ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 220-1 ปลอบโยนแล้วแทงข้างหลัง
บทที่ 220-1 ปลอบโยนแล้วแทงข้างหลัง
แม่เจ้าโว้ย จะตายอยู่แล้ว…สภาพของสวี่ชีอันในตอนนี้เหมือนกับอดนอนมาครบเจ็ดสิบสองชั่วโมงแล้วถูกบังคับให้วิ่งหนึ่งพันเมตร
หัวใจเต้นรัวบ้าคลั่งอยู่ขนเส้นขอบที่ใกล้จะหลุดขีดจำกัด
โชคดีที่พื้นฐานของระดับหลอมจิตของเขาแข็งแรง อีกทั้งความยืดหยุ่นของร่างกายและความทนทานก็แข็งแกร่งมาก ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงต้องไปต่อแถวดื่มน้ำแกงยายเมิ่งแล้ว…ไม่สิ ควรจะระเบิดตายแล้วยิ้มแย้มจากโลกไปตั้งแต่วันที่สี่หรือห้าของการฝึกตนแล้วด้วยซ้ำ
อย่างน้อยก็แลกมากับความเคารพของอีกฝ่ายจนเจรจากันได้…ข้าเกลียดที่สุดคือการใช้กำลังและไม่ให้ความร่วมมือ ทุกคนสุภาพกันหน่อยแล้วมานั่งดื่มชาพูดคุยกันไม่ดีกว่าหรือ สวี่ชีอันคิดในใจแล้วแสร้งทำท่าทางเรียบเรื่อยสบายใจ เขาตะโกนบอกว่า
“แม่ทัพสวี รู้หรือไม่ว่าผู้บัญชาการหยางชวนหนานเกี่ยวพันกับคดีใด”
สวีหู่เฉินพยักหน้าแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เรื่องนี้แพร่ไปทั่ววงราชการในอวิ๋นโจวแล้ว แต่ท่านผู้บัญชาการถูกใส่ร้าย”
“โดนใส่ร้ายหรือไม่ท่านก็พูดไม่ได้หรอก ใต้เท้าผู้ตรวจการก็ยังพูดไม่ได้ ต้องสืบดูจึงจะรู้” สวี่ชีอันอธิบายอย่างอดทน
“ใต้เท้าผู้ตรวจการมาที่นี่ก็เพราะคดีนี้ ขณะนี้เรามีหลักฐานที่ไม่เอื้ออำนวยต่อใต้เท้าหยางอยู่จริงๆ แต่ใต้เท้าผู้ตรวจการไม่ได้บุ่มบ่ามตัดสินทันที เขาได้ไปยังกองบัญชาการทหารเพื่อตรวจสอบหลักฐานแล้ว ใต้เท้าสวีกลับนำทหารสามพันนายเข้าประชิดเมืองโดยไม่สนอะไร นี่มันเป็นการบีบให้ใต้เท้าหยางต้องตายเลยนะ”
สวีหู่เฉินแค่นเสียงเย็น “เจ้าอย่ามาสวมหมวกให้แม่ทัพอย่างข้าเลย เมื่อคืนที่กองบัญชาการทหารมีข่าวลับแพร่ออกมาว่าผู้ตรวจการได้นำกองกำลังบุกจวนของท่านผู้บัญชาการ ใต้เท้าหยางถูกฆ้องทองคำคนหนึ่งทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และใกล้จะหมดลมหายใจ แม้ว่าใต้เท้าหยางจะมีความผิดจริงๆ เช่นนั้นก็ต้องให้ไต่สวนตามกระบวนการ พวกเจ้ากลับไม่ไปศาล แต่บุกเข้าจวนเช่นนี้ ไม่ได้คิดจะนำตัวไปทรมานแล้วบีบให้รับสารภาพหรอกหรือ”
เจ้าจะไปรู้อะไร นี่เขาเรียกว่าปฏิบัติการฉับพลันโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ตั้งตัวต่างหาก…หากหยางชวนหนานเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้เขาคงก่อกบฏไปแล้ว
“ใต้เท้าผู้ตรวจการทำสิ่งใดย่อมมีกฎเกณฑ์ของท่าน ข้ารู้ว่าท่านไม่กลัวตาย แต่ยังคงต้องเตือนสติแม่ทัพสวีหน่อย ท่านคิดจะประท้วงด้วยกำลังย่อมทำได้ แต่หากบุ่มบ่ามกระทำการใด ขอให้รู้ไว้ว่าทหารสามพันนายไม่มีทางทำอะไรเมืองไป๋ตี้ได้แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับอวิ๋นโจว”
สวี่ชีอันพูดจบก็เห็นสวีหู่เฉินเบิกตาโต ราวกับถูกตนกระตุ้นจนโมโหขึ้นมาแล้ว เขาจึงเอ่ยเสริมด้วยท่าทางสบายๆ
“แต่ท่านต้องคิดแทนใต้เท้าหยางด้วย เขายังอยู่ดีอยู่ที่จุดพักม้า ความผิดยังไม่ทันได้เริ่มจริงๆ จังๆ แม่ทัพสวีก็จะให้เขาขึ้นศาลล่วงหน้าก่อนหรือ”
สวีหู่เฉินขมวดคิ้ว ลังเลอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีท่าทีมุทะลุบุ่มบ่ามเหมือนเมื่อครู่แล้ว
“ดูเอาเถอะ คดียังสืบไม่ทันกระจ่าง แม่ทัพสวีก็เป็นเช่นนี้แล้ว เมื่อใต้เท้าผู้ตรวจการไปรายงานต่อราชสำนัก กล่าวว่าหยางชวนหนานใช้กำลังทัพมาข่มขู่…ถึงตอนนั้น คนเขาจะไม่ได้มาตรวจการแล้วนะ” สวี่ชีอันขู่เสร็จก็เอ่ยปลอบ
“แม่ทัพหลี่สนิทมีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านผู้บัญชาการ คำพูดของข้าท่านอาจไม่เชื่อ แต่ก็น่าจะเชื่อคำพูดนางนะ”
เมื่อเห็นทั้งสองฝ่ายหันมามองตน หลี่เมี่ยวเจินก็เอ่ยอย่างครุ่นคิด “สถานการณ์ปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยต่อท่านผู้บัญชาการจริงๆ แต่การใช้กำลังบีบคั้นมิใช่หนทางที่ถูกต้อง แม่ทัพสวีอย่าได้วู่วาม ให้เวลาใต้เท้าผู้ตรวจการสักหน่อยเถิด”
หยางชวนหนานและนางเป็นเพื่อนร่วมรบกัน ใจของหลี่เมี่ยวเจินย่อมเอนเอียงไปทางหยางชวนหนาน แต่การแก้ไขปัญหาจะต้องมีกฎมีเกณฑ์ หากใช้กำลังแล้วมีประโยชน์จริงๆ หลี่เมี่ยวเจินคงลองใช้ตั้งแต่แรกไปแล้ว
แต่ปัญหาคือมันใช้ไม่ได้ กองบัญชาการทหารทำได้เพียงระดมกำลัง ‘ทหารคุ้มกันผู้บัญชาการ’ ภายใต้สังกัดเมืองไป๋ตี้เท่านั้น แม้ว่าหน่วยกองอื่นๆ ที่อยู่ในสังกัดของอำเภอต่างๆ ของอวิ๋นโจวจะอยู่ในการกำกับดูแลของผู้บัญชาการ แต่ผู้บัญชาการไม่มีอำนาจสั่งให้ทหารออกรบ เมื่อมีสงคราม ราชสำนักจะมีคำสั่งชั่วคราวออกมาเอง
เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายอย่าง กองทัพนางแอ่นเหินของหลี่เมี่ยวเจินจึงถือกำเนิดขึ้น
แค่อาศัยทหารสามพันห้าพันนายของ ‘ทหารคุ้มกันผู้บัญชาการ’ พวกนี้ ไม่มีทางสั่นสะเทือนอำนาจของใต้เท้าผู้ตรวจการได้อยู่แล้ว จึงเป็นการสละชีพโดยเปล่าประโยชน์เท่านั้น
“ฮึ่ม! แม่ทัพอย่างข้ารอได้ แต่ถ้าหากผู้ตรวจการจางไม่ได้มอบคำตอบที่น่าพึงพอใจให้กับข้า แม้ว่าข้าจะยอมรับ แต่พี่น้องหลายพันคนที่อยู่ใต้บังคับบัญชาก็อาจจะไม่ยอมรับ” สวีหู่เฉินโอนอ่อนผ่อนปรนลงแล้ว
เฮ้อ…สำเร็จ! สวี่ชีอันถอนหายใจโล่งอก
เมื่อต้องเจอกับความขัดแย้งเช่นนี้ อย่าได้บุ่มบ่ามใจร้อนเป็นอันขาด ต้องรู้จักไกล่เกลี่ยประนีประนอม หากทำแบบที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ คิดจะทำล่ะก็ เรื่องนี้คงวุ่นวายไปกันใหญ่แล้ว
นักสืบมือทองแซ่สวี่ที่ชอบของฟรีเป็นผู้ต่อต้านสงครามอยู่แล้ว หากทำแบบนั้นจะมีคนตายมาก อีกอย่างเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สงครามมาแก้ไขปัญหาด้วยซ้ำ
ส่วนที่ว่าต่อไปจะจัดการอย่างไร ก็ต้องมอบให้ใต้เท้าผู้ตรวจการเป็นคนปวดหัวแทน
…
อีกด้านหนึ่ง ณ กรมบัญชาการทหาร
ผู้ตรวจการจางที่เพิ่งจะตรวจบัญชีเสร็จยังคงโมโหอยู่ เขาตบโต๊ะก่นด่าบรรดาขุนนางทั้งหลาย “สวะ เป็นพวกสวะไร้ประโยชน์กันทั้งหมดเลย หยางชวนหนานผู้นั้นสมควรตายนัก ต่อให้เขาจะไม่ใช่ผู้บงการเบื้องหลัง แต่ความผิดที่ละเลยหน้าที่ก็ยังทำให้เขาถูกไล่ออกและโดนเนรเทศอยู่ดี พวกเจ้าก็ด้วย กองบัญชาการทหารลักลอบส่งยุทธปัจจัยให้โจรภูเขา จำนวนมากมายน่าสะเทือนขวัญเช่นนี้ ทั้งวงราชการอวิ๋นโจวไม่มีใครสังเกตเห็นเลยหรืออย่างไร สมควรตายทั้งนั้น”
จากการตรวจบัญชีทำให้พบอย่างน่าตะลึงว่าเกือบหนึ่งในสี่ของยุทธปัจจัยที่ที่กรมโยธาส่งให้อวิ๋นโจวในทุกๆ ปีนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ในนั้นมีทั้งอาวุธหน้าไม้ ดินปืน ระเบิด และแร่เหล็กต่างๆ
ขุนนางทั้งหมดก้มหน้ารับน้ำลายของผู้ตรวจการจางเงียบๆ ไม่กล้าเอ่ยแทรก
หลังจากด่าสาดเสียเทเสียแล้ว ผู้ตรวจการจางก็ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม พอเตรียมจะเริ่มต่อยกหลัง เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังมาจากข้างนอก
ฆ้องทองแดงคนหนึ่งไม่เอ่ยรายงาน เขาพุ่งเข้ามาอย่างดุดันแล้วตะโกนบอก
“ใต้เท้าผู้ตรวจการ ทหารคุ้มกันสังกัดเมืองไป๋ตี้ประมาณสามพันนายของผู้บัญชาการหน่วยคุ้มกันสวีหู่เฉินมารวมพลกันอยู่นอกเมืองทางใต้แล้ว ข่มขู่ว่าหากท่านไม่ปล่อยคน พวกเขาจะเข้าเมืองขอรับ”
เข้าเมืองนั้นเป็นคำสละสลวย แต่ความจริงคือบุกเมือง
ผู้ตรวจการจางผุดลุกขึ้นด้วยความตกใจ ขุนนางในที่นั่นสิบกว่าคนก็พลันโกลาหลขึ้นมา
“เรื่องตั้งแต่เมื่อใด สถานการณ์ตอนนี้เป็นเช่นไรแล้ว” ผู้ตรวจการจางถามติดๆ
“คำพูดของสวีหู่เฉินผู้นั้นร้ายกาจนัก จะให้ท่านไปพบเขาให้ได้ภายในครึ่งชั่วยาม ตอนนั้นเวลาก็ผ่านไปแล้ว…” ฆ้องทองแดงพูดจบก็เห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางทั้งหลายเปลี่ยนไป จึงรีบกล่าวเสริม
“สวี่ชีอันพร้อมแม่ทัพรับจ้างหลี่เมี่ยวเจินจึงออกจากเมืองไปเจรจา สถานการณ์ตอนนี้ยังไม่แน่ชัดขอรับ”
ผู้ตรวจการจางหนังศีรษะชา เขาไม่คิดเลยว่าทหารเมืองอวิ๋นโจวจะดุดันและไม่สนกฎระเบียบเช่นนี้
สภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ ทั้งตกใจและโมโห ขณะเดียวกันก็ร้อนใจและเป็นกังวล
แม้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะไขคดีได้เก่งกาจ แต่ผู้ตรวจการจางก็รู้ว่าเขาเป็นแค่เจ้าหนุ่มที่ยังขาดประสบการณ์ แม้แต่ประสบการณ์ฆ่าคนก็ยังมีน้อยนัก นับประสาอะไรกับไปรับมือพวกทหารที่ไม่คุยกันด้วยเหตุผล
“ใครให้เขาไป ใครใช้ให้เขาไป”
ผู้ตรวจการจางตบโต๊ะโมโห
ฆ้องทองแดงยู่ปาก “สวี่หนิงเยี่ยนยืนกรานจะออกหน้าเองขอรับ เดิมทีจะทำตามพวกฆ้องเงินที่จะให้พาหยางชวนหนานไปป้องกันเมืองด้วยกันแล้วรอกำลังเสริม สวี่หนิงเยี่ยนยังบอกว่า เขาจะรับผิดชอบเองขอรับ”
หากพูดกันอย่างเป็นกลาง กลยุทธ์ที่สวี่หนิงเยี่ยนหยิบยกขึ้นมานั่นปลอดภัยและแม่นยำมากกว่า ราชสำนักมักจะใช้มาตรการปลอบโยนกับพวกทหารที่ก่อจลาจล จากนั้นค่อยตัดหัวผู้นำเป็นการตักเตือน
หากไม่ต้องขยับดาบได้ก็พยายามอย่าขยับดาบเลยจะดีกว่า
แต่ว่าสำหรับผู้ตรวจการจางแล้ว เรื่องนี้อยู่เหนือขอบเขตความสามารถเฉพาะทางของสวี่หนิงเยี่ยนไปแล้ว
“ใต้เท้าซ่ง รีบแจ้งแก่กองกำลังทหารทั้งห้าเมืองให้รีบรวมกำลังไปยังเมืองทางใต้ทันที แล้วเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่ในที่ทำการปกครองแต่ละแห่งให้ไปรักษาความสงบเรียบร้อยในเมืองด้วย…”
ผู้ตรวจการจางออกคำสั่งปฏิบัติการอย่างรวดเร็วโดยไม่ตื่นตระหนก แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติที่ผู้ตรวจการผู้หนึ่งควรมี
…
“ย่ะ ย่ะ…”
ผู้ตรวจการจางควบทะยานอยู่บนม้า กระดูกแก่ๆ ของเขาแทบจะฉีกเป็นชิ้นๆ อยู่แล้ว เขาถึงขั้นไม่กล้าเอ่ยปากบ่นเจียงลวี่จงเพราะลมหนาวจะพัดเข้ามา เขากล้าตะโกนแค่ ‘ย่ะ’ สองสามคำเท่านั้น
ตามแผนเดิมของผู้ตรวจการจาง เจียงลวี่จงควรจะเร่งไปที่เมืองทางใต้ก่อน ฆ้องทองคำระดับสี่ผู้หนึ่งเหมาะจะจัดการเรื่องนี้เป็นที่สุด
แต่เจียงลวี่จงกลับซื่อสัตย์เหมือนอย่างสุนัข ไม่ยอมออกห่างผู้ตรวจการเลยแม้แต่นิด ด้วยกลัวว่าชีวิตของใต้เท้าผู้ตรวจการจะถูกนักฆ่าที่อาจซุกซ่อนอยู่ช่วงชิงไป แล้วส่งกลับมาให้แค่เลือดกองหนึ่ง
ในใจของเจียงลวี่จงก็เป็นกังวลยิ่ง ไม่ได้กังวลว่าทหารคุ้มกันจะบุกเมือง แต่กังวลถึงชีวิตสุนัขของเจ้าเด็กสวี่หนิงเยี่ยนผู้นั้น
ในฐานะที่เป็นฆ้องทองคำที่ผ่านสนามรบมาแล้ว เขารู้ดีว่ากองทัพไม่พูดกันด้วยเหตุผล พวกนั้นไม่สนหรอกว่าสวี่ชีอันจะมีชื่อเสียงน่าเกรงขามในเมืองหลวงและเคยสังหารคนที่หน้าประตูที่ทำการของกรมอาญามาแล้ว
อันที่จริงมันเป็นเพราะเรื่องเหล่านั้นอยู่ในเมืองหลวง จึงทำให้พวกคนใหญ่คนโตในท้องพระโรงจะขว้างหนูก็กลัวกระทบสิ่งอื่น
แต่ที่นี่คืออวิ๋นโจว อวิ๋นโจวที่มีเหตุโจรร้ายรุนแรง ตราบใดที่เป็นพวกมีสมองผูกไว้กับเข็มขัดกางเกง ไม่ว่าจะเป็นโจรภูเขาหรือทหาร ล้วนแต่ไม่ใช่ลูกพลับนิ่มกันทั้งนั้น
ความเป็นไปได้ที่จะฟันคนตายเพราะพูดจาไม่เข้าหูมีอยู่มากนัก
เมื่อเข้ามาใกล้เมืองทางใต้มากขึ้นเรื่อยๆ เจียงลวี่จงก็ขยับหู ตั้งใจสดับเพียงเสียงอยู่พักหนึ่งแล้วก็โล่งอก “ใต้เท้าผู้ตรวจการ ไม่ต้องรีบร้อนแล้ว ช้าหน่อยเถอะ”
ผู้ตรวจการจางไม่อยากจะเอ่ยปากพูดอะไร จึงปล่อยให้คำพูดของเจียงลวี่จงเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เมินเฉยไม่สนใจ
“การต่อสู้ยังไม่เริ่ม” เจียงลวี่จงกล่าว
“หือ”
ผู้ตรวจการจางตะลึง ลดความเร็วลงแล้วคุมบังเหียนม้าให้เปลี่ยนมาวิ่งเหยาะๆ
“จริงหรือ”
“อืม”
เจียงลวี่จงเป็นนักรบตำแหน่งระดับสูง ถ้าหากเกิดศึกดุเดือดขึ้นที่นอกเมือง เขาก็ต้องสัมผัสได้
“เหมือนว่าสถานการณ์จะนิ่งสงบอยู่นะ” ผู้ตรวจการจางถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็มองสวี่ชีอันใหม่ “สวี่หนิงเยี่ยนควบคุมสถานการณ์ได้แล้วหรือ”
เจียงลวี่จงส่ายหน้า “เมื่อไปถึงเมืองทางใต้ก็ย่อมรู้เองขอรับ”
เวลาครึ่งก้านธูปต่อมา พวกเขาก็เห็นเงาเลือนรางของกำแพงเมือง ผู้ตรวจการจางหรี่ตามองไป ทหารกองทัพป้องกันเมืองที่กำแพงเมืองเตรียมพร้อมทั้งธนูและปืนใหญ่ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูเก่งกาจ
ผู้ตรวจการจางกระทุ้งท้องม้าควบเข้าไปแล้วหยุดอยู่ข้างกำแพงเมือง ถือชายชุดข้าราชการของตนไว้ แล้วรีบขึ้นบันไดไปอย่างร้อนรน
ชุดช้าราชการสีแดงก่ำเป็นสัญลักษณ์บอกตัวตนของเขา จึงไม่มีใครกล้าขวาง
…………………………………………………