ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 216 หมายเลขสอง เจ้าทำได้ดีมาก
บทที่ 216 หมายเลขสอง เจ้าทำได้ดีมาก
ฝันแบบเดียวกัน บังเอิญหรือ
สวี่ชีอันคิดถึงสำนักพ่อมด
สำนักพ่อมดมีความสามารถในการเข้าสู่ความฝันจึงแทรกซึมเข้าไปในความฝันของจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
นี่เป็นการสันนิษฐานที่เรียบง่ายมาก
สิ่งที่สวี่ชีอันคิดไม่ตกคือ เหตุใดคนของสำนักพ่อมดต้องซักถามที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงในความฝัน
เหลียงโหย่วผิงเป็นคนของพรรคฉีไม่ใช่หรือ พรรคฉีสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดไม่ใช่หรือ พวกเขาไม่ควรเกาะกลุ่มกันสิ
“เจ้าเป็นอะไรไป”
ซ่งถิงเฟิงสังเกตเห็นว่าสีหน้าของเพื่อนร่วมงานผิดปกติจึงถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
“เค้กพันชั้น[1]…” สวี่ชีอันพึมพำ
“เจ้าหมายถึงอะไร เจ้าอยากกินเค้กหรือ” จูกว่างเสี้ยวรอคำตอบของเขา หากสวี่หนิงเยี่ยนตอบว่าใช่ เขาก็จะไปสั่งให้ทหารประจำจุดพักม้าเตรียมอาหารมื้อดึก
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบ แต่ออกจากห้องไปและเคาะประตูห้องของฆ้องเงินห้องข้างๆ
“ฆ้องเงินจ้าว เมื่อคืนนอนหลับสบายดีหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
ฆ้องเงินสกุลจ้าวมองพินิจเขาอย่างไม่พอใจและตอบว่า “หากเจ้าไม่รบกวนข้าก็คงดีมาก”
“เจ้าฝันหรือ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร” ฆ้องเงินจ้าวตกตะลึง
สวี่ชีอันทำหน้าเคร่งขรึมทันทีและซักไซ้อย่างเร่งเร้า “เจ้าฝันว่าอะไร”
“ข้าฝันถึงเหล่าแม่นางน้อยในสำนักสังคีต เฮ้อ ข้าก็มาที่อวิ๋นโจวนานมากแล้ว แม้แต่มือของสตรีข้าก็ยังไม่ได้แตะ ช่างยากเข็ญนัก…”
“ขอโทษที่รบกวน ข้าขอตัว!”
เขาไปเคาะประตูห้องของฆ้องทองแดงกับกองทหารพยัคฆ์ทะยานอีกครั้ง ดึงคนออกมาสิบกว่าคนและพบว่าพวกเขาไม่ได้ฝัน ทั้งจุดพักเปลี่ยนม้า คนที่ถูกสอบปากคำในความฝันมีเพียงจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงสองคนเท่านั้น
น่าสงสารจริงๆ ไม่เพียงได้รับภาวะ PTSD จากซูซูเท่านั้น แต่ยังถูก ‘กักขังเพื่อสอบปากคำในห้องมืด’ ในความฝันอีก
เรื่องเลวร้ายล้วนเกิดขึ้นกับพวกเขาสองคน…สายตาที่สวี่ชีอันมองเพื่อนร่วมงานทั้งสองคนเต็มไปด้วยความสงสารอีกครั้ง
“สายตาของเจ้าทำให้ข้ารู้สึกอึดอัดมาก หากยังมองข้าเช่นนี้ พวกเราคงเป็นพี่น้องกันไม่ได้” ซ่งถิงเฟิงเอ่ยอย่างเคร่งขรึม
“เดิมทีพวกเราก็เป็นพ่อลูกกัน”
เมื่อสวี่ชีอันพูดจบ เขาก็เห็นซ่งถิงเฟิงยกเก้าอี้มาจะทุบเขา เขาจึงรีบขอโทษทันที “ข้าผิดไปแล้วๆ เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องการความเงียบ”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” จูกว่างเสี้ยวถาม
“ขอข้าเค้นความคิดก่อน” สวี่ชีอันโบกมือ
มีเพียงจูกว่างเสี้ยวกับซ่งถิงเฟิงเท่านั้นที่ถูกสอบปากคำในความฝัน และคำถามยังเป็นที่อยู่ของเหลียงโหย่วผิงอีก…เห็นได้ชัดว่า สาเหตุคือพวกเราเคยไปที่ตลาดมืดและได้รับสมุดบัญชีมาจากเหลียงโหย่วผิง…ส่วนเพราะเหตุใดข้าจึงไม่ถูกสอบปากคำ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ข้ากำลังฝึกตนเพื่อเป็นเซียน! ไม่ได้การล่ะ สมองอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ข้าไม่อาจต่อกรกับทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวได้ ข้าคงต้องดึงผู้ตรวจการจางกับเจียงลวี่จงมาปวดหัวด้วยกัน…สวี่ชีอันออกไปตามหาผู้ตรวจการจางทันที
เมื่อเดินผ่านห้องที่คุมขังหยางชวนหนาน หลี่เมี่ยวเจินก็บังเอิญออกมาพร้อมกับเจียงลวี่จง โดยมีผีสาวแสนสวยซูซูตามอยู่ข้างหลัง
เมื่อสักครู่นาง ‘ไปเยี่ยม’ หยางชวนหนานมา
“แม่ทัพหลี่จะไปแล้วหรือ” สวี่ชีอันเดินเข้าไป
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้า แม้ว่าคดีจะซับซ้อน แต่ผู้ตรวจการก็รับปากว่าจะพยายามสืบหาความจริงอย่างเต็มที่ หยางชวนหนานจึงยังมีโอกาสรอด
นางมาที่จุดพักเปลี่ยนม้าครั้งนี้ก็เพื่อหาโอกาสรอดนี้และไม่เสียแรงที่ได้ผูกมิตรกับหยางชวนหนาน
รวมถึงการที่ให้กองทัพนางแอ่นเหินเข้าไปในเมืองก็เป็นการกดดันเช่นกัน ในฐานะเบี้ยต่อรอง ไม่ใช่ต้องดับดิ้นไปพร้อมกันจริงๆ
“อา เกรงว่าเจ้าคงไปไม่ได้แล้ว!” สวี่ชีอันกล่าว
หลี่เมี่ยวเจินชะงักและหรี่ตามองพินิจเขา
ซูซูกรีดร้องออกมาและตะโกนว่า “นายท่าน เจ้าเด็กนี่จะขัดขวางท่าน ซูซูจะช่วยท่านอัดเขาเสีย”
เมื่อพูดจบ นางก็กำลังจะพ่น ‘น้ำเกลืออัดลม’ ใส่สวี่ชีอัน แต่ยังไม่ทันพ่นปราณหยินออกมา นางก็ถูกหลี่เมี่ยวเจินห้ามไว้
“เจ้าเพียงอยากฉวยโอกาสแก้แค้นเท่านั้น” หลี่เมี่ยวเจินเหลือบมองนางและหันไปถาม “มีเรื่องอันใดหรือ”
“อย่าเพิ่งรีบไป ครึ่งหลังเริ่มขึ้นแล้ว ข้าเพิ่งได้รับเบาะแสใหม่มา” สวี่ชีอันบีบนวดหว่างคิ้ว
เจียงลวี่จงเลิกคิ้วและถามอย่างประหลาดใจ “เจ้าคิดอะไรออกหรือ”
ทั้งสามคนเข้าไปในห้องของผู้ตรวจการจางด้วยกัน ผู้ตรวจการจางอายุเกือบจะห้าสิบแล้ว ซึ่งถือเป็นกระดูกแก่ แต่เพราะการมีอยู่ของโหรแห่งสำนักโหราจารย์ อายุขัยของชนชั้นทหารในโลกนี้จึงค่อนข้างสูง พวกเขาอาจจะเพลิดเพลินกับโรคระยะยาวอย่างโรคมะเร็งได้อย่างมีความสุขเหมือนกับสวี่ชีอันในชาติก่อน
ผู้ตรวจการจางกำลังจะเตรียมเข้านอน แต่ต้องลุกขึ้นมาสวมเสื้อผ้าอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้
จากนั้นจึงสั่งให้ผู้ติดตามเปิดประตู
“ดึกมากแล้ว พวกเจ้ามีเรื่องอันใดค่อยคุยกันพรุ่งนี้ไม่ได้หรือ” ผู้ตรวจการจางบีบนวดหว่างคิ้ว “ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยกำลังวังชาเหมือนทหารอย่างพวกเจ้า”
หลี่เมี่ยวเจินโต้กลับโดยไม่รู้ตัว “ข้าก็ไม่ใช่ทหารเสียหน่อย”
สวี่ชีอันกับเจียงลวี่จงเหล่ตามองนางอย่าง ‘เย็นชา’
ผู้ตรวจการจางโบกมือและกล่าวอย่างเหลืออด “มีอะไรจะพูดก็พูดมา พูดจบก็ไสหัวไป”
ปัญญาชนพิถีพิถันเรื่องการรักษาสุขภาพมาก พฤติกรรมอย่างการนอนดึกเป็นการทำลายชีวิต
หลี่เมี่ยวเจินกับเจียงลวี่จงมองไปทางสวี่ชีอันพร้อมกัน
โธ่ เจ้าเด็กคนนี้อีกแล้ว…ผู้ตรวจการจางมองสวี่ชีอันอย่างจนปัญญา
“มีเรื่องที่ข้ารู้สึกว่าข้าควรจะบอกให้ทั้งสามคนรู้”
สวี่ชีอันที่ถูกทั้งสามคนจ้องมองเปิดปากอย่างช้าๆ และเล่าเรื่องที่ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวถูกสอบปากคำในความฝันออกมา
“ใช่ มันเป็นวิธีของสำนักพ่อมด” เจียงลวี่จงให้คำตอบยืนยัน
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าตาม จากนั้นก็มองสวี่ชีอัน “สาเหตุที่เจ้าไม่ถูกสอบปากคำเพราะเจ้าทะลวงระดับหลอมวิญญาณและไม่ได้นอนงั้นหรือ”
“ขอรับ”
“สำนักพ่อมดก็กำลังตามหาเหลียงโหย่วผิงเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” ผู้ตรวจการจางพยายามแยกย่อยข่าวนี้และรู้สึกงุนงงเล็กน้อยไปชั่วขณะ “เหลียงโหย่วผิงไม่ใช่คนของพรรคฉีหรอกรึ”
พรรคฉีกับสำนักพ่อมดเป็นพันธมิตรกัน
หลี่เมี่ยวเจินมองไปทางแสงเทียนที่เล็กราวกับเม็ดถั่วบนเชิงเทียนและตกตะลึงไปครู่หนึ่ง “เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเราคาดเดาผิด เหลียงโหย่วผิงอาจจะไม่ใช่คนของพรรคฉี และที่ให้สมุดบัญชีกับพวกเราก็ไม่ใช่เพื่อใส่ร้ายใต้เท้าหยาง”
เจียงลวี่จงรู้สึกปวดหัว หากเป็นเช่นนี้จริง คดีก็ซับซ้อนเกินไปแล้ว
“ข้อมูลที่เหลียงโหย่วผิงอยู่พรรคฉี เจ้าเป็นคนบอกพวกเรา ไม่ใช่พวกเราเดา” สวี่ชีอันมองนางและเอ่ยขึ้นอีก
“ยิ่งไปกว่านั้น หากเหลียงโหย่วผิงไม่ใช่คนของพรรคฉี ตรรกะมากมายก็ไม่สมเหตุสมผล ข้าเอียงไปทางเขาเป็นคนของพรรคฉีและการอนุมานของพวกเราก่อนหน้านี้ก็ไม่มีปัญหา”
“เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องที่สำนักพ่อมดตามหาเขาว่าอย่างไร ” หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้ว
สติปัญญาของหญิงสาวผู้นี้อยู่ในระดับคนธรรมดา…แม้ว่าจะไม่โง่แต่ก็ไม่ถือว่าฉลาดนัก…หากฮว๋ายชิ่งอยู่ที่นี่ก็คงดี แรงกดดันของข้าคงบรรเทาลงไปมาก…หมายเลขสี่ก็ได้ หมายเลขสี่ก็เป็นคนที่เชื่อมโยงเก่งมากคนหนึ่ง…
ทั้งสี่คนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่มีผลลัพธ์ใหม่เลยในขณะนี้ ผู้ตรวจการจางเหนื่อยล้านิดหน่อย พรุ่งนี้เขาต้องไปกองบัญชาการทหารจึงไม่ควรนอนดึก เจียงลวี่จงกับหลี่เมี่ยวเจินไม่เชี่ยวชาญการอนุมาน สมองของสวี่ชีอันก็กำลังจะแตก
พวกเขาทำได้เพียงยอมแพ้ชั่วคราวแล้วค่อยหารือกันวันอื่น
“ใต้เท้าผู้ตรวจการ คืนนี้ข้าจะพักที่นี่” หลี่เมี่ยวเจินร้องขอ
ผู้ตรวจการจางตกลงอย่างง่ายดาย จุดพักเปลี่ยนม้าเป็นฐานหลักและมีฆ้องทองคำกับฆ้องเงินประจำการอยู่ เขาจึงไม่กลัวว่าหลี่เมี่ยวเจินจะทำเรื่องที่โง่งม
หลี่เมี่ยวเจินจ้องมองสวี่ชีอันเขม็ง
…
เมื่อกลับมาถึงห้อง ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวก็ยังคงอยู่ ทั้งสองคนนั่งขัดสมาธิ
“เหตุใดพวกเจ้าสองคนถึงยังไม่ไปอีก”
“รอฟังข่าวจากเจ้า”
“ไม่มีข่าว ไปๆๆ กลับไปหลอมปราณที่ห้องของตัวเอง และจำไว้ว่าอย่านอนตอนกลางคืน”
หลังจากไล่เพื่อนร่วมงานสองคนไป สวี่ชีอันก็ถือถังไม้ลงไปชั้นล่างและแช่น้ำเย็นในโรงอาบน้ำ ซึ่งทำให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นมากทันที
เขาเอื้อมมือไปดึงผ้าซับเหงื่อ ทันใดนั้นก็พบว่าผ้าซับเหงื่อหายไป
“เจ้ากำลังมองหาสิ่งนี้อยู่หรือ” น้ำเสียงอ่อนหวานดังมาจากด้านหลัง มือข้างหนึ่งยื่นมา เผยเรียวแขนที่ขาวนุ่มในแขนเสื้อกว้างสีขาว
“แม่นางซูซู ชายหญิงไม่ควรสัมผัส พูดคุย หรือให้และรับสิ่งของโดยตรง” สวี่ชีอันไม่ได้รับผ้าเช็ดเหงื่อมาแล้วก็ไม่ได้หันไปมอง เขารู้สึกโกรธเล็กน้อย
ไม่ใช่เพราะเขารู้สึกเขินอายที่มีผู้หญิงมาเฝ้าดูขณะอาบน้ำ แต่ตุ๊กตากระดาษกลับไม่มีจิตสำนึกและยืนกรานที่จะปรากฏตัวในเวลานี้
“ชายหญิงไม่ควรสัมผัส พูดคุยหรือให้และรับสิ่งของโดยตรงงั้นหรือ”
แม่นางซูซูในชุดกระโปรงขาวย้ายมาข้างๆ อ่างอาบน้ำ แสงจันทร์สลัวส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง นางมองลงไปใต้น้ำที่ใสกระจ่างและพูดจาเหน็บแนม
“ข้าไม่รู้สึกรู้สากับถั่วงอกหรอก”
สวี่ชีอันโยนผ้าเช็ดเหงื่อลงไปในน้ำเพื่อให้มันทำหน้าที่แทนเซนเซอร์ปิดกั้นสายตาอันดุดันของผีสาวและเอ่ยเสียงเรียบ “แม่นางซูซูเคยได้ยินประโยคหนึ่งหรือไม่”
ซูซูเอียงศีรษะมองเขา
“ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาว”
“ยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาวหรือ” ซูซูไม่เข้าใจคำพูดของเขาและกำลังคิดว่าหมายความว่าอย่างไร
ยุคสมัยนี้คงเล่นมุกยิ่งสูงยิ่งเหน็บหนาวไม่ได้สินะ…อืม คำพ้องเสียงนี่เห็นทีจะใช้ไม่ได้การ…สวี่ชีอันหมดอารมณ์ที่จะพูดจาลวนลามผีสาวและกล่าวอย่างเหลืออด
“มีเรื่องจะพูดหรือไม่ ข้าแช่น้ำเย็นนานแล้ว เดี๋ยวจะเป็นหวัด”
“ทหารระดับหลอมปราณก็เป็นหวัดได้หรือ” ซูซูหัวเราะคิกคักสองสามครั้งและนั่งบนขอบอ่างอาบน้ำอย่างเปิดเผยพร้อมกับดวงตาที่สดใส
“ที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้เป็นความจริงหรือ เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่หรือไม่”
สวี่ชีอันรู้ว่านางพูดถึงอะไรจึงวาดรูปแป้งทอด[2]ทันที “แน่นอน ชายอกสามศอกรักษาคำพูดอยู่แล้ว เจ้าอยากหนีตามกันไปกับข้าหรือ”
“หนีตามกันไปอะไร พูดจาไม่น่าฟังเลย” น้ำเสียงของซูซูแผ่วเบา นางเหลือบมองเขาและต่อรอง “ข้าสามารถช่วยเจ้าได้สามเรื่อง เปลี่ยนกายเนื้อของเจ้า ดีหรือไม่”
ผีสาวที่อ่อนแอเช่นเจ้าจะช่วยอะไรข้าได้ ไม่ใช่ว่าจะหลอกข้าหรอกหรือ หึ ผู้หญิง!
สวี่ชีอันปฏิเสธ “ไม่”
“ขอร้องล่ะ ได้โปรด”
“ต่อให้เจ้าจะใช้เสน่ห์อาคมกับข้า ข้าก็ไม่หลงกลหรอก”
“เอ่อ ทางที่ดีก่อนกล่าวคำนี้ออกมาควรพิจารณาปฏิกิริยาของตนเองเสียก่อน”
“ก็ได้ แต่ข้าไม่ต้องการให้เจ้าทำสามเรื่อง เปลี่ยนเป็นหนึ่งข้อเรียกร้อง เจ้ามีกายเนื้อใหม่และเป็นสนมของข้าสักสองสามปี”
คำพูดนี้เป็นเพียงคำพูดไร้สาระ เพราะซ่งชิงไม่มีวิชานี้ และที่พูดเรื่องกายเนื้อกับนางก็เพื่อหลอกให้นางกลับไปเมืองหลวงกับตนเอง
“ข้ายังเป็นสาวพรหมจรรย์” ซูซูพูดอย่างเขินอาย
“ใช่สิ ทุกครั้งที่เจ้าเปลี่ยนตุ๊กตากระดาษ เจ้าก็จะเป็นสาวพรหมจรรย์” สวี่ชีอันกล่าว
“ข้าพูดถึงตอนที่ข้ายังไม่ตาย” นางที่นั่งอยู่บนขอบอ่างอาบน้ำก้มลงมองใบหน้าอันงดงามที่สะท้อนอยู่ในน้ำและถอนหายใจ
“ตอนที่ข้ายังมีชีวิต ข้าเป็นลูกสาวของครอบครัวเศรษฐี ปีนั้นข้าอายุสิบแปดปี ท่านพ่อบอกข้าเรื่องการแต่งงาน สามีในอนาคตของข้าเป็นปัญญาชน หน้าตาหล่อเหลาและเป็นสุภาพบุรุษ ข้ารอที่จะได้แต่งงานอย่างมีความสุขอยู่ในห้องชั้นใน แต่ใครจะคิดเล่าว่าต้นฤดูใบไม้ผลิปีต่อมา ท่านพ่อจะเข้าไปพัวพันในคดีใหญ่และถูกจักรพรรดิชั่วตัดหัว สมาชิกสตรีในครอบครัวเดิมทีต้องเข้าไปอยู่ในสำนักสังคีต ทว่าท่านแม่ไม่อยากให้พวกเรามีชีวิตอยู่อย่างอับอายจึงต้มซุปไก่ที่ผสมสารหนู…ข้าจำได้ว่าข้ามีน้องชายคนหนึ่ง ตอนนั้นเขาร่ำเรียนวิชาอยู่ข้างนอกพอดีจึงหนีรอดไปได้ หลังจากที่ข้าตาย ความหมกมุ่นก็ยังไม่จางหายไป ข้าวนเวียนในสุสานไร้ญาติอยู่หลายวัน เมื่อกำลังจะสลายไปก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับผู้สูงส่งของนิกายสวรรค์ เขาบอกว่าข้ามีเสน่ห์ที่พบได้หนึ่งในหมื่นและจะรับข้าไป ข้าอยู่ที่นิกายสวรรค์มายี่สิบกว่าปี เห็นนายท่านที่กำลังร้องไห้ถูกอุ้มขึ้นมาบนเขาและเติบโตขึ้นทีละน้อย…”
สวี่ชีอันฟังด้วยความเพลิดเพลิน ทันใดนั้นเขาก็พบจุดบอดและพูดด้วยเสียงอันแหลมคม “อะไรนะ เจ้าตายมายี่สิบกว่าปีแล้ว!”
ซูซูบิดเอวและพูดว่า “ในแง่ของอายุ ข้าก็เป็นแม่ของเจ้าได้”
“ท่านแม่!”
“คนอย่างเจ้า ช่างไร้ยางอาย” ซูซูอับอายเล็กน้อย ก่อนที่จะตายนางยังเป็นสาวแรกรุ่นที่ยังไม่ออกเรือน แม้ว่าหลังจากที่กลายเป็นผี นางมักจะถูกเจ้านายแย่ๆ สั่งให้ยั่วยวนผู้ชาย แต่อย่างมากที่สุดก็แค่ยั่วยวน ถึงอย่างไรผีก็ไม่มีกายหยาบ
ประสบการณ์ล้วนเป็นภาพลวงตา
“เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องเหล่านี้กับข้า”
“ข้ามีความปรารถนาสองประการ หนึ่งคือได้พบน้องชายของข้าอีกครั้งและหวังว่าจะได้พบเขาในร่างกายมนุษย์เหมือนสมัยนั้น สองคือสืบสวนคดีที่ท่านพ่อเข้าไปพัวพันในสมัยนั้นให้กระจ่าง”
ในอ่างอาบน้ำ น้ำเย็นกระเพื่อมสะท้อนแสงจันทร์กระทบใบหน้าของนาง
สวี่ชีอันมีอาการใจเต้นที่หายไปนาน เป็นอาการใจเต้นที่ผู้ชายจะมีเมื่อเห็นสาวงาม พูดให้ถูกคือ เป็นความปั่นป่วนของฮอร์โมน
“เหตุใดพ่อของเจ้าถึงถูกกล่าวหา เช่นนั้นเจ้าไปกับช้า ไปกับข้าแล้วข้าจะช่วยเจ้าสืบสวนคดี บนโลกนี้ยังมีใครเข้าใจวิธีการสืบสวนคดีได้ดีไปกว่าข้าอีกหรือ” สวี่ชีอันรู้สึกว่าผีสาวตนนี้มีตาหามีแววไม่
“ข้าจำไม่ได้แล้ว” ซูซูส่ายหน้า “เรื่องในสมัยนั้น ข้าจำไม่ได้เลยสักนิดเดียว ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเหตุใดคนในครอบครัวข้าถึงตาย ผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว”
ซูซูส่ายหน้าอีกครั้ง “ท่านอาจารย์ของนายท่านเคยเชิญผู้สูงส่งของสำนักพ่อมดคนหนึ่งมาทำนายดวงชะตาให้ข้า แต่ก็ทำนายอะไรออกมาไม่ได้เลย นักทำนายคนนั้นบอกว่า นี่เกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์”
ข้อมูลในประโยคนี้มากเกินไป สวี่ชีอันตะลึงงันไปพักใหญ่
อาจารย์ของหลี่เมี่ยวเจินรู้จักคนของสำนักพ่อมดหรือ อืม คนที่ฝึกฝนระบบพ่อมดอาจจะไม่ได้อยู่สำนักพ่อมด แต่อาจจะฝึกด้วยตัวเอง…สำนักพ่อมดระดับหกเชี่ยวชาญการทำนายดวงชะตา ดังนั้นพ่อมดระดับหกจึงถูกเรียกว่านักทำนาย…ผีสาวธรรมดาตนหนึ่งจะเกี่ยวข้องกับสำนักโหราจารย์ได้อย่างไร เดี๋ยวก่อน นักทำนายเชี่ยวชาญด้านการทำนายดวงชะตา เช่นนั้นเหตุใดจึงไม่ทำนายว่าเหลียงโหย่วผิงอยู่ที่ไหน แต่กลับเข้าฝันซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยว
“นี่!”
ซูซูพองแก้มอย่างโกรธๆ “ข้ากำลังคุยกับเจ้าอยู่นะ”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ข้าก็กำลังฟังอยู่”
ซูซูเบ้ปาก “เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หากเจ้าสามารถสร้างกายเนื้อที่มีชีวิตให้ข้าได้ เป็นสนมให้เจ้าจะเป็นไรไป หากข้าอารมณ์ดี ข้าจะมอบเด็กอ้วนท้วมให้เจ้า”
“ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง ขอบคุณมาก” สวี่ชีอันกลอกตา
…
ในที่สุดก็ไล่ซูซูออกไปได้ สวี่ชีอันรู้สึกผิดเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหลอกผี ทว่าท้ายที่สุดก็ทำให้นางมีความสุข
แต่เขาตัดสินใจว่าจะชดเชยให้ซูซูโดยการสืบสวนคดีนี้ให้กระจ่าง หลังจากที่กลับไปเมืองหลวง เขาจะพยายามสืบสวนให้ดีที่สุด
“ผู้ชายใจอ่อนเกินไป” สวี่ชีอันนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง เขาตั้งใจจะบรรเทาความเหนื่อยล้าผ่านการตระหนักรู้และการฝึกลมหายใจและดึงตัวเองกลับมาจากเส้นขอบของความตาย
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ เขาก็ใจสั่นและเกือบเสียชีวิตลงในที่นั้น
“ไอ้เวรเอ๊ย…” สวี่ชีอันก่นด่าพลางดึงกระจกหินหยกบานเล็กออกมาจากใต้หมอน
หมายเลขสอง ‘ขออภัยที่รบกวนทุกคนยามดึก ข้าเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากนิดหน่อยในอวิ๋นโจว จึงอยากขอความช่วยเหลือจากทุกคน’
แม้ว่าหมายเลขสองจะไม่ใช่หญิงสาวที่ฉลาดหลักแหลม แต่นางก็รู้จักใช้ทรัพยากรที่อยู่ในมือ…ในกลุ่มสนทนาหนังสือปฐพี นอกจากหมายเลขห้า สติปัญญาของคนอื่นๆ ก็ไม่เลว แม้แต่ไต้ซือเหิงหย่วนผู้ขมขื่นที่มีความแค้นฝังลึก อันที่จริงก็เป็นคนฉลาด…หากไม่ใช่เพราะตัวตนของข้า นักเรียนของสำนักอวิ๋นลู่ก็ไม่ควรรู้รายละเอียดของคดีอวิ๋นโจว และข้าก็อยากขอความช่วยเหลือจากสมาชิกของพรรคฟ้าดินผ่านชิ้นส่วนของหนังสือปฐพีมานานแล้ว…สวี่ชีอันอยากบอกเหลือเกินว่า ‘หมายเลขสอง เจ้าทำได้ดีมาก’
…………………………………………………
[1]เค้กพันชั้น ใช้เพื่ออธิบายหรือเยาะเย้ยคนอวดดี
[2] วาดรูปแป้งทอด เป็นการวาดมโนภาพขึ้นในใจเพื่อปลอบโยนตนเอง