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพระองค์
องค์รัชทายาท ‘ทรงพระกาสะ’ ออกมาเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น “ฮว๋ายชิ่ง เจ้าอย่าได้ถกเถียงกับหลินอัน เจ้าเป็นพี่สาว”
ฮว๋ายชิ่งจึงยอมปล่อยยายตัวร้ายไป ไม่รังแกน้องสาว
…
ขณะเสวยพระกระยาหาร องค์รัชทายาททรงตรัสขึ้นว่า “ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับห้องทรงพระอักษรในวันนี้หรือไม่”
องค์ชายสี่ทรงตรัสทันทีว่า “ป้ายเตือนกับสำนักงานขนส่ง?”
องค์รัชทายาทพยักหน้าและตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องสำนักงานขนส่งพวกเราไม่จำเป็นต้องแทรกแซงแล้ว เพราะมีเหล่าขุนนางในราชสำนักและเสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เรื่องป้ายเตือน ทำให้ผู้คนชื่นชมกันยิ่งนัก”
องค์ชายสี่ทรงพยักพระพักตร์ “ทั้งอาหารทั้งเงินเดือน ความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน กดขี่ข่มเหงประชาชนนั้นง่าย แต่หลอกลวงสวรรค์นั้นยาก!”
“เป็นบทกวีที่ดี!” ดวงพระเนตรของฮว๋ายชิ่งเป็นประกาย พระพักตร์ที่งดงามของพระองค์เปล่งประกายเจิดจ้า
ที่ผ่านมาพระองค์เวลากินไม่พูดเวลานอนไม่เจรจามาโดยตลอด แต่สาระสำคัญที่แฝงไว้ในบทกวีนี้ ทำให้พระราชธิดาองค์โตพระทัยเต้นโครมคราม พระองค์ทรงโปรดปรานยิ่งกว่า ‘หลังเมามายเหตุไฉนท้องนภาลอยในธารา ดารณีเปี่ยมฝันหวานพาดทับหมู่ดารา’ เสียอีก
‘บทกวีไม่เอาไหน ไม่มีความคิดเอาเสียเลย…’ ยายตัวร้ายคิดในใจ
ฮว๋ายชิ่งจ้องพระพักตร์องค์ชายสี่แล้วทรงตรัสถามว่า “กวีบทนี้ใครเป็นคนเขียน” พระองค์ไม่เคยสนพระทัยข่าวคราวในพระราชวัง
องค์รัชทายาททรงตอบแทน “สวี่ชีอัน”
“เป็นบทกวีที่ดี!” พระหัตถ์น้อยๆ ทั้งสองของยายตัวร้ายตบโต๊ะดัง ‘ปังๆ’ พร้อมกับทรงชมเชยเสียงดัง
“นี่คือนิสัยของเขา” ฮว๋ายชิ่งทรงแย้มพระสรวล
“นี่คือนิสัยของเขา หมายความว่าอย่างไร พูดเหมือนเจ้ารู้จักนิสัยของเขาดีนักแหละ” ยายตัวร้ายพูดแย้งขึ้นตามความเคยชิน
เดิมทีฮว๋ายชิ่งไม่อยากสนใจ แต่เมื่อทรงเห็นพระราชโอรสหลายพระองค์ต่างมองมาที่พระองค์ จึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสว่า
“สวี่ชีอันคนนี้เกลียดชังความชั่วร้ายเหมือนเกลียดชังศัตรู ไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม สนใจแต่เรื่องความถูกต้อง แตกต่างจากเหล่าปัญญาชนที่ดีแต่พล่ามเรื่องคุณธรรม”
“เรื่องที่เขาจัดการกับฆ้องเงิน?” องค์รัชทายาทตรัสด้วยรอยยิ้ม
“วันก่อนมีโอกาสพูดคุยกับเว่ยกง ได้พูดถึงบุคคลผู้นี้” ฮว๋ายชิ่งกวาดพระเนตรมองบรรดาพระราชโอรส “เว่ยกงกล่าวว่า ตั้งแต่สวี่ชีอันเริ่มทำงาน ก็ไม่เคยยักยอกเงินแม้แต่น้อย”
“แล้วทำไมเจ้าจึงพูดว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องหยุมหยิม” ยายตัวร้ายรู้สึกว่าฮว๋ายชิ่งกำลังใส่ร้ายสุนัขตัวโปรดของพระองค์
พระองค์จ้องพระพักตร์ฮว๋ายชิ่งอย่างดุร้าย
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงตรัสว่า “สวี่ชีอันหมกมุ่นอยู่กับสำนักสังคีต ยามค่ำคืนไม่กลับบ้าน มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคณิกาฝูเซียงแห่งหออิ่งเหมย”
รอยแย้มพระสรวลบนพระพักตร์ของยายตัวร้ายค่อยๆ หายไป ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ตรัสด้วยเสียงอันดังว่า “เจ้าพูดจาเหลวไหล”
พระองค์ทรงพุ้ยข้าวสองสามคำโดยไม่พูดอะไรเลย ทรงรู้สึกว่าอาหารไม่อร่อยแม้สักนิด ดังนั้นจึงวางตะเกียบ แล้วทรงตรัสด้วยความกริ้วว่า “ไม่กินแล้ว”
ทรงลุกขึ้น ยกชายกระโปรง และทรงจากไปพร้อมกับนางข้าหลวงคนสนิท
…
หลินอันทรงกลับไปพร้อมความกริ้ว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการเสวยพระกระยาหารของทุกคน องค์รัชทายาททรงเก้อเขินเล็กน้อย ทรงยกแก้วนํ้าจัณฑ์ขึ้นด้วยรอยยิ้ม และปล่อยให้งานเลี้ยงดำเนินต่อไป
หลังงานเลี้ยงสิ้นสุดลง ฮว๋ายชิ่งเสด็จกลับไปที่พระราชอุทยาน ทรงดื่มพระสุธารสชาชามใหญ่หลายอึก จากนั้นจึงทรงฝึกลมหายใจในห้อง
เมื่อเร็วๆ นี้พระองค์ทรงเลื่อนขั้นสู่ระดับหลอมปราณ วันนั้นที่ ‘สนทนา’ กับเว่ยเยวียน ก็เพราะเรื่องนี้
ฮว๋ายชิ่งทรงพระปรีชา แต่ทรงสงวนภูมิ ไม่อวดเก่ง เมื่อพระชนม์มายุเพิ่มขึ้น พระองค์ทรงรู้สึกว่าสามารถเลื่อนขั้นการปฏิบัติของตนเองอย่างเหมาะสมได้
สิ่งสำคัญก็คือ ตลอดทั้งปีนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้ทรงเอ่ยถึงการเสกสมรสของบรรดาเจ้าหญิงเลย
เสด็จพ่อทรงบำเพ็ญเพียร เสด็จแม่นั้นยิ่งไม่ทรงสนพระทัยอะไรเลย หากจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ทรงเอ่ยถึง พระองค์ก็ทรงคร้านที่จะใส่ใจ…เสด็จแม่เป็นอย่างนี้เสมอ ทรงมีฐานะเป็นฮองเฮาที่เป็นพระมารดาของแผ่นดิน แต่กลับทรงไม่กระตือรือร้นกับภาระหน้าที่และฐานะของตัวเองแม้แต่น้อย
“ฝ่าบาท มีจดหมายจากพระตำหนัก ส่งมาจากชิงโจวพ่ะย่ะค่ะ” ทหารรักษาพระองค์รีบร้อนเข้ามา
พระตำหนัก หมายถึงพระตำหนักฮว๋ายชิ่งในเขตพระราชฐาน
จดหมายของเหล่าองค์หญิงและพระราชโอรส โดยปกติจะไม่สามารถเข้าไปในพระราชวังได้ แต่จะจัดส่งไปยังพระตำหนักของแต่ละพระองค์
‘ชิงโจว?’ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงคิดว่าฆราวาสจื่อหยางเป็นผู้เขียนจดหมายถึงพระองค์ จึงทรงพยักพระพักตร์แล้วตรัสว่า “เอามานี่”
ทหารรักษาพระองค์ถวายด้วยความเคารพ แล้วกลับออกไป
ฮว๋ายชิ่งทรงเปิดซองจดหมาย ประโยคแรกเขียนว่า ‘ตอนที่เขียนจดหมายฉบับนี้ กระหม่อมได้เดินทางมาถึงชายแดนของชิงโจวแล้ว…’
ฮว๋ายชิ่งรู้ทันที ว่าคนที่เขียนจดหมายคือสวี่ชีอัน จดหมายยาวมาก สองหน้ากระดาษเต็ม พระองค์ทรงตั้งใจอ่านต่อ ‘หลังจากเห็นคดีทุจริตที่สำนักงานขนส่งในอวี่โจว’ พระพักตร์ขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็เคร่งเครียดทันที
เมื่ออ่านต่อไป จู่ๆ ก็ไม่ค่อยเป็นการเป็นงานแล้ว เพราะเนื้อหาที่ตามมาไม่ใช่น้ำเสียงของการรายงานข่าวของผู้ใต้บังคับบัญชาต่อผู้บังคับบัญชา แต่เหมือนผู้ชายกำลังพูดในใจกับผู้หญิงที่เขาแอบชอบอยู่…
‘ดอกบัวเกิดแต่โคลนตมแต่ไม่สกปรก ผ่านการชำระล้างในน้ำที่ใสสะอาด แต่กลับดูไม่เย้ายวน ก้านข้างในกลวงด้านนอกตรง ไม่แตกกิ่งก้านไม่เลี้ยวลด ส่งกลิ่นหอมกรุ่นกำจาย ตั้งตระหง่านสะอาดอยู่ในน้ำ ผู้คนสามารถมองได้จากระยะไกลแต่ไม่สามารถสัมผัสใกล้ชิด…’
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งทรงพึมพำในใจซ้ำไปซ้ำมา ตกอยู่ในภวังค์ของสำนวนโวหารที่สวยงาม ภาพของดอกบัวที่บานสะพรั่งปรากฏขึ้นในสมองของพระองค์
“สวี่หนิงเยี่ยนไม่เรียนหนังสือ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ…” หลังจากพูดจบ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งก็ทรงเอียงซองจดหมาย มีกลีบบัวแห้งไหลออกมา
‘เจ้าหมอนี่เขียนจดหมายฉบับนี้ เพื่อแสดงความรักที่มีต่อข้า?’ องค์หญิงฮว๋ายชิ่งตกอยู่ในความคิดคำนึง “หากข้าส่งจดหมายต่อไปยังพระราชวัง ถึงเขามีสิบหัวก็ยังไม่พอตัด’
พระองค์พับซองจดหมาย แล้วสอดไว้ในหนังสือที่ตนไม่ค่อยได้อ่าน
หลังจากนั้นก็ทรงเรียกนางข้าหลวงมาฝนหมึกด้วยความใส่พระทัย ทรงจดวรรคทองในจดหมายที่บรรยายถึงดอกบัว แล้วแขวนไว้ในห้องทรงพระอักษร
เมื่อมองไปที่ตัวอักษรเหล่านี้ ฮว๋ายชิ่งก็ทรงกระตุกมุมปากเบาๆ
…
“พระองค์ทรงเป็นอะไรไป?”
“ไม่รู้ ตั้งแต่กลับมาจากพระตำหนักขององค์รัชทายาท ก็มีท่าทางกลุ้มอกกลุ้มใจตลอด”
“บางทีเขาอาจถูกองค์หญิงใหญ่รังแก…แต่ดูไม่เหมือนเสียทีเดียว หากถูกองค์หญิงใหญ่รังแก ป่านนี้พระองค์คงทรงบริภาษอย่างสาดเสียเทเสียแล้ว เมื่อทรงบริภาษเสร็จก็ไม่ทรงเก็บไว้ในพระทัยต่อไป”
ที่ลานพระตำหนัก นางข้าหลวงหลายคนรวมตัวพูดคุยกัน หลินอันเพิ่งทรงแสดงความกริ้วเสร็จ ในห้องพระบรรทมมีนางข้าหลวงคนสนิทเพียงสองคนคอยอยู่ถวายการรับใช้ คนอื่นๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยกลัวโชคร้าย
“ทำไมพระองค์ต้องทรงกริ้วองค์หญิงฮว๋ายชิ่งด้วยเพคะ…” นางข้าหลวงคนสนิทกล่าวเตือน
“ไม่ใช่นาง!” ยายตัวร้ายตรัสด้วยความกริ้ว “เจ้าสุนัขรับใช้ตัวนั้นต่างหาก”
นางข้าหลวงทั้งสองคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรู้ว่า ‘สุนัขรับใช้’ หมายถึงใคร และหนึ่งในนั้นยังเคยถูกสวี่ชีอันตบก้นด้วย
นางข้าหลวงมองหน้ากัน สีหน้าฉงน คิดในใจว่าสุนัขรับใช้ของพระองค์ได้เดินทางออกจากเมืองหลวงไปนานกว่าครึ่งเดือนแล้ว
“เขาจะยั่วโมโหพระองค์ได้อีกอย่างไร”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” พระพักตร์ของหลินอันดูกลัดกลุ้ม ‘รู้สึกไม่สบายพระทัยนั่นเอง’
“…”
ในเวลานี้ ทหารรักษาพระองค์มาที่ลานพระตำหนักและขอเข้าเฝ้าองค์หญิงหลินอัน นางข้าหลวงเห็นว่าเป็นทหารรักษาพระองค์ของตำหนัก จึงจำใจเคาะประตู
“พระองค์ ทหารรักษาพระองค์ของตำหนักขอเข้าเฝ้า บอกว่ามีจดหมายของพระองค์มาจากชิงโจวเพคะ”
‘จดหมายจากชิงโจว?’ หลินอันทรงตกตะลึง แวดวงสังคมของพระองค์เล็กมาก นอกจากพี่น้องในพระราชวัง พี่น้องในพระราชวงศ์ ก็ยังมีครอบครัวของบรรดาใต้เท้าทั้งหลายที่มีจดหมายมาถึงพระองค์ ทูลเชิญพระองค์ไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาส่วนตัวบ้างเป็นครั้งคราว แต่ในจำนวนนี้ไม่รวมถึงชิงโจว
“ใครเป็นคนส่งจดหมายมา” นางข้าหลวงถามแทน
“ไม่รู้” นางข้าหลวงที่อยู่ข้างนอกตอบ
นางข้าหลวงคนสนิทมองมาที่หลินอัน เมื่อเห็นพระองค์พยักพระพักตร์ นางก็หันหน้าไปและตะโกนว่า “นำเข้ามา”
…………………………………………………