ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 211 จับกุมนักโทษ
บทที่ 211 จับกุมนักโทษ
ถอดรหัสลับได้แล้วหรือ?!
ตอนนี้เอง ผู้ตรวจการจางแทบจะอยากแคะหูเพื่อยืนยันว่าในหูมีขี้หูอุดอยู่หรือไม่
ตามแผนการของใต้เท้าผู้ตรวจการ คดีของโจวหมินทั้งคลุมเครือและยากเย็น นอกจากรหัสลับก็ไม่มีเบาะแสอื่นอีก ทำให้สืบสวนยากเข้าไปใหญ่ ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะทำศึกในระยะยาว ถึงจะไม่สามารถกลับเมืองหลวงก่อนฤดูใบไม้ผลิได้ ก็ต้องสืบสวนคดีนี้ให้จบ
แต่คาดไม่ถึงว่าศึกระยะยาวยังไม่เริ่ม หลักฐานก็มาอยู่ในมือแล้ว ซึ่งหมายถึงคดีโจวหมินใกล้จะสิ้นสุดลง หมายความว่าการเดินทางมาอวิ๋นโจวใกล้จะจบลง และหมายความว่าหยางชวนหนานจบสิ้นแล้ว
ผู้ตรวจการจางสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาพินิจพิเคราะห์สวี่ชีอันซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับเพิ่งรู้จักเขาเป็นครั้งแรก
ต้องยอมรับว่าประเมินฆ้องทองแดงหนุ่มคนนี้ต่ำไป เพราะความชื่นชมของเว่ยกงและความสามารถที่สวี่ชีอันแสดงออกมา เขาจึงมอบความไว้วางใจอย่างสูงสุดให้ เวลานี้เขาเพิ่งจะพบว่าท้ายที่สุดเขาก็ยังไม่เข้าใจอีกฝ่ายดีพอ
เด็กคนนี้ต้องกลายเป็นคนที่มากความสามารถอย่างแน่นอน
หลังจากหามรุ่งหามค่ำทำผลงานเป็นเวลาประมาณสิบห้าวันเพื่อปูทาง สำหรับความคืบหน้าของคดี เจียงลวี่จงเพียงรู้สึกโล่งใจและคิดว่านี่เป็นความสำเร็จที่สอดคล้องกับความสามารถของสวี่ชีอัน เขาจึงไม่ได้แสดงออกทางอารมณ์มากนัก มีเพียงความคิดหนึ่งในหัว
‘สวี่ชีอันมีคุณสมบัติของฆ้องทองคำ’
พูดให้ถูกคือ คุณสมบัติของฆ้องทองคำของเขามั่นคงมากขึ้น หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้มีโอกาสเพียงห้าสิบห้าสิบ ตอนนี้ก็มีโอกาสถึงเจ็ดสิบสามสิบ
ผู้ตรวจการจางระงับความปีติยินดีกับความตื่นเต้นภายในใจลงและพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง “เจ้าตามข้ามา”
เขาชิงทิ้งทุกคนก่อน เข้าไปในห้องโถงใหญ่และขึ้นไปชั้นบนเพื่อกลับไปยังห้องส่วนตัว
นอกจากสวี่ชีอันกับเจียงลวี่จง คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ตามขึ้นมา
“เจ้าได้หลักฐานมาแล้วใช่หรือไม่?”
เมื่อสวี่ชีอันปิดประตู ใต้เท้าผู้ตรวจการก็เปลี่ยนท่าทางที่สงบนิ่งและเยือกเย็นของเขาและจ้องมองมา สีหน้าของเขาไม่อาจปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้อีก
สวี่ชีอันหยิบสมุดบัญชีออกมาจากในอกเสื้อและยื่นให้
ผู้ตรวจการจางรับไปอย่างร้อนใจ แต่ไม่ได้รีบเปิดอ่านในทันที หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก เขาก็เก็บอารมณ์ทั้งหมดไว้แล้วจึงเริ่มอ่านสมุดบัญชี
“น่าตกใจ น่าตกใจ…จำนวนมหาศาลเช่นนี้ หยางชวนหนานสมควรตายหมื่นครั้ง” เมื่อผู้ตรวจการจางอ่านจบ นิ้วมือก็กำสมุดบัญชีไว้แน่น
…ใต้เท้าผู้ตรวจการสมกับที่เป็นปัญญาชน ข้าอ่านสมุดบัญชีอยู่ครึ่งวันจึงจะเห็นวี่แววบางอย่าง สวี่ชีอันถามด้วยน้ำเสียงที่ชื่นชมเล็กน้อยว่า “จำนวนมหาศาลเช่นนี้เป็นจำนวนเท่าไหร่หรือ”
ผู้ตรวจการจางเหลือบมองเขา ราวกับว่าไม่ได้ยินและเอ่ยซ้ำ “น่าตกใจ น่าตกใจ…”
…สวี่ชีอันเข้าใจแล้ว คงเป็นจำนวนมหาศาลมาก แต่อย่าถามเลย ถามไปก็ยิ่งตกตะลึงไปกันใหญ่
ผู้ตรวจการจางเก็บสมุดบัญชีอย่างเคร่งขรึม เขากระแอมครั้งหนึ่งและถามว่า “เจ้าถอดรหัสลับได้อย่างไร”
“นี่ยอดเยี่ยมมาก” สวี่ชีอันอธิบายกระบวนการถอดรหัสลับของตัวเองอย่างละเอียดทันที และไม่ลืมยกความดีความชอบให้เพื่อนร่วมงานที่ตายตกทางสังคมไปแล้วทั้งสองคน
“ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน พวกเขาไม่เพียงแต่มีส่วนร่วมในการถอดรหัสอย่างแข็งขันเท่านั้น พวกเขาถึงขั้นไม่ลังเลที่จะอุทิศตัวเองจนตกเป็นเหยื่อของปีศาจและยอมละทิ้งใบหน้าของตัวเองอีก การเสียสละนี้ช่างยิ่งใหญ่และน่าประทับใจนัก”
“อุทิศตัวเองเพื่อตกเป็นเหยื่อปีศาจงั้นหรือ?” ใต้เท้าผู้ตรวจการตกตะลึง
“ขอรับ เมื่อวานตอนออกเดินทาง มีวิญญาณอาฆาตขวางทางและก่อปัญหา โชคดีที่ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ ถึงขั้นยอมต่อสู้จนตัวตาย…” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงใจ
“สำนักพ่อมดเชี่ยวชาญด้านการเลี้ยงผีและควบคุมผี อืม ดูเหมือนว่าจะมีคนของสำนักพ่อมดซ่อนตัวอยู่ในเมืองไป๋ตี้” เจียงลวี่จงเลิกคิ้ว
สวี่ชีอันพยักหน้า เขารู้สึกว่าเรื่องที่สำนักพ่อมดเป็นแพะรับบาปนั้นสมเหตุสมผลจึงถามว่า
“ใต้เท้าผู้ตรวจการ ท่านวางแผนจะทำอย่างไรต่อหรือขอรับ”
ผู้ตรวจการจางลูบเคราและยิ้ม “ความคล่องแคล่วและรวดเร็วเป็นปัจจัยสำคัญในการทำสงคราม!”
เขาเปลี่ยนบทสนทนาและเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ไม่ต้องรีบร้อน กินข้าวเสร็จค่อยว่ากัน”
…
บนโต๊ะอาหาร ผู้ตรวจการจางที่นิ่งเงียบไม่พูดจาเวลารับประทานอาหารมื้อเย็น กวักมือเรียกซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว ก่อนจะมองดูฆ้องทองแดงทั้งสองคน ใต้เท้าผู้ตรวจการเอ่ยอย่างอ่อนโยน
“ได้ยินมาจากหนิงเยี่ยนว่า พวกเจ้าสองคนมีส่วนช่วยอย่างมากระหว่างการสืบสวนคดี”
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวมองไปทางสวี่ชีอันทันทีและซาบซึ้งใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าตอนสวี่หนิงเยี่ยนอยู่ต่อหน้าใต้เท้าผู้ตรวจการ เขายกความดีความชอบให้กับพวกเขา
ผลงานเป็นสิ่งที่ดี ประการแรกเกี่ยวข้องกับการเลื่อนตำแหน่ง ประการที่สอง คือหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจอวิ๋นโจว ที่ทำการปกครองจะมอบเงินรางวัลให้จำนวนหนึ่งตามการมีส่วนร่วมของแต่ละคน
ซึ่งมากมายอย่างยิ่ง
‘…ช่างเป็นพี่น้องที่ดี!’
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวซาบซึ้งใจจนสุดขีด
“นี่เป็นสิ่งที่พวกข้าน้อยสมควรทำ เพื่อแบ่งเบาความทุกข์ยากของใต้เท้าผู้ตรวจการ เพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อราชสำนัก พวกข้าน้อยจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุด” ซ่งถิงเฟิงพูดจาอวดโอ่ด้วยรอยยิ้ม
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมพยักหน้ารับอย่างแรง
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าอย่างชื่นชมและถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย “ได้ยินจากหนิงเยี่ยนว่า พวกเจ้าอุทิศตัวเองจนตกเป็นเหยื่อของปีศาจระหว่างสืบสวนคดี ต่อกรกับวิญญาณอาฆาตที่ขัดขวางการทำคดีและเสียสละอย่างมาก มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือไม่”
…ความซาบซึ้งใจบนใบหน้าของซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวหายไปทันที สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ แข็งทื่อ
“เหตุใดถึงไม่พูดเล่า”
“ใต้เท้า…เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ควรค่าให้ใต้เท้าสอบถามด้วยตนเองหรอกขอรับ” ซ่งถิงเฟิงฝืนยิ้ม
ผู้ตรวจการจางส่ายหน้าและพูดอย่างเป็นห่วงเป็นใย “เมื่อเรื่องนี้จบ ข้าต้องเขียนพระราชสาส์น การมีส่วนร่วมของผู้ใดก็ตามล้วนถูกบันทึกไว้เพื่อถวายต่อราชสำนัก เมื่อถึงเวลาก็จะปูนบำเหน็จให้ตามผลงาน”
ใบหน้าของพวกซ่งถิงเฟิงขาวซีด “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ข้าน้อยไม่ใช่ว่าไม่อยาก เพียงแต่…เพียงแต่พวกข้าน้อยถูกวิญญาณอาฆาตนั่นทำร้ายจิตสำนึกและจิตใจบ่อยครั้ง พวกข้าน้อยจึงจดจำรายละเอียดไม่ได้”
การเคลื่อนไหวของทั้งสองคนเป็นไปอย่างรู้ทันกัน มือข้างหนึ่งปิดหน้า มืออีกข้างหนึ่งโบกไปมา “จำไม่ได้ๆ…”
…
หลังอาหารเย็น เจียงลวี่จงกับผู้ตรวจการจางเป็นผู้นำหน่วยกองทหารพยัคฆ์ทะยานรวมกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมดหนึ่งร้อยสามสิบคน มุ่งไปยังตำหนักของผู้บัญชาการอย่างยิ่งใหญ่เกรียงไกร
อุปกรณ์จำพวกดาบ หอก ธนูและหน้าไม้มีครบครัน และยังติดตั้งปืนไฟอีก พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะให้ผู้บัญชาการหยางชวนหนานต่อต้านอย่างดื้อรั้นแล้ว
ผู้ตรวจการจางออกไปจับกุมตอนกลางดึกเพื่อให้อีกฝ่ายและข้าราชการอวิ๋นโจวทั้งหมดไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่ให้อีกฝ่ายมีเวลาโต้ตอบ
ระหว่างทาง พวกเขาพบกับทหารยามลาดตระเวนสองกลุ่ม แต่ทั้งหมดก็ถูกใต้เท้าผู้ตรวจการจัดการเก็บกวาดด้วยท่าทางที่แข็งแกร่ง ท่ามกลางเสียงเกราะเหล็กดังกึกก้อง หน่วยจับกุมก็ได้มาถึงตำหนักของหยางชวนหนาน
เจียงลวี่จงนั่งอยู่บนหลังม้าและสะบัดมือ
ฆ้องเงินคนหนึ่งกระโจนลงจากหลังม้า พุ่งไปที่ประตูตำหนักอย่างรวดเร็วพร้อมย่อเอวลง หลังจากสะสมพลังเล็กน้อย เขาก็ชกออกไป
‘ตูม!’
ประตูบานใหญ่พังทลายในชั่วพริบตา เศษไม้ที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กระเด็นกระดอน
เหล่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนำกองทหารพยัคฆ์ทะยานพุ่งเข้าไปในตำหนักและตะโกนว่า “ใต้เท้าผู้ตรวจการจะทำคดี ผู้ใดขัดขวางสังหารให้สิ้น!”
ทหารรักษาพระองค์ในตำหนักของหยางชวนหนานต่างก็เป็นยอดฝีมือในกองทัพ จึงดื้อรั้นยากจะยินยอม พวกเขาไม่เกรงกลัวบุคคลที่ถูกเรียกว่าผู้ตรวจการ และจับดาบต่อสู้กับกองดาบจนตัวตาย
“บัดซบ ทหารกลุ่มนี้เคยชินกับการวางอำนาจบาตรใหญ่ในอวิ๋นโจวแล้วหรือ” ฆ้องเงินคนหนึ่งแสยะยิ้มและชักดาบออกมา
ในตำหนักของผู้บัญชาการก็มียอดฝีมือเช่นกัน พวกเขาพุ่งออกมาพัวพันกับฆ้องเงินไว้อย่างรวดเร็ว
“หยุด!”
ขณะเดียวกันกับที่เสียงตะโกนดังขึ้น หยางชวนหนานก็สวมชุดคลุมเดินออกมา และชกฆ้องเงินสองคนให้ถอยกลับไปเพื่อช่วยชีวิตทหารรักษาพระองค์หลายคน
“ฮึ!”
เจียงลวี่จงที่เฝ้าดูการต่อสู้อยู่ตลอดก้าวออกมาและกางนิ้วทั้งห้าไปทางหยางชวนหนาน ข้อนิ้วมือของเขาหนา ผิวหนังภายนอกเปล่งแสงเทวะซึ่งหล่อขึ้นจากทองคำเขียว ไม่เหมือนกับร่างกายของมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ
พลังปราณที่แข็งแกร่งจนยากจะต้านทานปกคลุมหยางชวนหนาน กระชากเขาลอยไปตามหมัดของเจียงลวี่จง
หมัดระเบิด!
หน้าอกหยางชวนหนานที่ลอยข้ามหมัดของฆ้องทองคำคนนี้…ราวกับเสียงระฆังสั่นระหว่างฟ้าดิน ทุกคนต่างก็เห็นว่า แสงเทวะรอบกายของหยางชวนหนานสว่างวาบอย่างรุนแรง ก่อนที่วินาทีต่อมามันจะสลายกลายเป็นเพียงประกายแสง
กระดูกเหล็กผิวทองแดงพ่ายแล้ว
หยางชวนหนานกระอักเลือดขณะที่ร่างกระเด็นออกไป
“ใต้เท้า!”
ความโกรธของเหล่าทหารรักษาพระองค์ในตำหนักพุ่งทะยาน พวกเขาจับด้ามดาบกระชับแน่น ตั้งใจจะดับดิ้นไปพร้อมกับแขกที่ไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้
“ทุก ทุกคนหยุด…” หยางชวนหนานลุกขึ้นอย่างซวนเซ ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ร่างกายสั่นคลอน
ผู้ตรวจการจางปรากฏตัวขึ้นในเวลาที่เหมาะสม เขามองดูผู้บัญชาการที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ใต้เท้าหยาง โปรดควบคุมผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วย”
หยางชวนหนานเดินโซเซมา เขาจ้องผู้ตรวจการจางและพึมพำ “ถึงอย่างไรข้าก็เป็นข้าราชการระดับสอง ผู้ตรวจการจางนำทีมบุกเข้ามาในตำหนักของข้ายามดึกและใช้กำลังตามอำเภอใจ…ข้าอยากฟังว่ามีเหตุผลอะไรกัน”
“ข้าจะทำให้ท่านเข้าใจ” แน่นอนว่าผู้ตรวจการจางคงไม่นำสมบัติออกมาต่อหน้าผู้คนมากมาย เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“ข้าได้สมุดบัญชีของโจวหมินมาไว้ในกำมือแล้ว”
หยางชวนหนานเบิกตากว้างทันที “เป็นไปไม่ได้!”
ผู้ตรวจการจางยิ้มหยัน “ใต้เท้าหยางกลับไปที่จุดพักเปลี่ยนม้ากับข้าก็จะรู้เอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็ตะโกนเสียงดัง “เอาตัวไป ผู้ใดขัดขวางจะถูกประหารทันที!”
เหล่าทหารรักษาพระองค์ก้าวไปข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงและทำท่าทางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ถูกหยางชวนหนานตำหนิ การขัดขวางผู้ตรวจการทำคดีและปล้น ‘นักโทษ’ มีโทษถึงประหารชีวิต
หยางชวนหนานไม่สงสัยเรื่องการสังหารอย่างไร้ความปรานีของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเลยสักนิด และยิ่งไม่สงสัยในพลังต่อสู้ของฆ้องทองคำ เขาไม่อยากให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาตายโดยเปล่าประโยชน์
กองทหารพยัคฆ์ทะยานก้าวไปข้างหน้า หยิบโซ่ตรวนออกมาสวมให้หยางชวนหนานและคุมตัวเขาออกไปนอกตำหนักทันที
คนหนึ่งร้อยสามสิบกว่าคนออกจากตำหนักของผู้บัญชาการไป
…
ด้านนอกเมืองไป๋ตี้ ณ กระโจมในค่ายทหาร
“อะไรนะ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลบุกตำหนักสกุลหยางยามวิกาล คุมตัวใต้เท้าผู้บัญชาการไปแล้วหรือ”
หลี่เมี่ยวเจินลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ ขณะจ้องมองผีชุดดำที่กลับมารายงาน นี่คือสายลับที่นางทิ้งไว้ในตำหนักของหยางชวนหนาน ซึ่งจะเปลี่ยนทุกสามวัน
เมื่อผ่านไปเป็นเวลานาน ผีจะไม่ได้รับปราณหยินหล่อเลี้ยงและจะสลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ซูซูที่นั่งอยู่ตรงขอบเตียงแกว่งขาสองข้างไปมาและเอ่ยเสียงหวาน “ผู้ตรวจการหยิ่งผยองเช่นนี้เชียวหรือ กล้าจับคนโดยไม่มีหลักฐาน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นขุนนางที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไป๋ตี้ แต่กล้าดีอย่างไรถึงจับใต้เท้าหยางโดยที่ปราศจากหลักฐาน นายท่าน ข้าแนะนำให้จัดระเบียบกำลังคนสามพันคนไปกวาดล้างจุดพักเปลี่ยนม้าให้ราบคาบ แขวนคอฆ้องทองแดงสกุลสวี่คนนั้นบนกำแพงเมืองไป๋ตี้เสีย”
หลี่เมี่ยวเจินที่เริ่มใจเย็นลงหรี่ตามองนาง “อืม มีเหตุผล ข้าจะแต่งตั้งซูซูเป็นแนวหน้ากองทัพจู่โจม”
ซูซูหดหัว “จากนั้นพวกเราก็ทำงานตามกฎหมายของต้าฟ่ง”
“ออกไปไกลๆ เลย”
“โอ้” ซูซูมุ่ยปาก นางลุกขึ้นอย่างน้อยใจและออกจากกระโจมไป
“กลับมาก่อน!” หลี่เมี่ยวเจินตะโกน
“เจ้าค่ะ นายท่าน” ใบหน้าแสนสวยของซูซูแจ่มใสทันทีและยิ้มหวานออกมา
“เจ้าแน่ใจนะว่าสวี่ชีอันคนนั้นไม่ได้แอบสืบสวนจริงๆ จนมีหลักฐานอย่างที่เขากล่าวอ้าง” หลี่เมี่ยวเจินจ้องซูซูอย่างสงสัย
“ไม่มี ไม่มีเจ้าค่ะ” ซูซูรีบส่ายหน้า ร่างบางสั่นเทา ชายกระโปรงพลิ้วไหว
“คนอื่นล่ะ”
“ข้ารับผิดชอบเพียงแค่เฝ้าดูสวี่ชีอัน หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนร่วมงานสองคนของเขา หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ ข้าไม่ได้สังเกต”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า ขอเพียงสวี่ชีอันไม่ได้แอบสืบสวน คนอื่นๆ ก็สามารถเพิกเฉยได้ ส่วนเจ้าเด็กนั่นสังเกตเห็นการสะกดรอยตามของซูซูหรือไม่นั้นไม่สำคัญ
หลี่เมี่ยวเจินสนใจเพียงแค่ในสามวันนี้เขาทำอะไรลงไปบ้าง แม้จะสังเกตเห็นการสะกดรอยตามของซูซู ขอเพียงเขาไม่ได้สืบสวนคดี ไม่มีความคืบหน้า เขาสังเกตเห็นหรือไม่จะไปสำคัญอะไร
ในเมื่อไม่ใช่สวี่ชีอันที่ได้รับ ‘หลักฐาน’ เช่นนั้นเหตุผลกับเป้าหมายที่ผู้ตรวจการจับหยางชวนหนานไปคืออะไร?
พยายามแก้ปัญหาโดยใช้กำลังและทรมานให้รับสารภาพหรือ?
คงไม่ ผู้ตรวจการผู้ยิ่งใหญ่คงไม่ทำเรื่องที่โง่งมเช่นนั้น
“ทหาร!” หลี่เมี่ยวเจินตะโกน
ทหารรักษาพระองค์ที่เฝ้าเวรยามอยู่นอกกระโจมทหารตอบรับและเดินเข้ามา
“จัดระเบียบกำลังคนแล้วเข้าไปในเมืองตอนรุ่งสาง”
“ขอรับ!”
จากนั้นนางก็มองไปทางซูซู “เจ้าเข้าไปในเมืองพร้อมข้าในคืนนี้ ข้าจะไปเยี่ยมเยียนผู้ตรวจการสักหน่อย”
……………………………………………