ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 218 ความเชื่อใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
บทที่ 218 ความเชื่อใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
“มากันเช้าเสียจริง” ผู้ตรวจการจางเอ่ยพลางหัวเราะชอบใจ แล้วออกไปพร้อมกับเจียงลวี่จง
สวี่ชีอันไม่ได้ตามไป ทว่าตะโกนเรียกโหรชุดขาวทั้งสามที่ไม่ชอบทานอาหารร่วมโต๊ะกับทหารและเก็บตัวทานอาหารมื้อเช้าอยู่ในห้องออกมา
“คุณชายสวี่มาแล้ว”
โหรชุดขาวทั้งสามลนลานลุกขึ้น เชิญสวี่ชีอันนั่งอย่างนอบน้อม
“ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้า…” สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ย “นอกจากพวกเจ้าทั้งสาม สำนักโหราจารย์ของพวกเรายังมีใครมาอวิ๋นโจวด้วยกันอีก”
เขาจงใจกล่าวว่า ‘สำนักโหราจารย์ของพวกเรา’ เพื่อเพิ่มความเห็นพ้อง
คนชุดขาวทั้งสามได้แต่หันมองหน้ากันพร้อมกะพริบตาปริบ “ไม่มีแล้ว มีเพียงพวกเราสามคน”
สวี่ชีอันตีหน้าขรึม “พวกเจ้าดูถูกข้างั้นหรือ”
“คุณชายสวี่พูดอะไรน่ะ มีเพียงพวกเราสามคนจริงๆ” โหรชุดขาวอธิบาย
ไม่รู้ว่าการมองโหรด้วยวิชามองปราณจะได้ผลหรือไม่…ตาต่อตาฟันต่อฟัน…สวี่ชีอันพยักหน้า “รู้แล้ว”
เขาก็ลองคิดๆ ดูแล้ว เจ้าน้องชายทั้งสามไม่ถึงกับโกหกเขา เหล่าโหรจะต้องมีวิธีกำบังดวงชะตาของตนเป็นแน่ อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
“ตอนนี้มีขุนนางมาเยี่ยมเยียนผู้ตรวจการจาง พวกเจ้าทั้งสามจับตามองอยู่บนตึก คอยตรวจดูการเปลี่ยนแปลงดวงชะตาของพวกเขา จากนั้นก็มาบอกข้า”
เมื่อมอบหมายงานเสร็จสิ้น สวี่ชีอันก็พาคนชุดขาวทั้งสามไปซ่อนตัวที่มุมบันไดชั้นสอง
…
ภายในห้องโถงผู้ตรวจการจางได้ต้อนรับขุนนางทุกระดับจากเมืองไป๋ตี้ ทว่าทั้งหมดเป็นคนที่มีระดับในเมืองพอสมควร ส่วนใหญ่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่แล้ว
เมื่อเกิดเรื่องใหญ่เช่นนั้นขึ้น ตราบใดที่ไม่ได้หูหนวกตาบอดก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับรู้ ไหนจะขุนนางในเมืองที่จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของท่านผู้ตรวจการอย่างใกล้ชิดเหล่านี้
หลังจากกล่าวทักทาย สมุหเทศาภิบาลซ่งที่อยู่ในชุดคลุมแดงก็ตรงเข้าประเด็นสำคัญ “เช้าวันนี้ได้ยินพลทหารรายงานว่า เมื่อคืนท่านผู้ตรวจการตรงไปที่สำนักผู้บัญชาการเพื่อจับกุมใต้เท้าหยางงั้นหรือ”
สมุหเทศาภิบาลซ่งที่โหนกแก้มยกสูงเล็กน้อยและยิ้มจนตาหยี บัดนี้ดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองผู้ตรวจการจางไม่กะพริบตา
ขุนนางคนอื่นก็เช่นกัน
ผู้ตรวจการจางพยักหน้าพร้อมเอ่ยเสียงขรึม “พรรคฉีสมคบคิดกับสำนักพ่อมดในการส่งยุทธปัจจัย ข้าจับกุมเขากลับไปจุดพักเปลี่ยนม้า บัดนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน”
“เอ่อ…” สีหน้าเหล่าขุนนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สมุหเทศาภิบาลซ่งคิ้วขมวด ลดเสียงลงพร้อมเอ่ยชี้แนะอย่างจริงใจ “ท่านผู้ตรวจการควรระมัดระวังเสียหน่อย”
เขาชะงักก่อนจะโค้งตัวให้ตนเข้าไปใกล้ผู้ตรวจการจางมากขึ้น แล้วเอ่ยต่อ “ใต้เท้าหยางเป็นผู้บัญชาการ หรือใต้เท้าจะมีหลักฐานชี้ชัดงั้นหรือ มิฉะนั้นเกรงว่ายากจะได้รับการเลื่อมใส”
แม้จะใช้บารมีของผู้ตรวจการ คิดจะแตะต้องผู้บัญชาการขั้นสองผู้น่าเกรงขามก็ต้องมีหลักฐานชี้ชัด การจับคนโดยปราศจากหลักฐานเป็นการฝ่าฝืนข้อห้าม
ประการแรก วงราชการอวิ๋นโจวคงไม่เห็นด้วย ประการที่สอง หน่วยทหารใต้บังคับบัญชาของสำนักผู้บัญชาการก็คงไม่เห็นด้วย
หากเป็นอย่างประการแรกยังดีหน่อย มากสุดแค่ขยับปากพูด ทว่าอย่างหลังเป็นกลุ่มนิสัยอันธพาลทหาร จะต้องนำหลักฐานออกมาแน่นอน หากไม่มีการชี้แจงจะเกิดความวุ่นวายขึ้น ทว่าผู้ตรวจการจางไม่ได้รีบร้อนแสดงหลักฐาน เพียงยิ้มพร้อมเอ่ย
“ท่านทั้งหลาย พวกท่านเป็นขุนนางอยู่ที่อวิ๋นโจวมานานแรมปี คิดอย่างไรกับผู้บัญชาการหยางชวนหนานผู้นี้”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ สีหน้าท่าทางของขุนนางทั้งหลายก็ต่างกันออกไป แล้วแสดงความเห็นของตน
สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบาอยู่ที่มุมบันได “ดู ดูให้ละเอียด”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็ถามขึ้นอีก “ใครพูดโกหก ผู้ที่ดูท่าทางลับๆ ล่อๆ ทางด้านซ้าย ข้าคิดว่าเขาไม่ได้เรื่อง คนที่สองแถวหลัง เห็นก็รู้ว่าไม่ใช่คนดี…”
เมื่อกล่าวจบก็พบว่าโหรชุดขาวทั้งสามจ้องมองเขาอยู่อย่างเงียบๆ สวี่ชีอันเอ่ยอย่างไม่สบายใจ “มองข้าทำไม พูดมา”
ริมฝีปากของโหรชุดขาวอ้ำๆ อึ้งๆ สักพัก “ไม่มีสักคนที่พูดความจริง…”
สวี่ชีอันอ้าปาก ไม่เอ่ยสิ่งใดออกไปในคราแรก สัจธรรมของโลกเหลือเกินเหนียวแน่นเหลือเกิน นี่แหละวงราชการ!
ที่เรียกว่าไม่มีความจริงสักประโยค หมายถึงคำพูดจากปากเหล่าขุนนางในวงราชการกับสิ่งที่คิดอยู่ในใจต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ทว่านี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเป็น ‘มนุษย์หมาป่า’ เพราะความจอมปลอมในวงราชการไม่ควรมีมากเกินไป พูดพร่ำไปสิบประโยค เป็นเท็จประโยคหนึ่ง ในวิชามองปราณของสำนักโหราจารย์ สิ่งที่พูดนั้นก็คือคำโกหก
วิชามองปราณก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ไม่ได้แม่นยำทุกวินาทีเฉกเช่นนาฬิกาน้ำ
ต่อมาผู้ตรวจการจางก็กล่าวเรื่องสมุดบัญชีกับเหล่าขุนนาง ทว่าเขาไม่ได้เปิดเผยอย่างชัดเจน
เหล่าขุนนางแลกเปลี่ยนสายตากันอย่างคลุมเครือ ขบวนผู้ตรวจการเพิ่งจะมาอวิ๋นโจวนานเท่าไร ไม่ถึงห้าวัน สามวันในนั้นยังคอยสังเกตการณ์อยู่ข้างนอก
แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ยังคงคว้าหลักฐานกระทำผิดของหยางชวนหนานไปได้ภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่วันงั้นหรือ?
ในคราแรกในใจของเหล่าขุนนางเย็นเยือก สามปีข้าหลวงผู้ซื่อสัตย์ หนึ่งแสนเกล็ดหิมะเงิน[1] ผู้ใดจะกล้าบอกว่าตนไม่มีปัญหาอันใดเล่า
หากผู้ตรวจการจางลงมือพุ่งเป้าไปที่พวกเขา คนที่นั่งอยู่ล้วนหนีไม่พ้น
ขุนนางคนหนึ่งกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถาม “ภายใต้การดูแลของท่านผู้ตรวจการมีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นมากมาย ไม่ทราบว่าใต้เท้าท่านใดสร้างคุณูปการยิ่งใหญ่นี้หรือ”
ในขณะที่สนทนาเขาก็กวาดสายตามองหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลรอบๆ
ขุนนางคนอื่นมองสำรวจหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่อย่างสงบเยือกเย็น ล้วนกำลังคาดเดา
สายตาของสมุหเทศาภิบาลซ่งเป็นประกายเล็กน้อยพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจำได้ว่าฆ้องทองแดงที่ชำนาญเรื่องทำไร่ไถนาผู้นั้นก็ไม่ได้ติดตามผู้ตรวจการไปสังเกตการณ์ในวันนั้น”
คำพูดนี้ได้เตือนสติทุกคน เหล่าขุนนางระดับสูงพลันค้นหาร่างของสวี่ชีอันอย่างมีจุดมุ่งหมาย
บางคนก็มองไปทางผู้ตรวจการ
“เป็นคนผู้นี้ไม่ผิดแน่! ” ผู้ตรวจการจางพยักหน้า
อันที่จริงด้วยสติปัญญาของขุนนางที่นั่งอยู่ แม้จะไม่มีการยืนยันจากผู้ตรวจการจาง พวกเขาก็คาดเดาได้เป็นส่วนใหญ่ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่รักษาการณ์จุดพักเปลี่ยนม้ามีไม่มาก แต่มีแค่ฆ้องทองแดงผู้นั้น ตำแหน่งหน้าที่ไม่สูง ทว่ากลับได้นั่งอยู่ข้างกายท่านผู้ตรวจการ
เมื่อย้อนนึกถึงมีดพกที่ต่างจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นอีกครั้ง ทุกชนิดมีความพิเศษ จึงเดาว่าเป็นฆ้องทองแดงที่มีนามว่าสวี่ชีอันผู้นั้นได้ไม่ยาก ความสามารถทางการค้าที่แข็งแกร่ง เป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของขบวนผู้ตรวจการในครั้งนี้
“อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันปรากฏตัวได้ถูกเวลา สิ้นเสียงกระแอมก็มายืนอยู่ด้านหลังผู้ตรวจการจางอย่างเงียบๆ
ตอนนั้นก็เห็นความแตกต่างของเขา นึกไม่ถึงว่าผู้บัญชาการผู้น่าเกรงขามจะตกไปอยู่ในมือของฆ้องทองแดงได้…
ในสายตาของขุนนางจำนวนไม่น้อยทั้งตื่นตัวและยำเกรง
…
ที่ระเบียงทางเดินชั้นสอง สองมือของหลี่เมี่ยวเจินจับราวเหล็กเอาไว้และกวาดสายตามองทุกคนด้านล่าง ได้ยินซูซูข้างกายเบะปากเอ่ย “ก็แค่โอ้อวดบารมี”
ในมุมของพวกนางสามารถมองเห็นร่างของสวี่ชีอันกับโหรชุดขาวที่ซ่อนตัวอยู่ได้อย่างพอดี
ความดีความชอบในการคลี่คลายคดีเมื่อครู่ก็ถูกสมุหเทศาภิบาลซ่งเปิดเผยอย่างคลุมเครือ หลังจากผู้ตรวจการยอมรับ ไอ้ผู้ชายเฮงซวยก็รีบร้อนจัดเสื้อผ้าหน้าผม แล้วออกแสดงตัวด้วยท่าทางน่าเกรงขามเป็นสง่า
ซูซูก็ไม่รู้จักคำว่า ‘เสแสร้งแกล้งทำ’ เช่นกัน มิฉะนั้นนางคงตีความคำคำนี้ได้อย่างแม่นยำ
“ผู้ชายล้วนชอบชื่อเสียง เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์”
ตอนนี้หลี่เมี่ยวเจินค่อยๆ มองสวี่ชีอันในมุมใหม่ คิดว่านอกเสียจากลามกแล้วก็ไร้ที่ติในทุกด้าน ประพฤติตัวซื่อสัตย์ พูดจาน่าฟัง ยังชำนาญการคลี่คลายคดีอีก ความสามารถก็ล้ำเลิศ
“เจ้าดูเหมือนจะมีอคติกับเขามากเหลือเกิน ทว่าก็ไม่ใช่ว่าเกลียดเขาจริงๆ” หลี่เมี่ยวเจินชำเลืองมองปีศาจสาวก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย
“แต่ก่อนเจ้าล้วนดูหมิ่นผู้ชาย ตอนนี้รู้สึกเหมือนเป็นคู่รักคู่แค้นกับเขาไปเสียแล้ว”
ซูซูไม่ยอมรับและรีบแก้ตัว “ข้าก็แค่โกรธ แต่ว่านายท่านดูเหมือนจะประทับใจเขายิ่งนัก”
หลี่เมี่ยวเจินยอมรับอย่างใจกว้าง “สวี่ชีอันผู้นี้ไม่เลวเลยจริงๆ”
ซูซูจึงเอ่ย “เมื่อคืนเขารับปากข้าว่าจะช่วยข้าปั้นกายเนื้อใหม่ ทว่ามีเงื่อนไขหนึ่งข้อ”
“เงื่อนไขอะไร”
“เป็นสนมให้เขาสองสามปี”
“สวี่ชีอันผู้นี้นิสัยใจคอชั่วร้ายเกินจะเยียวยาอย่างแท้จริง”
หลังจากการหารือสิ้นสุด ขุนนางทั้งหลายคอยติดตามผู้ตรวจการจางไปที่สำนักผู้บัญชาการ จากนั้นก็ต้องตรวจบัญชีเพื่อยืนยันว่าสมุดบัญชีเป็นของจริงหรือปลอม
เรื่องการตรวจบัญชีนี้ สวี่ชีอันเป็นคนนอกจึงไม่ได้ตามไปร่วมประสมโรง แล้วถูกจัดไปอยู่ที่จุดพักเปลี่ยนม้า เฝ้าหยางชวนหนานกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ
เมื่อคนอื่นๆ ออกไปหมดแล้ว สวี่ชีอันก็ยืนอยู่ในห้องโถง เงยหน้ามองสองสาวงามบนชั้นสองพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อไรพวกเจ้าทั้งสองจะไป ไม่ใช่ว่าจะสบโอกาสตอนที่ฆ้องทองคำเจียงไม่อยู่ลักพาตัวหยางชวนหนานไปหรอกหรือ”
ซูซูทำเสียงกระเง้ากระงอด “นายท่านเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหิน รักษาสัจจะเป็นที่สุด”
สวี่ชีอันยักไหล่ “ความเชื่อใจระหว่างมนุษย์ด้วยกัน ความจริงช่างเปราะบาง เพียงสัมผัสก็ขาดเฉกเช่นกระดาษ”
ซูซูเถียงและโต้กลับด้วยเสียงดัง
“หากเจ้าไม่เชื่อ ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็น” สวี่ชีอันกวักมือ
ซูซูจับราวเหล็กและลอยลงมาที่ห้องโถงอย่างแผ่วเบามายืนอยู่ตรงหน้าสวี่ชีอัน
สวบ…สวี่ชีอันใช้ปลายนิ้วจิ้มที่หน้าอกของนางเหมือนกับเจาะกระดาษแผ่นหนึ่ง
“เจ้า ไอ้ผู้ชายเฮงซวย ประเดี๋ยวแม่จะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้” ซูซูหัวเสีย
“ดูสิ ข้าพูดถูกใช่หรือไม่”
ซูซูพ่นพลังหยินโจมตีใส่สวี่ชีอันอย่างบ้าคลั่ง ทว่าเมื่อทหารตื่นตัว การต่อสู้ระยะประชิดจึงเหนือกว่าระบบอื่น ดังนั้นจึงหลบเลี่ยงพลังหยินทั้งหมดได้อย่างปราดเปรียว แต่บนร่างของนางกลับมีรูปรากฏออกมาไม่หยุดแทน ไม่ว่าจะหน้าอก เอวด้านหลัง หรือท้องน้อย…
ร่างนี้ก็ถูกเล่นงานจนพังอย่างรวดเร็ว
หลี่เมี่ยวเจินจำต้องหยิบหุ่นกระดาษออกมาอีกครั้งเพื่อทำที่สถิตร่างให้ซูซู ปีศาจไม่มีร่างแท้ หากตากแดดจ้าในตอนกลางวัน เบาสุดก็พลังชีวิตเสียหายสาหัส หนักสุดก็เป็นธุลีมลายสิ้น
มียันต์ของลัทธิเต๋าวาดอยู่มนุษย์กระดาษ ให้ความอบอุ่นกับปีศาจ ปิดผนึกพลังหยิน
“เอ๊ะ ท่านแม่ทัพหลี่ยังพกหุ่นกระดาษติดตัวอยู่หรือ ท่านซ่อนไว้ตรงไหนกัน” สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นสงสัย
“ข้าย่อมมีวิธีการของข้า” หลี่เมี่ยวเจินบอก
“วิธีการแบบใด ใส่เขาพระสุเมรุลงในเมล็ดมัสตาร์ด[2]ในตำนานงั้นหรือ” ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกโพลงคล้ายกับคนบ้านนอกที่ไม่เคยพบเจอโลกมาก่อน
ใส่เขาพระสุเมรุลงในเมล็ดมัสตาร์ดคืออะไร…หลี่เมี่ยวเจินตะลึงงัน ก่อนจะรู้สึกเหมือนได้รับความเลื่อมใสจากสวี่ชีอัน รู้สึกพึงพอใจยิ่ง จึงพยักหน้าเอ่ย
“ก็คล้ายกับเวทมนตร์”
“ท่านแม่ทัพหลี่สมกับเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์” สวี่ชีอันชื่นชม
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียง ‘อืม’ อย่างสำรวม
เจ้าก็พกไปเถอะ แค่เศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเท่านั้นเอง ยิ่งตอนนี้เจ้าพกมากเท่าไร ในอนาคตก็จะยิ่งท้ออย่างถึงที่สุด สวี่ชีอันยิ้มออกมาจากใจจริง
ยามบ่ายสวี่ชีอันกำชับสองสาวงามให้ทานอาหารให้เรียบร้อย คาดว่าผู้ตรวจการจางจะกลับมาในไม่ช้า
สุดท้ายไม่ทันได้รอผู้ตรวจการ พลทหารรักษาเมืองก็พุ่งเข้ามาที่จุดพักเปลี่ยนม้าอย่างรวดเร็วพร้อมตะโกน “ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญต้องการพบท่านผู้ตรวจการ!”
กองทหารพยัคฆ์ทะยานขวางเขาเอาไว้พร้อมตำหนิเสียงดัง “ห้ามบุกรุกจุดพักเปลี่ยนม้า”
พลทหารรักษาเมืองรีบเอ่ยเสียงดัง “ท่านผู้ตรวจการ ข้าน้อยมีเรื่องเร่งด่วนมากต้องการพบ”
การเคลื่อนไหวในลานทำให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลภายในจุดพักเปลี่ยนม้าตื่นตกใจ ฆ้องเงินผู้หนึ่งนำสองฆ้องทองแดงออกมาก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “ท่านผู้ตรวจการไม่อยู่ มีธุระอะไรให้บอกข้า”
พลทหารรักษาเมืองกลืนน้ำลายก่อนจะรีบเอ่ย “กองกำลังทหารคุ้มกันรวมตัวกันอยู่ที่นอกเมืองทางใต้ ข่มขู่ว่าหากท่านผู้ตรวจการไม่ออกไปพบพวกเขา พวกเขาจะบุกเข้าเมืองเดี๋ยวนี้”
………………………………………
[1] สามปีข้าหลวงผู้ซื่อสัตย์ หนึ่งแสนเกล็ดหิมะเงิน หมายถึง การเป็นข้าราชการที่ซื่อสัตย์ไม่กี่ปีก็ได้เงินมหาศาลดุจเกล็ดหิมะแล้ว ซึ่งเป็นคำที่ใช้เสียดสีข้าราชการในสมัยก่อนที่อ้างตนว่าเป็นข้าราชการผู้ใสสะอาดแต่ความจริงขูดรีดประชาชน
[2] ใส่เขาพระสุเมรุลงในเมล็ดมัสตาร์ด เป็นการเปรียบเปรยว่านำสิ่งของขนาดใหญ่เข้าไปในสิ่งของขนาดเล็กจิ๋ว โดยเขาพระสุเมรุเป็นภูเขาที่เป็นศูนย์กลางของโลกหรือจักรวาลจึงนำมาเปรียบเสมือนเป็นสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ส่วนเมล็ดมัสตาร์ดนำมาเปรียบเสมือนเป็นสิ่งที่มีขนาดเล็กจนมองไม่เห็น