ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 233-2 เหิงหย่วน ‘หมายเลขสาม ความจริงข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามานานแล้ว’
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 233-2 เหิงหย่วน ‘หมายเลขสาม ความจริงข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามานานแล้ว’
บทที่ 233-2 เหิงหย่วน ‘หมายเลขสาม ความจริงข้ารู้ตัวตนที่แท้จริงของเจ้ามานานแล้ว’
เลือดลมสูบฉีดไปถึงหน้าผาก หลินอันเดือดดาลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางชักดาบพกของทหารรักษาพระองค์ออกมาอย่างแรงและขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“เจ้าสุนัขนี่ แม้แต่เจ้าก็กล้าล้อข้าเล่นหรือ องค์รัชทายาทยังไม่ได้ถูกปลดด้วยซ้ำ”
สาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้นางเดือดดาลคือทหารรักษาพระองค์นำสวี่ชีอันมาล้อเล่น
ทหารรักษาพระองค์รีบถอยกรูดทันที หากเขาถูกฟันเข้าคงไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง เขาถอยไปพลางอธิบายไปพลาง “เป็นคุณชายสวี่จริงๆ พ่ะย่ะค่ะ คุณชายสวี่อยู่ที่ลานด้านหน้า พระองค์ได้พบก็จะรู้เองพ่ะย่ะค่ะ”
หลินอันไม่ได้โยนดาบในมือทิ้ง แล้วรีบวิ่งไปยังลานข้างหน้าทันที
สวี่ชีอันเห็นยายตัวร้ายในสวมชุดสีแดงราวกับเปลวเพลิงก่อนจากที่ไกลๆ ก่อนเป็นอย่างแรก แต่พอเห็นนางวิ่งเข้ามาพร้อมกับดาบในมือ ท่าทางเกี้ยวกราดราวกับจะไปออกรบ เขาก็สะดุ้งสุดตัว
และคิดในใจว่า ข้ารอดพ้นจากความตายมาอย่างยากลำบาก แม่โฉมยงยังคิดจะส่งข้ากลับไปอีกหรือ
เขาเก็บของเล่นที่จะใช้เอาใจหลินอันทันทีและไปซ่อนตัวด้านหลังก้อนหิน
“สวี่ชีอันอยู่ที่ไหน สวี่ชีอันอยู่ที่ไหน”
หลินอันถือดาบมองไปรอบๆ ลานด้านหน้า แต่ก็ไม่เห็นร่างที่คุ้นเคย ดวงตาอันสดใสของนางค่อยๆ สลดลง
“พระองค์ ใต้เท้าสวี่อยู่ข้างหลังภูเขาจำลองพ่ะย่ะค่ะ” ข้ารับใช้เอ่ยเสียงเบา
ดวงตากลมโตของหลินอันเปล่งประกายทันที นางเดินไปข้างหลังภูเขาจำลองอย่างคาดหวังแล้วก็เห็น…สวี่ชีอันคนนั้นจริงๆ หรือ
นางชะงัก บุคคลตรงหน้ารูปร่างกำยำและหล่อเหลา คิ้วยกสูง นัยน์ตาเฉียบคมเป็นประกาย จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูปราวกับแกะสลัก
จากนั้นหลินอันก็ถูกหุ่นเชิดสองตัวในมือของสวี่ชีอันดึงดูดสายตาไป
เป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้หญิงแต่งกายเหมือนหญิงสาวจากตระกูลขุนนาง ผู้ชายเป็นขุนพลผู้กล้าหาญที่สวมชุดเกราะ
สวี่ชีอันกระแอมทีหนึ่ง เขาเชิดหุ่นขุนพลผู้กล้าหาญและเอ่ยเสียงเข้ม “องค์หญิง กระหม่อมกลับมาจากการทำศัลยกรรมที่เกาหลีใต้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จากนั้นเขาก็เปลี่ยนเป็นเสียงที่แหลมคมและเชิดหุ่นหญิงสาว “เกาหลีใต้คือที่ใดหรือ”
ขุนพลผู้กล้าหาญ “อ้อ อวิ๋นโจวพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมพูดผิดไป”
หญิงสาว “เจ้าไม่ได้ตายในอวิ๋นโจวไปแล้วหรอกหรือ”
ขุนพลผู้กล้าหาญ “เดิมทีข้าน้อยตายไปแล้ว แต่ข้าน้อยนึกถึงองค์หญิงอยู่ตลอดเวลา จนท่านยมราชซาบซึ้งใจแล้วปล่อยตัวกลับมา”
หญิงสาว “ไอ้หยา เจ้านี่น่ารังเกียจจริงๆ”
หลินอันรู้สึกขบขันและหัวเราะคิกคักออกมา แต่จู่ๆ นางก็รู้สึกว่าบนใบหน้าเย็นเฉียบ ระหว่างที่ไม่รู้ตัว น้ำตาก็ไหลอาบแก้มของนางอย่างเงียบเชียบ
นางรู้สึกเสียหน้าจึงรีบหันหลังให้และแก้ตัวด้วยความอับอาย “วันนี้ลมแรงไปหน่อย ทรายจึงพัดเข้ามาจนเคืองตา”
เนื่องจากนางเป็นหญิงสาวที่ร่าเริง ขี้เล่น ขี้อ้อน นางจึงชื่นชอบลูกไม้นี้มาก เพราะขาดประสบการณ์ด้านความรัก ทักษะในการจับผิดผู้ชายเจ้าชู้ก็ย่ำแย่ ดังนั้นจึงเผยบรรยากาศเชื้อเชิญให้ผู้ชายเจ้าชู้เข้าหานาง
แน่นอนว่าสวี่ชีอันไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้
สวี่ชีอันยิ้ม “น่าแปลก เหตุใดทรายจึงเข้าตาองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวนะ หรือว่าจะเป็นเพราะความงามขององค์หญิงกันแน่”
หลินอันที่ถูกจับไต๋ได้เอ่ยด้วยความโกรธ “เจ้าสุนัขรับใช้”
“กระหม่อมไม่ใช่สุนัขรับใช้”
“เจ้าเป็นสุนัขรับใช้ สุนัขรับใช้สวี่ชีอัน”
“หลิงอันยายหมาว้อ”
“หมา หมาอะไรนะ” องค์หญิงหลินอันไม่รู้ว่าคำว่า ‘ว้อ’ ก็เป็นคำกริยาคำหนึ่ง
“ไม่มีอะไรพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันรังแกนางเพราะนางไม่เข้าใจภาษาถิ่น
“เมื่อครู่นี้เจ้าด่าข้าหรือ” หลินอันตีหน้าขรึม
“เปล่าพ่ะย่ะค่ะ นั่นเป็นความหวังที่ลึกซึ้งที่สุดของข้าที่มีต่อองค์หญิง” สวี่ชีอันตอบอย่างจริงจัง
…
ตั้งแต่เดินออกมาจากหลังภูเขาจำลองน ยายตัวร้ายคืนดาบให้ทหารรักษาพระองค์และพาสวี่ชีอันเข้าไปในห้องโถง ข้ารับใช้คนนั้นเดินตามอยู่ด้านหลังและมองพินิจองค์หญิงรองด้วยสายตาที่แปลกใจตลอด
นัยน์ตาคู่สวยขององค์หญิงรองแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเพิ่งร้องไห้มา
เมื่อเข้ามานั่ง นางกำนัลก็นำชาและของหวานมาให้ สวี่ชีอันโบกมือและพูดว่า “ขันทีน้อย เจ้าออกไปก่อน ข้ามีความลับจะปรึกษากับองค์หญิง”
“เอ่อ…” ขันทีน้อยลังเลอยู่นิดๆ
“ไปๆๆ” ยายตัวร้ายเลิกคิ้วและตำหนิ “ข้ามีเรื่องต้องคุยกับใต้เท้าสวี่ ใช่เรื่องที่เจ้าต้องมาสาระแนด้วยหรือ ถ้าไม่ฟังข้าจะลากเจ้าออกไปโบยร้อยครั้ง”
ขันทีน้อยจากไปอย่างไม่มีทางเลือก
“เหตุใดเขาถึงติดตามอยู่ข้างกายเจ้า เจ้ารอดกลับมาได้อย่างไร ฮว๋ายชิ่งบอกว่าเจ้าตายแล้วไม่ใช่หรือ”
ยายตัวร้ายมองแผ่นหลังของขันทีน้อยข้ามธรณีประตูและหายไป นางก็เบนสายตามาทางสวี่ชีอัน ใบหน้าแสนสวยเผยรอยยิ้มออกมา
“เขาเป็นคนที่มาสังเกตการณ์กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันดื่มชาร้อนและกินขนม เขารอที่ห้องทรงพระอักษรหนึ่งชั่วยามกว่าๆ จึงพลาดอาหารมื้อกลางวันไป
“ส่วนรอดมาได้อย่างไรนั้นเรื่องมันยาว…”
เขาเล่าเรื่องคดีอวิ๋นโจวให้องค์หญิงหลินอันฟังโดยปรับแต่งเล็กน้อย แน่นอนว่าการปรับแต่งไม่สามารถปรับแบบมั่วๆ ดังนั้นสวี่ชีอันจึงทำแค่แต่งเติมและเน้นบทบาทของตัวเอง รวมทั้งลดทอนการมีอยู่ของคนอื่นลง
หลินอันชอบฟังเรื่องเล่ามากที่สุด นางเริ่มเพลิดเพลินและค่อยๆ จมดิ่งลงสู่เหตุการณ์นั้นด้วยตัวเอง นางฟังสวี่ชีอันแก้ปริศนาที่สายลับโจวหมินทิ้งไว้จนไม่ได้หลับไม่ได้นอนทั้งคืน มือเล็กๆ ของนางตบโต๊ะอย่างแรงและอุทานเสียงดังอย่างชอบใจ
นางเอนตัวไปด้านหน้า เท้าคางและฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
สวี่ชีอันเหลือบมองหน้าอกขององค์หญิงเงียบๆ และอดรู้สึกผิดหวังเล็กๆ ไม่ได้ หลินอันมีบางอย่างต่างจากพี่สาวคนโตของนางจริงๆ สินะ
ผู้หญิงที่ไม่อาจทำให้โต๊ะรองรับแรงกดดันได้ล้วนไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี
พอได้ยินว่ามีผีสาวมาล่อลวงสวี่ชีอันและคนอื่นๆ และสหายร่วมหน่วยทั้งสองของเขาก็ถูกล่อลวงอย่างน่าเวทนา แต่สวี่ชีอันก็ไม่ได้หวั่นไหวเพราะจิตใจอันแน่วแน่ของเขา ยายตัวร้ายก็แสดงท่าทางชื่นชม จึงกล่าวชมเชยออกมา “สมกับเป็นคนที่ข้าให้ความสำคัญ ตอนนั้นที่ข้าเห็นเจ้าก็รู้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่คนธรรมดา”
สวี่ชีอันแสดงความขอบคุณต่อองค์หญิงสำหรับสายตาอันแหลมคม แล้วแขวะในใจ ไม่ใช่ว่าเจ้าบังคับล่อลวงข้ามาเพราะอิจฉาริษยาฮว๋ายชิ่งหรอกหรือ
สุดท้าย สวี่ชีอันก็เริ่มเล่าเรื่องที่ตัวเองเผชิญหน้ากับกองกำลังนับพันตามลำพัง เขาถูกคนหลายพันคนล้อม เผชิญหน้ากับสถานการณ์ยากลำบาก ลูกศรตกลงมาราวกับห่าฝน หอกดาบรายล้อมราวกับพงไพร เขาไม่ยอมถอยแม้แต่ครึ่งก้าวและฟันศัตรูไปสองร้อยคนจนกระทั่งกำลังเสริมมาถึงในที่สุด
ยายตัวร้ายฟังจนน้ำตาไหลออกมา จมูกแดงเรื่อ
“พระองค์ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้น กระหม่อมคำราม กองทัพกบฏกว่าพันคนตกใจอกสั่นขวัญแขวนและกัดฟันต่อสู้กับกระหม่อม หากไม่ใช่เพราะตอนนั้นกระหม่อมอยู่ในสภาพย่ำแย่ พวกมันคงไม่รอดแม้แต่คนเดียว”
ยายตัวร้ายพยักหน้าอย่างแรง นางเชื่อสุดใจ
ถึงอย่างไรผลงานในอดีตของสวี่ชีอัน นางก็เคยได้ยินเสด็จพี่เล่าให้ฟังมาก่อน ทุกคนต่างพูดว่าสวี่ชีอันเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญ เขาช่วยชีวิตผู้ตรวจการกับฆ้องทองคำแห่งที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หลังจากคุยโวโอ้อวดจบ สวี่ชีอันก็นึกถึงธุระสำคัญ จึงกล่าวว่า “จริงสิ ข้าเข้าวังครั้งนี้เพราะได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทให้มาสืบสวนคดีพระสนมฝู”
ดวงตาของยายตัวร้ายเปล่งประกายทันทีและเอ่ยอย่างมีความสุข “ข้ารู้ เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว แค่เจ้ากลับมาก็สามารถชำระความอยุติธรรมให้แก่เสด็จพี่องค์รัชทายาทได้แล้ว”
“กระหม่อมขอเป็นข้ารองบาทองค์หญิงชั่วนิรันดร์ จะรับใช้องค์หญิงอย่างสุดความสามารถ” สวี่ชีอันกล่าวอย่างจริงใจ
เขาจะรักษาระดับความสัมพันธ์กับหลินอัน
“กระหม่อมมีคำถามหลายคำถามอยากถามองค์หญิง พระสนมฝูหน้าตาเป็นอย่างไร”
“แน่นอนว่าเป็นคนที่สวยมาก”
จักรพรรดิหยวนจิ่งใช้เสียของจริงๆ…สวี่ชีอันลอบทอดถอนใจและถามอีกว่า “องค์รัชทายาทเป็นคนเจ้าสำราญหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่” หลินอันคัดค้านและกล่าวว่า “นอกจากพระชายาเอก พระชายารอง พระสนมเอก พระสนมและอื่นๆ ของเสด็จพี่องค์รัชทายาทรวมกันก็มีสิบหกคน”
“…”
สวี่ชีอันคิดในใจ ข้าช่างเป็นผู้ชายที่ดีจริงๆ ผู้ชายที่ดีก็คือข้า ข้าก็คือสวี่ชีอัน!
“เคยมีเรื่องเมาสุราแล้วก่อปัญหามาก่อนหรือไม่”
“ไม่มี”
“สุราที่ดื่มคือสุราอะไร”
“สุราไป๋รื่อชุน สุราที่บำรุงไตและเสริมสมรรถภาพทางเพศ เป็นสุราที่ฮองเฮามอบให้พระมารดาของข้า เจ้าว่านางใช่คนที่ใส่ร้ายหรือไม่” หลินอันกระซิบ
สวี่ชีอันพึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งและพูดว่า “ข้าเข้าใจแล้ว”
หลินอันดีใจมากและเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าเข้าใจอะไรหรือ สวี่หนิงเยี่ยนเจ้าคลี่คลายคดีได้แล้วหรือ”
…
จวนสกุลสวี่
สวี่เอ้อร์หลางที่เหนื่อยล้าทั้งกายและใจไม่ได้กลับสำนักศึกษาในทันที วันนี้คือวันที่สิบ เดือนยี่ อีกห้าวันก็จะเป็นการสอบรอบวสันต์ เขาจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับไปสำนักศึกษา
สองสามวันมานี้เขาพักอยู่ที่บ้านอย่างสบายใจเพื่อรอการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการที่กำลังจะมาถึง
หลังจากกินอาหารมื้อกลางวัน เขาก็ช่วยพ่อของเขาสวี่ผิงจื้อส่งคนในตระกูลสวี่ สวี่เอ้อร์หลางที่เหนื่อยล้าทั้งกายใจจึงไม่อยากอ่านหนังสือนัก เขาเพียงแค่อยากกลับห้องไปนอนพักเท่านั้น
แต่เหล่าจางคนเฝ้าประตูรีบวิ่งเข้ามาและพูดว่า “เอ้อร์หลาง นอกประตูมีภิกษุรูปหนึ่งมาหา เขาแทนตัวเองว่าเหิงหย่วน ต้องการขอพบท่าน”
“เหิงหย่วนหรือ” สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้ว เขารู้สึกคุ้นหูเล็กน้อย แต่ก็นึกไม่ออก
ศิษย์ของลัทธิขงจื๊ออย่างเขา ไม่เชื่อในศาสนาพุทธและไม่ข้องเกี่ยวอะไรกับศาสนาพุทธ
“เขายังบอกอีกว่า เป็นคนคุ้นเคยกับท่าน” เหล่าจางคนเฝ้าประตูกล่าวเสริม
สวี่เอ้อร์หลางร้อง ‘อืม’ ออกมาและมองไปทางสวี่ผิงจื้อ “ท่านพ่อ บางทีอาจเพราะเห็นว่าครอบครัวของพวกเรามีงานศพ เขาจึงมาเพื่อทำพิธีทางศาสนา ท่านเตรียมเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งไปมอบให้เขาเถิด ข้าจะกลับไปพักที่ห้องแล้ว”
เหล่าจางคนเฝ้าประตูรับเหรียญทองแดงจำนวนหนึ่งมาและเดินไปที่ประตูจวน เขามอบเงินให้ภิกษุวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำและกล่าวว่า
“ไต้ซือ ที่จวนไม่ต้องการทำพิธีทางศาสนา เชิญท่านกลับไปเถิด”
ภิกษุเหิงหย่วนโบกมือ “อาตมาไม่ได้มาเพื่อบิณฑบาต”
พลางรับเงินมาอย่างเถรตรงและกล่าวว่า “บุตรคนรองของจวนจะไม่มาพบอาตมาจริงๆ หรือ”
เกิดอะไรขึ้นกับหมายเลขสาม
แม้ว่าจะยังไม่เคยพบกัน แต่พระคุณในการช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่าและมิตรภาพของญาติผู้พี่ของเขาสวี่ชีอัน ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็น่าจะเคยพบเห็นตน และยอมให้ตนเข้าไปพบใต้เท้าสวี่เป็นครั้งสุดท้าย
‘อืม เขาอาจจะคิดตัวตนของเขายังเป็นความลับและคิดว่าอาตมายังไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้นจึงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักหรือ อา เจ้าประเมินสติปัญญาของภิกษุต่ำไปเสียแล้ว’
ภิกษุเหิงหย่วนประนมมือและคำนับ จากนั้นก็เดินไปอีกด้านและหยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากในอกเสื้อ เขาใช้นิ้วเขียนแทนและส่งข้อความว่า “นักบวชเต๋าจินเหลียน ท่านปิดกั้นผู้อื่นให้ข้าได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากพูดคุยกับหมายเลขสาม”
……………………