ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 240-2 สวี่หลิงอิน “พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่” (2)
- Home
- ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง
- บทที่ 240-2 สวี่หลิงอิน “พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่” (2)
บทที่ 240 สวี่หลิงอิน “พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่” (2)
“ข้าให้ทางเลือกเจ้าสองทาง หนึ่ง ชดเชยด้วยเงินห้าร้อยตำลึง สอง ให้ข้าจับยายหนูนี่ไปที่ทำการปกครอง”
“ห้าร้อยตำลึง?” อาสะใภ้ร้องเสียงหลง “ต่อให้ตีบุตรชายเจ้าจนตายก็ยังไม่คู่ควรกับเงินห้าร้อยตำลึง เจ้าอย่าได้ฝัน”
“นางชั้นต่ำ เจ้าพูดจาเช่นนี้ได้อย่างไร” สตรีผู้แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างชนชั้นสูงเพิ่งจะหยุดด่าไป เมื่อได้ยินก็โกรธจัด ชี้หน้าอาสะใภ้ และด่ากราดจนน้ำลายกระเด็น
“ดูคนบ้านนี้สิ ไม่มีใครปกติสักคน ที่แท้ก็มีนางแม่ช่างยั่วนี่เอง บุตรสาวถึงได้ป่าเถื่อนเช่นนี้ ไม่ได้เรื่อง”
อาสะใภ้เท้าสะเอว จิกกัดเต็มที่ “หน้าตาก็บ้านๆ ยังมีหน้าด้านออกมาขายขี้หน้าข้างนอกอีก ถุย!”
หญิงผู้นั้นโกรธจัด ก้าวไปข้างหน้า ยกฝ่ามือขึ้นหมายจะตบอาสะใภ้
อาสะใภ้กรีดร้องเสียงแหลม
‘เพียะ!’
สวี่ชีอันใช้ฝ่ามือตบเข้าที่ใบหน้าของนางจนใบหน้าแดงเถือก
“เจ้า…“ หญิงคนนั้นจ้องมองอย่างโกรธแค้น
‘เพียะ!’
สวี่ชีอันตบไปอีกครั้งหนึ่ง
หญิงนางนั้นยืนซวนเซแล้วทรุดตัวล้มลง ปากร่ำไห้พลางกล่าว “ท่านพี่ ท่านยังรออะไรอยู่หรือเจ้าคะ ข้าจะถูกตบเจียนตายอยู่แล้วนะเจ้าคะ”
ชายวัยกลางคนก็โกรธอยู่ในใจ เมื่อเห็นว่าเรื่องนั้นไม่สามารถพูดคุยอย่างสันติได้แล้ว สีหน้าพลันถมึงทึง พลางโบกมือ “จัดการมัน”
ข้ารับใช้กรูเข้ามา
สตรีผู้นั้นชี้ไปที่อาสะใภ้ ตะโกนเสียงแหลม “จัดการนางชั้นต่ำให้ตายไปซะ”
สวี่ชีอันดึงอาสะใภ้และหลินเยวี่ยมาหลบด้านหลัง ยกเท้าขึ้นถีบข้ารับใช้ที่อยู่ด้านหน้าสุด
ไม้กระบองหลุดมือ ข้ารับใช้ผู้หนักถึงสองร้อยกว่ากิโลลอยละลิ่ว กระเด็นไปตกอยู่บนถนนด้านนอก
ลูกเตะของเขาเปี่ยมด้วยทักษะ
ข้ารับใช้สิบกว่าคนหยุดฝีเท้าพร้อมกัน ต่างกำอาวุธในมือแน่น แต่ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า
พลังเตะเมื่อสักครู่ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้ ไอ้หมอนี่เป็นผู้ฝึกตน
ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกตนนี่เอง…ชายวัยกลางคนกระซิบกระซาบกับข้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ สองสามคำ ข้ารับใช้ก็วิ่งหนีทันที
“ที่นี่คือเมืองหลวง พลังยุทธ์แก้ไขปัญหาไม่ได้หรอก ท่านจอมยุทธ์หนุ่ม น้องสาวของเจ้าตีคน ถึงอย่างไรก็ต้องให้คำอธิบายหน่อยกระมัง” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าบึ้งตึง
“บุตรชายของท่านยังแย่งของกินน้องสาวข้าได้เลย” สวี่ชีอันเหล่ตามอง พลางเอ่ยเยาะเย้ย
อาสะใภ้ปลอบโยนบุตรสาวตนเล็กและหลินเยวี่ยที่กำลังหวาดกลัว พอแหงนหน้ามองสวี่ชีอัน ก็รู้สึกอุ่นใจยิ่งนัก
ไม่เสียแรงที่ข้าเลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่
“ลูกข้าเป็นแค่เด็กน้อย มีเด็กที่ไหนไม่ตะกละบ้างเล่า เรื่องแค่นี้เจ้ากลับมาถือสาหาความกับเด็ก หน้าไม่อาย” สตรีนางนั้นพูดเสียงดัง
นางค่อนข้างสงวนท่าที ไม่กล้าพ่นคำผรุสวาท
สวี่ชีอันขี้เกียจจะสนใจนาง
“เช่นนั้นเจ้าคิดจะทำเช่นไร” ชายวัยกลางคนถาม
“บุตรชายของท่านมาแย่งของกินน้องสาวข้า แถมยังตีนางก่อน ดังนั้น ข้ายินดีชดใช้ด้วยเงินสิบตำลึง” สวี่ชีอันแสดงท่าทีของตนเองออกมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านเหตุผลหรือกฎธรรมชาติเขาก็สามารถอธิบายได้ แต่สวี่หลิงอินทำร้ายคนจนได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะมีสาเหตุก็ตาม จากประสบการณ์การเป็นตำรวจในชาติที่แล้วของสวี่ชีอัน การจัดการกับเรื่องเช่นนี้ ควรตัดสินตามอาการบาดเจ็บ
แต่ว่าต้องชดใช้เงินจำนวนที่น้อย จะมากไปก็ไม่ได้
ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงเย็น
ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันครู่หนึ่ง ก็มีเจ้าหน้าที่จับกุมจากที่ว่าการเมืองวิ่งเข้ามา นำโดยชายวัยกลางคน ที่มีดวงตาเฉียบคม และใบหน้าเหมือนพุทรา
ด้านหลังตามมาด้วยเจ้าหน้าที่จับกุมอีกสามนาย
เขากวาดสายตามองดูผู้คนในจวนอย่างรวดเร็ว แล้วเอ่ยเสียงขรึม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ข้ารับใช้ที่ไปแจ้งทางการกล่าวว่ามีคนทำร้ายกันกลางเมือง แต่หัวหน้ามือปราบแห่งที่ว่าการเมืองก็ไม่ได้ฟังความข้างเดียว
“ข้าน้อยเจ้าเชิน เป็นเลขาธิการกรมปกครองขอรับ” ชายวัยกลางคนคารวะ
หัวหน้ามือปราบรับคารวะกลับ “นายท่านเจ้า”
ชายวัยกลางคนพยักหน้าอย่างเคยชิน ชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วเอ่ย “คนผู้นี้ใช้กำลังฝ่าฝืนกฎหมาย เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ปล่อยให้น้องสาวตนทุบตีบุตรชายข้าจนบาดเจ็บสาหัส ภายหลังยังลงมือทำร้ายบ่าวของข้าอีก ขอท่านโปรดให้ความเป็นธรรมด้วยขอรับ”
หัวหน้าจ้องมองไปที่สวี่ชีอันครู่หนึ่ง รู้สึกว่าชายหนุ่มสุดหล่อนี่ดูคุ้นๆ แต่คิดไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน
“จับตัวไป”
เจ้าหน้าที่จับกุมจับสองนายปลดเชือก หันไปเผชิญหน้ากับสวี่ชีอัน
“ม่านหัวหน้ามือปราบ ท่านแน่ใจแล้วหรือว่าจะรับฟังข้างเดียว” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
หัวหน้าโบกมือ หยุดเจ้าหน้าที่จับกุมทั้งสองไว้ “เจ้าว่ามา”
“ยังมีอะไรต้องพูดอีก บุตรชายของข้าแค่กินของกินของน้องสาวเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยายเด็กตัวแสบนี่ถึงกับทำร้ายบุตรชายข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาไม่เพียงไม่ยอมรับ ซ้ำยังลงมือทำร้ายข้ารับใช้ในจวนข้าจนบาดเจ็บอีก ไหนเล่ากฎสวรรค์ ไหนเล่ากฎหมายบ้านเมือง”
หญิงผู้นั้นร่ำไห้เสียงดัง
หัวหน้ามือปราบหันไปมองอาจารย์หลี่ และหมอที่ยังไม่จากไปทันที
“เรื่องเป็นแบบนี้ก็จริง แต่ว่า ความเย่อหยิ่งของตระกูลเจ้าก็มากเกินไปเสียหน่อย” อาจารย์หลี่ให้คำตอบที่ตรงประเด็น
หมอพูดอีก “เด็กนั่นต้องนอนบนเตียงเป็นเวลาหลายวันเพื่อให้ฟื้นตัว”
หัวหน้าพยักหน้าเบาๆ การหยิ่งผยองเป็นเรื่องปกติ หากบุตรบ้านใดถูกทำร้ายจนบาดเจ็บ ต่างก็ต้องโมโหกันทั้งนั้น
“จับตัวไป!” หัวหน้าเอ่ยเสียงขรึม
เสี่ยวโต้วติงเห็นคนไม่ดีจะพาพี่ใหญ่ของตนเองไป ก็ตะโกนอย่างโกรธเคือง “เขาแย่งของกินข้าก่อน ถุย ถุย ถุย…”
นางหันไปถ่มน้ำลายใส่หัวหน้ามือปราบ เพื่อไม่ให้พวกเขาพาพี่ใหญ่ไป
“เขาแย่งกำไลของข้าไปด้วย” สวี่หลิงอินเอ่ยเสียงดังลั่น
“ว่าไงนะ!”
อาสะใภ้ทั้งตกใจทั้งโกรธ ที่แท้ผู้ร้ายที่ขโมยกำไลเป็นเด็กเหลือขอจากตระกูลนี้เองหรือ ยิ่งคิดว่าวันนี้หลินอินถูกแย่งของกิน แถมยังถูกกำปั้นทุบตีอีก อาสะใภ้ก็ตาแดงก่ำ ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“ข่มเหงกันเหลือเกิน ข่มเหงกันเหลือเกิน”
หือ?
สวี่ชีอันตกตะลึง หันไปถาม “กำไลก็ถูกเจ้าเด็กอ้วนขโมยไปหรือ”
สวี่หลิงอินพยักหน้าอย่างแรง “ใช่เจ้าค่ะพี่ใหญ่”
หากการเบาะแว้งครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องขัดแย้งกันระหว่างเด็กๆ เขาคงไม่เข้าไปต่อล้อต่อเถียงกับเด็กน้อยเป็นแน่ แค่จ่ายค่าหยูกยารักษาให้เจ๊ากันไปก็พอ นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เปิดเผยตัวตน และรังแกผู้อื่น
แต่สถานการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าเด็กอ้วนนั่นไม่ได้รังแกหลิงอินเป็นครั้งแรก พอเห็นว่ารังแกเสี่ยวโต้วติงได้ จึงจงใจระบายอารมณ์ใส่นาง
เพียงแต่ครั้งนี้ล้ำเส้นเกินไป ดันไปแตะเกล็ดมังกร[1]ของเสี่ยวโต้วติงเข้า จึงถูกเอาคืน
นี่มันคือกลั่นแกล้ง ไม่สามารถทนเฉยได้
“ที่แท้ก็เป็นฝีมือลูกพวกเจ้านี่เอง ครั้งก่อนรังแกน้องสาวข้า แย่งกำไลอันล้ำค่าของนางไป ครั้งนี้เห็นของกินราคาแพงของนางก็มายื้อแย่ง ซ้ำยังทุบตีน้องสาวของข้าอีก” สวี่ชีอันยกมุมปาก
“แล้วตอนนี้พวกเจ้าวางอำนาจรังแกผู้อื่น กักขังหน่วงเหนี่ยวอยู่ในสำนักศึกษาและรีดไถเงินข้าถึงห้าร้อยตำลึง”
“กำไลอะไร” ชายวัยกลางคนพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “พูดจาไม่มีมูล”
ภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกายดวงตาวาววับ ราวกับเพิ่งนึกอะไรได้
สวี่ชีอันหันไปมองหัวหน้ามือปราบแล้วเอ่ย “ใต้เท้า เรื่องเป็นเช่นนี้ เด็กแสบตระกูลเจ้ากลั่นแกล้งน้องสาวข้าอยู่หลายครั้งหลายครา เคยแย่งกำไลหยกของนางไป ครั้งนี้ยังแย่งของกินของนางไปอีก น้องสาวข้าคงเหลืออด ถึงได้ลงไม้ลงมือ”
“กำไลนั้นราคาไม่ใช่น้อยๆ คนที่ท่านควรจับไม่ใช่ข้าแต่ควรเป็นพวกเขา ได้โปรดใต้เท้าช่วยนำของที่หายไปกลับคืนมาด้วยเถอะขอรับ”
สตรีนางนั้นเอ่ยเสียงดัง “กำไลอะไร โกหกพกลม บุตรชายของข้ามีการศึกษา เขาจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ท่านพี่ พวกมันทำร้ายบุตรของเราไม่พอ ยังใส่ร้ายกันอีกนะเจ้าคะ”
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าถมึงทึง เอ่ยพลางคารวะ “ใต้เท้า โปรดจับกุมชายผู้นี้เสีย ข้าจะไปขอความเป็นธรรมจากท่านลุง”
ประโยคสุดท้ายมีผลอย่างมาก หัวหน้ากองปราบฟังแล้วก็หมดสิ้นความลังเล ตะโกนออกคำสั่งออกไปทันใด “จับตัวไป นำตัวไปยังที่ทำการปกครอง”
สิ้นเสียงประกาศิต สายตาพลันเห็นชายหนุ่มตรงหน้า ล้วงวัตถุสีเหลืองส้มออกมาจากอกเสื้อ โยนออกไปมั่วๆ
หัวหน้ามือปราบคิดจะหลบโดยสัญชาตญาณ แต่เมื่อเห็นรูปร่างลักษณะของตราประทับที่ลอยคว้างกลางอากาศ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ทันทีที่เอื้อมมือไปคว้าไว้ สองเข่าทรุดลงดัง ‘ปัง’
สองมือกุมตราประทับสีทองไว้ เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ใต้ ใต้เท้า…”
ตัวเป็นถึงหัวหน้ามือปราบ มักจะช่วยเหลือหัวหน้าใหญ่ในคดีสำคัญบางคดี ตราประทับของวังหลวง เขาเคยเห็นไม่กี่ครั้ง
นี่มันเรื่องอะไรกัน
สีหน้าคู่สามีภรรยาตระกูลเจ้าเปลี่ยนไป
พวกเขาสองคนไม่รู้จักตราประทับทองคำ ทว่าท่าทางของหัวหน้ากองปราบ ก็ถือว่าเป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุด
‘ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสของบ้านนี้เป็นเพียงหัวหน้ากองร้อยจากกองดาบเท่านั้นหรือ นี่มันเรื่องอะไรกัน ไอ้หมอนี่ฐานะสูงส่งเพียงนี้เชียว? เช่นนั้นเมื่อครู่เหตุใดจึงไม่พูดมาตรงๆ เล่า’
ความสงสัยผุดขึ้นมาในหัว แต่แล้วก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าท่านลุงของตนเป็นถึงจงหลางเลขาธิการกรมปกครอง เป็นขุนนางขั้นห้าระดับสูง มีอำนาจที่อยู่ในมือ สามารถทำให้ข้าราชการระดับสี่เกรงใจ และไม่กล้าขัดใจได้
ในใจถึงได้สงบขึ้นมา
สวี่ชีอันจ้องมองหัวหน้ากองปราบ เอ่ยถาม “เจ้าชื่ออะไร”
หัวหน้ากองปราบก้มหัว พลางคิดถึงทางเลือกของตนเองเมื่อครู่ หน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมา “ข้าน้อยนามว่าจูอิงขอรับ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าได้รับคำสั่งให้สอบสวนคดี นี่เป็นตราประทับที่ฝ่าบาทพระราชทานให้ จูอิงใช่หรือไม่ เจ้าเป็นคนมีความสามารถ ข้าชื่นชมเจ้า อยากเชิญเจ้าร่วมทำคดีด้วยกัน และดูแลเก็บรักษาตราประทับทองคำแทนข้า”
เว้นระยะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยเสียงเบา “ถ้าตราประทับทองคำหายไป ต้องโทษตัดหัวทั้งตระกูล”
‘ติ๋ง ติ๋ง’…เหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่ว หยดกระทบพื้น
จูอิงเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ข้าน้อยน้อมรับคำสั่งขอรับ”
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพอใจ “คุกเข่าต่อไปเถอะ”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางเจ้าเชินสองสามีภรรยาแล้วเอ่ย “พาสองคนนี้ไป”
เขาบอกกับเจ้าหน้าที่จับกุมทั้งสามคน
เจ้าหน้าที่จับกุมหนุ่มทั้งสามหันมองจูอิง จูอิงไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น ทั้งโมโหทั้งวิตก น้ำเสียงสั่นไหว “มัวแต่บื้อใบ้ทำอะไรอยู่ ยังไม่ทำตามคำสั่งอีก”
เจ้าหน้าที่จับกุมทั้งสามรีบจับกุมเจ้าเซินสองสามีภรรยา
“ท่านลุงข้าเป็นถึงจงหลางเลขาธิการกรมปกครอง ขุนนางขั้นห้าระดับสูง เป็นขุนนางขั้นห้าระดับสูงเชียวนะ…” เจ้าเซินทั้งตกใจทั้งโมโห
เจ้าหน้าที่จับกุมชักกระบี่ออกมาจากฝัก เขาถูกเล่นงานเข้าแล้ว และนี่คือความจริง เขาหันไปตะโกนบอกข้ารับใช้ของตน “รีบไปเชิญท่านลุงข้ามาเร็ว”
สวี่ชีอันพาอาสะใภ้และน้องสาวออกมาจากสำนักศึกษา พลางเอ่ยอย่างจำใจ “วันนี้คงเที่ยวเล่นไม่ได้แล้ว ข้าต้องกลับที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเพื่อจัดการกับเรื่องนี้ อาสะใภ้ พวกท่านจะกลับพร้อมข้า หรือจะกลับจวนก่อน”
อาสะใภ้เหลือบมองเสี่ยวโต้วติง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของบุตรสาว นางกัดฟันเอ่ย “ไปที่ทำการ”
เมื่อครู่สองคนนั้นทำตัวหยาบช้าเสียไม่มี หากกลับจนตอนนี้ เห็นทีไฟแค้นคงสุมอกทุกครั้งที่นึกถึง
…
หลังจากคนไปแล้ว อาจารย์หลี่หวนนึกถึงการจัดการรับมือของตนเมื่อครู่โดยถี่ถ้วน และมั่นใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ในใจรู้สึกค่อยๆ สงบขึ้นมา เขาเดินไปหาหัวหน้ากองปราบที่กำลังคุกเข่าอยู่ตรงนั้นแล้วเอ่ย
“นายท่าน เมื่อครู่ใต้เท้า…ท่านนั้น เขาสังกัดกรมกองใด เป็นข้าราชการระดับใดหรือ”
“ข้าไม่รู้” หัวหน้ากองปราบจูที่รู้สึกเสียใจและอยากชักกระบี่ฆ่าตัวตาย พล่ามด่าออกมา
“จะเป็นข้าราชการระดับใดไม่สำคัญ นั่นมันตราประทับทองคำ ตราประทับทองคำเจ้าเข้าใจหรือไม่”
ตราประทับทองคำ…ร่ายกายของอาจารย์หลี่ซวนเซ มือไม้เกิดสั่นเทาขึ้นมา
ครอบครัวของเด็กโง่นั้น มีคนแบบนี้ด้วยหรือนี่!
โชคดีแค่ไหนที่เขารับมือกับเรื่องนี้อย่างยุติธรรมพอสมควร ไม่ได้ลำเอียงไปฝั่งตระกูลเจ้า มิเช่นนั้นคงจะติดคุกตอนแก่ ชีวิตบั้นปลายแขวนบนเส้นด้าย
เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็หันไปมองหัวหน้ากองปราบจูด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสาร
…
ระหว่างทางไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันขี่อยู่บนหลังม้า โดยมีสวี่หลิงอินนั่งอยู่ในอ้อมแขน
มือซ้ายของนางถือขนมเปี๊ยะยัดใส้เนื้อ มือขวาถือลูกชิ้นปลาทอด เพลิดเพลินกับการกินอย่างมาก
“เรื่องเมื่อกี้…หลิงอินรู้สึกหายโกรธหรือยัง” สวี่ชีอันถามหยั่งเชิง “พี่ใหญ่จะต่อยพวกเขาแทนเจ้าเอง ถ้าไม่ตายก็ให้หนังแตกกันไปข้าง”
สิ่งที่น่าหงุดหงิดที่สุดของการถูกกลั่นแกล้ง ไม่ใช่ความเจ็บปวดจากการถูกตบตี แต่เป็นบาดแผลทางจิตใจที่เกิดขึ้นกับเด็กน้อย
“หลินอิน หลินอิน”
สวี่ชีอันสะกิดน้องสาวเล็กน้อย
สวี่หลิงอินเงยหน้าขึ้นจากอาหาร ดวงตากลมโต “พี่ใหญ่พูดอะไรหรือเจ้าคะ”
“เจ้าหายโกรธแล้วหรือ”
“อืม”
“เจ้ารู้หรือว่าการหายโกรธคืออะไร”
“อืม”
“พี่ใหญ่ช่วยเจ้าสั่งสอนพ่อแม่ของเจ้าเด็กอ้วนนั่นนะ”
“อืม “
“พี่รองของเจ้าตายแล้ว”
“อืม”
“…”
ทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นการตอบแบบขอไปที ข้านี่มันโง่เขลาเสียจริง หลงเป็นห่วงสุขภาพจิตของเด็กโง่เสียได้
หลังจากเดินทางมาจนสุดทาง สวี่หลิงอินก็กินขนมจนหมด คิ้วน้อยๆ ขมวดมุ่น แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ย “พี่ใหญ่ ข้า…”
สวี่ชีอันก้มศีรษะ เอ่ยถามอย่างกังวล “เป็นอะไรหรือ”
สวี่หลิงอินส่งเสียง ‘แหวะ’ และอาเจียนออกมาในวงแขนของเขา จากนั้นก็จ้องมองอย่างรู้สึกผิดแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากอาเจียน”
“เจ้าบอกให้มันเร็วกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ” มุมปากสวี่ชีอันกระตุก
“อาเจียนแล้วค่อยบอกก็เหมือนกันแหละเจ้าค่ะ”
“ไม่เหมือนสักนิด”
“ข้าคิดว่าเหมือนเจ้าค่ะ”
“ไม่เอาความรู้สึกเจ้า ข้าจะเอาตามที่ข้าคิด ถ้าขี่ม้าแล้วรู้สึกไม่สบายก็รีบบอกกันสิ…ช่างเถอะ กลับจวนไปค่อยลงโทษเจ้าก็แล้วกัน” สวี่ชีอันรู้สึกหงุดหงิด
“เช่นนั้นข้าจะกินมันเข้าไปเหมือนเดิมก็ได้” สวี่หลิงอินกะพริบตา เพื่อขอความเห็นใจจากพี่ใหญ่
“เจ้า…” สวี่ชีอันเคียดแค้นชิงชังเป็นอย่างยิ่ง “บ้านสกุลสวี่เหตุใดถึงมีเด็กที่ทั้งโง่ทั้งตะกละอย่างเจ้าเกิดมาด้วยนะ”
เขาหันไปและตะโกนเข้าไปในรถม้า “อาสะใภ้ บุตรสาวของท่านอาเจียนใส่ตัวข้าหมดแล้ว รีบเอาผ้าเช็ดหน้าของท่านออกมาเร็วเข้า”
อาสะใภ้เลิกผ้าม่านขึ้นและเหลือบมอง แล้วยื่นผ้าเช็ดหน้าให้อย่างรังเกียจ
สวี่หลิงเยวี่ยตกใจ “ท่านแม่ ที่ท่านถืออยู่คือผ้าเช็ดหน้าของข้านะ”
“รู้ หลินอินอาเจียน ก็เลยให้ต้าหลางเอาไปเช็ดนี่ไง”
“…เหตุใดถึงไม่ใช้ของท่านเล่า” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยอย่างน้อยใจ
“ข้าขยะแขยง”
“…”
อาสะใภ้เฉไฉเปลี่ยนเรื่อง เอ่ยอย่างเสียดายว่า “เมื่อครู่ข้าใจอ่อนไปหน่อย ไม่ได้ตั้งรับให้ดี นางหญิงใจหยาบนั้นตบข้า ข้าน่าจะยกมือขึ้นกันไว้ก่อน แล้วค่อยเอาคืนนางสักที ไม่ใช่มัวแต่หลบอยู่หลังพี่ใหญ่ของเจ้า ตอนนนี้แม่ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งน่าโมโห”
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นหลายคนก็มักจะนึกโกรธตัวเอง เมื่อกี้น่าจะทำแบบนี้ๆ ได้…เหตุใดถึงไม่ตั้งรับให้ดี ยิ่งคิดก็ยิ่งยอมรับไม่ได้
สวี่หลิงอินมองพี่ใหญ่ที่เช็ดอาหารที่ตนเองสำรอกออกมาจนสะอาดหมดจด ก็เอ่ยอย่างเสียใจสุดซึ้ง “พวกมันวิ่งออกมาเองนะเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร เจ้าขอโทษไปแล้ว” สวี่ชีอันลูบศีรษะนาง “กลับไปเจ้าก็จะได้กินอาหารกลางวันอีกหนึ่งครั้ง ปกติเจ้าจะกินได้เพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้ได้กินถึงสองครั้ง ต่อไปหากเจ้ากินคำหนึ่งอาเจียนคำหนึ่ง ท้องของเจ้าก็จะไม่มีวันอิ่ม แค่นี้ก็สามารถกินได้ตลอดไป”
“จริงหรือเจ้าคะ”
สวี่หลิงอินได้ฟังก็รู้สึกมีความสุข ในใจคิดว่า ‘พี่ใหญ่ช่างฉลาดเสียจริง’
“จริงสิ” สวี่ชีอันพยักหน้า
แต่ว่าเจ้าต้องถูกแม่เจ้าตีจนปางตายเสียก่อน
“พี่ใหญ่ ข้าคือที่รักของท่านหรือไม่เจ้าคะ” สวี่หลิงอินถาม
สวี่ชีอันถามกลับอย่างงุนงง “คำพูดเจ้าฟังแล้วโล่งยิ่งกว่าผมบนหัวของพี่ใหญ่เสียอีก”
เสี่ยวโต้วติงตอบ “เมื่อคืนข้าได้ยินท่านพ่อเรียกท่านแม่ว่าที่รัก แต่ไม่เคยมีใครเรียกข้าว่าที่รักเลย”
“เพราะเจ้าไม่ใช่ที่รัก”
เสี่ยวโต้วติงเอ่ยอย่างผิดหวัง “เช่นนั้นข้าเป็นอะไรล่ะเจ้าคะ”
สวี่ชีอันก้มศีรษะ จ้องมองน้องสาวที่อ้วนปุ๊กลุก “เจ้าเป็นไขมันพอกตับ”
…
ไม่นาน ก็มาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
…………………………………..
[1] เป็นสำนวน แปลว่า สะกิดต่อมโมโห เชื่อกันว่าหากใครไปแตะเกล็ดใต้คอมังกรเข้า มังกรจะโกรธจัดและฆ่าคนผู้นั้น ในอดีตจักรพรรดิเปรียบเสมือนพญามังกร สำนวนนี้จึงหมายถึงการทำให้จักรพรรดิทรงพิโรธ ปัจจุบันใช้เปรียบเทียบการทำให้ผู้มีอำนาจโกรธ