ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 226-1 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (1)
บทที่ 226-1 คืนชีพในวันไหว้วสันต์ (1)
สวี่ชีอันโมโหมาก ไม่ว่าใครที่เจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องโมโหทั้งนั้น
ถ้ารู้ว่าจะทะลวงไม่ผ่าน สวี่ชีอันคงจะพุ่งไปเอาเรื่องตั้งแต่ต้นแล้ว มือหนึ่งกุมที่คอ มือหนึ่งยกขึ้นตบ ตบไปก็ตะคอกใส่ว่า ‘ไม่ใช่บอกว่าจะช่วยข้าหรือไง เจ้าตัวหลอกลวง เอาชีวิตข้าคืนมาเลยนะ!’
เจ้าไต้ซือหน้าเหม็นนี่ทรยศต่อความไว้ใจของข้าอย่างสมบูรณ์ ข้าอุตส่าห์บอกว่าจะอุทิศร่างกายให้กับเจ้า แล้วเจ้าช่วยข้าปราบศัตรูหรือไม่เล่า ถึงแม้ระหว่างเราสองคนจะทำข้อตกลงปากเปล่ากัน แต่ก็ช่วยรักษาสัญญาหน่อยได้ไหม
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็นึกถึงเพลงเพลงหนึ่งที่เหมาะสมมากๆ
‘ความรักของฉันถูกทรยศ เธอต้องเป็นคนชดใช้หนี้นี้ แล้วฉันก็ได้รู้ความจริง พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน’[1]
ตอนนี้ข้าควรทำอย่างไร ข้าจะรอดไหม ตายแล้วจะไปเกิดใหม่หรือว่าต้องไปเข้าร่างคนอื่น โลกนี้มีการเวียนว่ายตายเกิดหรือเปล่า
สวี่ชีอันวิตกกังวล เขาสะกดกลั้นความรู้สึกทั้งหมดไว้แล้วค่อยพูดคุยปรึกษากับไต้ซือเสินซูอย่างใจเย็น
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ด่าว่าไปก็ไร้ประโยชน์ สมควรคิดว่าควรจะเผชิญหน้ากับอนาคตอย่างไรดีมากกว่า นี่ไม่ใช่ความขี้ขลาด นี่คือวิธีการของผู้ใหญ่ที่ผ่านการคิดมาแล้ว
สองตัวเลือกอย่างการกลับชาติไปเกิดใหม่หรือการเกิดใหม่ในร่างอื่นนั้น สวี่ชีอันเอนเอียงไปทางอย่างหลังมากกว่า เพราะอย่างแรกใช้เวลานานมาก
วิญญาณของผู้ใหญ่โตเต็มวัยถูกขังอยู่ในร่างเด็กทารก เขาคงเบื่อจนเป็นบ้าภายในไม่กี่ปีแน่
เมื่อสวี่ชีอันครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่ ไต้ซือเสินซูก็ลืมตาขึ้น คิ้วตาของเขาสงบนิ่ง พลางเอ่ยว่า “เหมือนเจ้ากำลังโทษข้าอยู่นะ”
ไม่ ไม่โทษเจ้า ต้องโทษข้าที่เชื่อคนผิด…สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ
“เจ้าเข้าใจเรื่องสายการฝึกทหารมากแค่ไหน” ไต้ซือเสินซูแต้มรอยยิ้มบางเบา
สวี่ชีอันครุ่นคิด
สีหน้าไต้ซือเสินซูนิ่งไปเล็กน้อย แล้วเอ่ยเสียงเรียบราวกับไม่ได้ยิน “ทหารฝึกยุทธ์เพื่อหล่อหลอมร่างกายตน เป็นการใช้กำลังคนต้านกำลังของฟ้าดิน ‘ร่างกาย’ ไม่ใช่แค่กายเนื้อเท่านั้น จิต ปราณ วิญญาณ สามอย่างนี้คือหนึ่งเดียว”
เจ้าไต้ซือหน้าเหม็นนี่ตามไม่ทันเลย เล่นด้วยไม่สนุก…สวี่ชีอันพยักหน้าทันใด “ดังนั้นแล้ว แม้ว่าไต้ซือจะถูกผนึกอยู่ในซังผอมาห้าร้อยปี แต่จิตเดิมกลับยังไม่เสื่อมสลาย เป็นเพราะหลักการนี้หรือ”
แบบนี้สิถึงจะสมเหตุสมผล ถ้าฝึกแค่ร่างกายล่ะก็ เช่นนั้นข้อบกพร่องของจอมยุทธ์ก็ชัดเจนเกินไปแล้ว แบบนี้สายการฝึกตนของลัทธิเต๋าที่ฝึกด้านจิตเดิมโดยเฉพาะนั่นจะไม่เข้าครองร่างจอมยุทธ์ได้ทุกชั่วขณะเลยหรือ
แม้ว่าสายการฝึกยุทธ์จะไม่ได้อลังการเหมือนสายอื่นๆ แต่ในช่วงหลัง สัมผัสรับรู้จะเสถียรที่สุด อย่างน้อยก็เสถียรกว่าลัทธิเต๋า
ดูสิว่าลัทธิเต๋าสามนิกายมีคุณธรรมอะไร ทำอะไรทำก็ไม่ได้เลย เป็นพวกที่จะล่มสลายเป็นอันดับแรก
ไต้ซือเสินซูพยักหน้า “แต่ในระดับที่ต่ำกว่าขั้นสาม ทหารจะมุ่งเน้นไปที่การฝึกกายเนื้อและลมหายใจเพื่อหลอมปราณ มีเพียงระดับหลอมวิญญาณขั้นเจ็ดเท่านั้นที่จะหล่อหลอมจิตเดิม”
เมื่อฟังถึงตรงนี้ สวี่ชีอันก็รับรู้ถึงความผิดปกติทันที ในเมื่อจิต ปราณ วิญญาณทั้งสามอย่างนี้เท่าเทียมกัน เช่นนั้นเหตุใดมีแค่ขั้นเจ็ดที่หล่อหลอมเพียงจิตเดิมเล่า
“ตอนนี้เจ้ารู้ความสำคัญของระดับหลอมวิญญาณหรือไม่” ไต้ซือเสินซูอธิบาย
“ทหารระดับหลอมวิญญาณทั่วไปเพียงคลำถึงขีดจำกัดเบื้องต้นเท่านั้น ระดับจึงด้อย เมื่อทะลวงขีดจำกัดอย่างไม่หยุดยั้งให้ถึงที่สุด ระดับก็จะอยู่สูง ยิ่งเจ้าวางรากฐานในขั้นตอนนี้ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ ในอนาคตเมื่ออยู่ในขั้นที่สูงขึ้น เจ้าก็จะยิ่งมีพลังล้ำลึกขึ้น”
“ไต้ซือ หลอมวิญญาณขั้นเจ็ดนั้นเป็นพื้นฐานให้ระดับใดหรือ” สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นมาในใจ
“ขั้นสองผสานเต๋า”
สำหรับข้ามันยังอยู่ห่างไกลมาก ชีวิตนี้จะไปถึงขั้นสูงขนาดนั้นได้หรือไม่ก็พูดยาก…สวี่ชีอันลอบก่นด่าอยู่ในใจ ความจริงก็คือถึงอย่างไรข้าก็ต้องตาย
เขารู้สึกว่าการที่ตนต้องชดใช้ด้วยชีวิตเพื่อเป็นรากฐานให้กับขั้นสองที่เป็นเรื่องเพ้อฝัน แบบนี้ออกจะเสียเปรียบเกินไปแล้ว
“ตายเพื่อมีชีวิต หากไม่ตาย จะมีชีวิตได้อย่างไร” ไต้ซือเสินซูเอ่ยยิ้มๆ
“แล้วข้าจะได้ไปเกิดใหม่หรือเข้าร่างอื่นกันล่ะ” สวี่ชีอันถามต่อ แล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ถ้าเลือกได้ ข้าอยากจะมีชีวิตใหม่ในร่างอื่น ข้อเรียกร้องก็ไม่ได้มากมายอะไรนักหรอก อืม ประการแรกจะต้องหน้าตาดีไร้ที่ติ ประการที่สอง จะต้องเป็นทายาทของตระกูลชั้นสูง คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด แน่นอนว่าพลังฝึกตนต้องอยู่ระดับหลอมปราณจะดีที่สุด อย่าอยู่ระดับหลอมจิตเด็ดขาด ข้าไม่อยากผ่านคืนวันที่ต้องถอนหายใจขมขื่นกลืนทุกข์แบบเมื่อก่อนแล้ว และประการสุดท้าย จะต้องมีน้องสาวคนสวยที่อายุห่างกันสักยี่สิบปี แบบที่ขี้อ้อนน่ารักน่าเอ็นดูน่ะ”
ไต้ซือเสินซูเพิกเฉยต่อคำขอของเขา ใบหน้าราวกับแกะสลักความสงบสุขที่ไม่มีวันแปรเปลี่ยนเอาไว้แล้วเอ่ยว่า
“ทหารขั้นสามสามารถถอดร่างเกิดใหม่ได้ ฆ่าตายได้ยาก เมื่อฝึกตนถึงระดับขั้นสูงที่สุดแล้ว จะได้สมญานามว่าเป็นอมตะ อาตมาโชคดีที่มาถึงระดับขั้นเช่นนี้ได้”
สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นมาได้ พร้อมกับได้ยินไต้ซือเสินซูเอ่ยพูด “ก่อนที่เจ้าจะตาย ข้าได้ชิงพลังชีวิตเฮือกสุดท้ายของเจ้ามาเก็บรักษาไว้ ข้ามายืมร่างของเจ้าเพื่อเลี้ยงดูร่างกาย ข้าก็สามารถมอบคืนให้เจ้าได้เช่นกัน อาตมาจะหยดเลือดให้เจ้า เจ้าใช้หลอมมัน จากนั้นก็สามารถฟื้นขึ้นจากความตายได้”
พลังชีวิตสายนั้นก็คือข้าในตอนนี้ใช่หรือไม่…ดังนั้นข้าเลยมาปรากฏตัวที่นี่? สวี่ชีอันเอ่ยถาม “ขอบคุณไต้ซือ เช่นนั้นข้าจะฟื้นเมื่อไหร่หรือ”
“นี่เป็นกระบวนการอันยาวนาน” ไต้ซือเสินซูกล่าว
โชคดีนักที่โลกนี้ไม่มีการเผาศพ ไม่อย่างนั้นท่านอากับอาสะใภ้คงเลี้ยงเสียข้าวสุกแล้ว…มิน่าไต้ซือเสินซูถึงไม่ยื่นมือช่วยเหลือข้า ที่แท้ก็หมายความว่าตายเพื่อมีชีวิตนี่เอง…ก็บอกให้เร็วกว่านี้หน่อยสิ ตอนนั้นข้าจะได้ตะโกนประโยคเด็ดอีกสักสองสามประโยคแล้วแกล้งทำเป็นได้สติ…หลังจากแน่ใจแล้วว่าตนจะได้ฟื้นชีวิต จิตใจของสวี่ชีอันก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาแล้วคร่ำครวญด้วยความสุข
…
นอกเมือง
ทหารผู้หยาบกระด้างพุ่งเข้ามาหา พ่อมดแห่งความฝันหายใจแทบไม่ออก ราวกับว่าเผชิญหน้ากับทะเลคลั่งภูเขาถล่ม
ชั่วขณะนี้เอง ความฉงนและความเสียใจกลายเป็นความรู้สึกไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว การฆ่าฟันศัตรูต่างหากที่จะเป็นทางออกเดียวของเขา
พ่อมดแห่งความฝันบีบผนึกด้วยมือทั้งสองข้าง ปากกล่าวพึมพำคาถาออกมา จากนั้นร่างกายของเขาก็ระเบิดแสงสีโลหิตแยงตา พลังปราณพุ่งทะยาน
วิชาวิญญาณโลหิต แผดเผาเลือดเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน และเพิ่มพลังต่อสู้ขึ้นชั่วคราว
หมัดไร้เทียมทานของเจียงลวี่จงมาถึงแล้ว
พ่อมดแห่งความฝันเองก็สู้กลับด้วยหมัด
สองหมัดปะทะเข้าด้วยกัน ชั่วแวบแรกนั้นยังไม่มีเสียงออกมา แต่หลังจากนั้น เสียงอึกทึกกึกก้องราวกับสายฟ้าฟาดก็สะเทือนเลื่อนลั่น
พื้นดินใต้เท้าของทั้งคู่ยุบลงพร้อมกัน เศษฝุ่นปลิวว่อนขึ้นมาในชั่วพริบตา ครอบคลุมรัศมียาวหลายร้อยเมตร
หยางเชียนฮ่วนไม่รีบหลบ เขากระทืบลงบนพื้นทันที อักขระหลายเส้นส่องสว่างขึ้นแล้วกลายเป็นม่านกั้น แต่ก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วขณะต่อมา
เจ้าพ่อการละครรู้สึกว่ามีคนใช้กระบองทุบเข้าที่หลังศีรษะของเขาอย่างจัง แผ่นหลังถูกรถม้าชนเข้าเต็มเปา เจ็บจนเกือบจะร้องออกมาอยู่แล้ว แต่เขาก็กลั้นไว้ได้เพราะต้องรักษาภาพลักษณ์ของตน
‘ตูม ตูม…’
ต่อมาก็เป็นสองหมัดปะทะกันอีกแล้ว แสงสีโลหิตสลายหายไปจากร่างของพ่อมดแห่งความฝัน ควันดำเหนือศีรษะแผ่ซ่านแล้วพุ่งออกไปราวกับกระสุนปืนใหญ่
เจียงลวี่จงถูกความโกรธเข้าครอบงำสติสัมปชัญญะ ตอนนี้เขากลับมีจิตใจดั่งทหารนักสู้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แม้จะให้รบท้าฟ้าดินเขาก็ไม่มีความกลัว
ทันใดนั้น สมองของเจียงลวี่จงก็คล้ายถูกเข็มเหล็กแทงเข้าใส่ หัวใจราวกับถูกมีดคมผ่าออกเป็นสองท่อน เขากระอักเลือด ‘อั่ก’ ออกมา ความเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้เขาไม่อาจตามล่าต่อไปได้อีก
วิชาสาปสังหาร!
ในชั่วพริบตาเมื่อครู่นั้น พ่อมดแห่งความฝันได้ฉกชิงชายเสื้อของเขาไปแล้วใช้วิชาสาปสังหารผ่านของใช้ติดกาย
หากเป็นทหารระดับต่ำ ตอนนี้คงถึงตายไปแล้ว
ในการต่อสู้ระหว่างผู้แข็งแกร่งระดับสูง การรบกวนเช่นนี้แทบจะกลายเป็นวินาทีตัดสินแพ้ชนะได้เลยทีเดียว แต่พ่อมดแห่งความฝันกลับทิ้งโอกาสนี้ไปเพราะอีกฝ่ายเป็นทหารจอมยุทธ์
…………………………………………………
[1] ท่อนหนึ่งจากบทเพลง ซื้อขายความรัก ขับร้องโดย เฟ่ยอวี้ชิง