ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 247-2 ประชุม
บทที่ 247-2 ประชุม
“สวี่ชีอัน เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
กลุ่มลาดตระเวนสามคนกลุ่มนี้เอ่ยถามอย่างเป็นห่วง พวกเขาสัมผัสดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้ยินเสียงหัวใจเต้นของชายชุดดำทั้งสาม เดาได้ว่าพวกนักฆ่าสิ้นชีพไปแล้ว
“ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย ไม่สาหัสนัก”
สวี่ชีอันหอบหายใจ ก่อนที่เพื่อนร่วมงานทั้งสามคนจะมา เขาได้ใช้ยาเพิ่มพลังเข้าไปแล้ว พลังกายจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นมา แต่หากคิดจะเดินเหินได้เหมือนเก่า ก็ต้องใช้เวลาพักผ่อนสักหนึ่งเค่อ
ดาบที่ท่านโหราจารย์มอบให้และวิชาดาบเดียวตัดฟ้าดินเข้ากันอย่างยิ่ง
ฆ้องทองแดงทั้งสามค่อยๆ พยักหน้า แล้วมองไปที่ชายชุดดำทั้งสาม สามารถบีบให้ใต้เท้าสวี่ผู้เพิ่งเข้าสู่ระดับหลอมวิญญาณสะบักสะบอมขนาดนี้ ในนั้นจะต้องมีระดับหลอมวิญญาณอยู่แน่
ตอนนี้เอง เสียงฝีเท้าวุ่นวายครึกโครมก็ดังเข้ามา กองดาบห้าสิบคนรีบวิ่งเข้ามา
“ใต้เท้าสวี่ ท่านรีบกลับไปรักษาบาดแผล ณ ที่ทำการปกครองก่อนเถิด สามคนนี้ปล่อยให้พวกเราจัดการเอง”
ฆ้องทองแดงผู้กล่าวเดินออกไปจากตรอกเล็กแล้วเรียกกองดาบที่รีบว่า “พวกเจ้าคุ้มกันใต้เท้าสวี่กลับไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเร็ว เหลือคนไว้สิบคน มาช่วยพวกข้าจัดการกับศพ”
หัวหน้ากองดาบเล็กกอบหมัดเอ่ย “ขอรับ”
หลังจากสวี่ชีอันจากไปแล้ว ฆ้องทองแดงทั้งสามก็กลับมายังตรอกเล็กแล้วตรวจสอบศพ ร่างของชายชุดดำที่เดิมทีอยู่นิ่งไม่ขยับพลันแยกสองออกเป็นสองส่วน ส่วนบนกับส่วนล่างแยกจากกัน บาดแผลแนวเฉียงปรากฏอยู่ที่เอว รอยฟันเนียนกริบ
อวัยวะภายในผสมรวมกับเลือดแล้วไหลกองอยู่กับพื้น
เหล่าฆ้องทองแดงขมวดคิ้ว ทั้งรังเกียจทั้งตกตะลึง
“ข้าจำได้ว่าเคล็ดวิชาของสวี่หนิงเยี่ยนคือวิชาดาบที่มีอานุภาพร้ายกาจอย่างหนึ่ง ตอนแรกใช้เพียงหนึ่งดาบก็สามารถทำร้ายฆ้องเงินจูได้แล้ว”
“ใช่ๆ ตอนนี้ดูไปแล้วมีอานุภาพมากกว่าแต่ก่อนเสียอีก ดาบนี้ฟันไปสามคน และในสามคนนั้นจะต้องมีหนึ่งคนอยู่ระดับหลอมวิญญาณ”
ทั้งสามคนพร้อมใจกันหันไปมองชายชุดดำคนหน้าสุด เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทั้งสามคน
“เอ๊ะ เหตุใดเขาไม่มีอาวุธล่ะ”
ชายชุดดำอีกสองคนล้วนมีดาบมาตรฐานและหน้าไม้ติดกาย มีเพียงชายชุดดำคนนี้เท่านั้นที่มือเปล่า ไม่ได้พกอาวุธ
ถูกสวี่ชีอันชิงไปแล้วหรือ
ขณะที่สงสัยอยู่นั้น พวกเขาก็ตรวจค้นศพของชายชุดดำผู้นั้นเพียงคนเดียวก่อน และยามที่นิ้วมือสัมผัสกับศพ ก็เกิดความรู้สึกราวกับสัมผัสเหล็กกล้า
เพราะศพยังคงสภาวะโคจรพลังก่อนตายอยู่
“หืม”
ในหัวของคนทั้งสามผุดเครื่องหมายคำถามขึ้นมาเป็นชุด
ประมาณพักหนึ่ง พวกเขาก็ตอบสนองได้แล้ว ในใจเกิดความรู้สึกตะลึงลานและสั่นสะท้านขึ้นมา
“กระ…กระดูกเหล็กผิวทองแดง…” ฆ้องทองแดงคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ
…
ครึ่งชั่วยามต่อจากนั้น ณ ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
โถงเสินเจี้ยน
หลังจากจางไคไท่ผู้เฝ้ายามในคืนนี้ได้รับข่าว ก็เรียกรวมฆ้องเงินทั้งหมดมาหารือเกี่ยวกับเรื่องที่สวี่ชีอันต้องเผชิญการลอบสังหาร
ฆ้องเงินที่เพิ่งนำกลุ่มไปตรวจสอบที่เกิดเหตุเอ่ยรายงานว่า “ตั้งแต่การลอบสังหารไปจนถึงถูกฟันสังหาร ทั้งกระบวนการไม่เกินครึ่งเค่อ นักฆ่าทั้งสามราวกับรู้เส้นทางที่สวี่หนิงเยี่ยนจะเดินทางไป แล้วดักซุ่มโจมตีอยู่บนทางผ่าน หลังจากสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ช่วงสั้นๆ พวกเขาก็ตามสวี่หนิงเยี่ยนเข้าไปในตรอกเล็ก จากนั้นก็ถูกฟันสิ้นด้วยดาบเดียว ตรงไปตรงมาเช่นนั้นเลย”
จางไคไท่พยักหน้าแล้วมองไปยังฆ้องเงินอีกคน เขาคือฆ้องเงินผู้รับผิดชอบตรวจสอบศพ
ฆ้องเงินผู้นั้นเอ่ยเสียงขรึม “ผู้ลอบสังหารใช้ดาบยาวมาตรฐานที่ธรรมดาที่สุด ค่ายทหารรักษาวังสามแห่งและหน่วยองครักษ์ในเขตพระราชฐานห้าหน่วยล้วนใช้ดาบเช่นนี้ ถึงขั้นมีกองกำลังคุ้มกันในจวนของขุนนางที่ใช้ดาบแบบนี้เช่นกัน พวกเราไม่อาจสืบหาเบาะแสจากอาวุธได้เลย
“นอกจากนั้น พวกเราได้พบอาวุธเวทมนตร์หน้าไม้บนร่างของมือลอบสังหารคนหนึ่ง เป็นหน้าไม้ที่เพียงพอจะคุกคามระดับหลอมวิญญาณได้ แต่นี่ก็ยังไม่อาจเป็นช่องโหว่ใดๆ
“ปัญหาการยักยอกทรัพย์ภายในกรมโยธาและกรมทหารรุนแรงอย่างยิ่ง การซื้อขายอาวุธของบรรดาองค์ชายและขุนนางใหญ่ก็มีอยู่มากมายเช่นกัน มันสะสมมานานปีแล้ว อาวุธเวทมนตร์และยุทโธปกรณ์ที่แพร่สู่ภายนอกจึงมีนับไม่ถ้วน ไม่อาจสืบรู้ได้เลย
“หากต้องการสืบจริงๆ ก็คงเกี่ยวพันกับวงราชการของเมืองหลวงส่วนใหญ่ อาจเกิดการต่อต้านอย่างมาก เกรงว่าต่อให้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งมาด้วยองค์เอง ก็คงไร้ผลลัพธ์ใด”
จางไคไท่พยักหน้า ราวกับคาดเดาไว้แล้วจึงเอ่ยถามว่า “ระดับฝึกตนของมือสังหารทั้งสามคนล่ะ”
“ระดับหลอมวิญญาณสองคน ระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงหนึ่งคน”
หนึ่งดาบก็สังหารหลอมวิญญาณและกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้…ภายในห้องโถงตกอยู่ในความเงียบสงัดราวป่าช้า
ไม่รู้ว่าผ่านไปเท่าใด จางไคไท่ก็เอ่ยขึ้น “สวี่หนิงเยี่ยนล่ะ”
“ทำแผลเสร็จก็นอนหลับไปแล้วขอรับ”
จางไคไท่พยักหน้า เขามองฆ้องเงินทุกคนแล้วเอ่ยกระแอมไอ “ไม่จำเป็นต้องใส่ใจในรายละเอียดนัก พวกเจ้าเป็นฆ้องเงิน ล้วนเป็นอัจฉริยะคนต้นๆ ของต้าฟ่ง ไม่ด้อยกว่าใครทั้งนั้น นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ…ที่บางครั้งก็จะมีคนประหลาดสักหนึ่งถึงสองคนโผล่ ไม่อาจนำมาใช้เป็นเครื่องตัดสินมาตรฐานได้”
เหล่าฆ้องเงินฝืนยิ้ม เอ่ยรับคำสองสามประโยค
จางไคไท่เปลี่ยนเรื่อง “พวกเจ้าคิดว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารมา”
ฆ้องเงินผู้หนึ่งขมวดคิ้วเอ่ย “ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าช่วงนี้สวี่หนิงเยี่ยนไปสร้างความแค้นให้ใคร ตามที่พวกเราวิเคราะห์จากสถานการณ์ที่รู้ หากตัดเรื่องบุญคุณความแค้นส่วนตัว เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวกับพระสนมฝู”
…
วันต่อมา ยามเหม่า
จางไคไท่ไปเยี่ยมเยียนสวี่ชีอันก่อน เห็นเขากำลังหลับสนิทก็ไม่ได้กวน จึงไปรับสำนวนคดี ‘สวี่ชีอันถูกลอบสังหาร’ ที่เจ้าพนักงานเขียนเสร็จสิ้นเมื่อคืนวานมา แล้วไปยังหอเฮ่าชี่
หลังจากผ่านทางเดินมาแล้ว เขาก็มาถึงชั้นเจ็ดและเข้าพบเว่ยเยวียนที่ห้องน้ำชา
ขันทีใหญ่ผู้สูงส่งคนนี้มีจุดหมายในเส้นทางอยู่สองที่ คือพระราชวังและหอเฮ่าชี่
ต้องขอบคุณเครือข่ายข่าวกรองที่ปูทางโดยที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เว่ยเยวียนจึงไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอก เขาก็สามารถรู้ทุกเรื่องในใต้หล้าได้แล้ว
“เว่ยกง เมื่อวานตอนที่สวี่หนิงเยี่ยนออกจากพระราชวังก็ถูกคนลอบสังหารระหว่างทางขอรับ” จางไคไท่มอบสำนวนคดีไป
แววตาของเว่ยเยวียนเคร่งเครียดขึ้นมา เขารับสำนวนคดีไป ไม่ได้รีบร้อนเปิดออกดูแต่เอ่ยถามว่า “เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่มีบาดแผลร้ายแรง เพียงแต่เสียพลังจิตสาหัส ตอนนี้ยังหลับใหลอยู่ขอรับ” จางไคไท่เอ่ย
เว่ยเยวียนพยักหน้าแล้วจึงเปิดสำนวนคดีออก หลังจากอ่านดูอย่างรวดเร็วแล้วก็เงยหน้ามองจางไคไท่ “ระดับหลอมวิญญาณสองคน กระดูกเหล็กผิวทองแดงหนึ่งคน?”
ราวกับเขากำลังตรวจสอบให้แน่ใจอยู่
แม้ว่าจะเป็นคนฉลาดเก่งกาจเช่นเว่ยกง ก็มักจะถูกเจ้าเด็กนั่นทำให้ทึ่งอยู่บ่อยๆ…จางไคไท่เปล่งเสียง ‘อืม’ ออกมา
“กระดูกเหล็กผิวทองแดง”
เว่ยเยวียนเงียบไปนาน จู่ๆ ก็หัวเราะแผ่วเบาออกมา “ไม่เลว ไม่เลวเลย”
จางไคไท่ถือโอกาสกล่าว “จะเกี่ยวข้องกับคดีของพระสนมฝูหรือไม่ขอรับ”
“คดีพระสนมฝูเป็นเรื่องภายในของฝ่าบาท ไม่ใช่เรื่องที่ขุนนางภายนอกจะเข้าไปแทรกแซง แต่เรื่องนี้ข้าต้องรายงานขึ้นไป” เว่ยเยวียนปิดสำนวนคดีแล้วขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้มีหูตามากมายอยู่ในวัง ถึงอย่างไรพระราชวังก็เป็นอาณาเขตของจักรพรรดิหยวนจิ่ง หากแทรกหูตามากเกินไปจะทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพิโรธได้ ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ถูกกำจัดหมากสามตัวนั้นไป เว่ยเยวียนก็ล้มเลิกการสอดแนมในพระราชวังชั่วคราวแล้ว
ความรู้ใจระหว่างเจ้าและขุนนางที่ควรมีก็ต้องมี จักรพรรดิหยวนจิ่งได้บอกกับเขาตรงๆ ว่า ‘สืบข่าวในวังให้น้อยหน่อย’
แต่เมื่อสวี่ชีอันพบมือสังหาร เว่ยเยวียนก็เริ่มโกรธแล้ว เขาต้องเริ่มใช้หูตาในวังอีกครั้ง แล้วดูแลคดีนี้ด้วยตัวเอง
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านล่าง เว่ยเยวียนเงยหน้าขึ้นมา จางไคไท่ก็หันไปมองเช่นกัน
เจ้าพนักงานชุดดำผู้หนึ่งก้มหน้าเข้ามาในห้องน้ำชาแล้วเอ่ยด้วยความเคารพ “เว่ยกง ในวังมีคำสั่งมาว่าให้เรียกประชุมต้นยามเฉินขอรับ”
“รู้แล้ว” เว่ยเยวียนพยักหน้า
“บางทีอาจเกิดเรื่องใหญ่บางอย่าง…” จางไคไท่ลุกขึ้นอย่างรู้ความ “เช่นนั้นข้าน้อยขอตัวก่อนขอรับ”
การประชุมราชสำนักไม่ได้กระทำกันทุกวัน ปกติแล้ว จักรพรรดิที่ขยันขันแข็งจะเปิดประชุมใหญ่ทุกๆ สามวัน เวลาตามกำหนดการ
ส่วนจักรพรรดิผู้เกียจคร้านจะประชุมหนึ่งครั้งในสามถึงสิบวัน
เมื่อมาถึงจักรพรรดิหยวนจิ่ง ปกติจะไม่มีประชุมเช้า หากวันไหนอารมณ์ดีรู้สึกอยากจะจัดการกับราชกิจ ก็จะส่งคนไปแจ้งขุนนางก่อนหนึ่งวัน
แต่ในวันนี้ การประชุมชั่วคราวเร่งด่วนหมายถึงต้องมีเหตุใหญ่เกิดขึ้น
เว่ยเยวียนดื่มชาเสร็จก็เรียกหนานกงเชี่ยนโหรวมา แล้วเข้าวังไปพร้อมกับลูกบุญธรรมผู้นี้
จากนั้นยามเหม่า หกเค่อ พวกเขาก็มาถึงประตูอู่เหมิน บนลานกว้างมีขุนนางเมืองหลวงมาออกันอยู่เต็มไปหมด พวกเขากระซิบกระซาบพูดคุยกันถึงสาเหตุที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงเรียกประชุมอย่างกะทันหัน
ส่วนใหญ่เดาว่าเกี่ยวข้องกับคดีของพระสนมฝูหรือไม่ เพราะเรื่องใหญ่ในช่วงนี้ก็มีแต่เรื่องนี้แล้ว
คดีนี้เกี่ยวพันกับองค์รัชทายาท เกี่ยวพันกับรากฐานของแผ่นดิน จึงทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้นิ่งเงียบมานานต้องเรียกประชุมกะทันหัน แล้วรวมตัวขุนนางมาปรึกษากัน
“เว่ยกง”
ผู้ตรวจสอบฝ่ายขวาจากฝ่ายตรวจการเดินเข้ามาแล้วมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวัง จากนั้นกล่าวเสียงเบา “ในวังมีข่าวแพร่ออกมา ว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเข้าไปที่ตำหนักเฟิ่งฉี จากนั้นจึงออกมาพร้อมความพิโรธ”
เว่ยเยวียนชะงักนิ่งแล้วค่อยๆ พยักหน้า “อืม”
……………………………………………