ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 263 แบกหม้อดำ
บทที่ 263 แบกหม้อดำ
เมื่อมีการคัดลอกบทกวีมากขึ้นเรื่อยๆ สวี่ชีอันก็ค่อยๆ ค้นพบเล่ห์เหลี่ยมของการ ‘อวดความสามารถ’ ของพวกปัญญาชน หากคนอื่นถามอะไรแล้วเจ้าตอบตามนั้น จะมีแต่พวกอ่อนหัดเท่านั้นถึงทำ
จะต้องยั่วน้ำลาย ต้องยั่วน้ำลายให้ได้อย่างแน่นอน
เช่นเดียวกับตอนนี้ ตั้งแต่หมายเลขสี่ไปจนถึงพวกนักดื่ม ตั้งแต่พวกนักดื่มสู่นางคณิกา ตั้งแต่นางคณิกาไปจนถึงสาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ในงานเลี้ยง ทุกคนต่างมองมาที่เขาและตั้งตารอดู
ท่ามกลางสายตาของทุกคน สวี่ชีอันลุกขึ้นและเดินไปที่ห้องโถง หลังจากเดินไปได้เจ็ดก้าว เขาก็หยุดและกล่าวอย่างสบายๆ “สิบปีลับกระบี่”
ฉู่หยวนเจิ่นตกใจ เขาเพิ่งจะพูดว่าฝึกปราณกระบี่ สวี่ชีอันก็โพล่งประโยคนี้ออกมาทันที ไม่ได้หลบหนี และบทกวีนี้ก็เขียนขึ้นเพื่อเขา
หมายเลขสี่ซาบซึ้งขึ้นมาทันที เขาไม่เคยพบกับสวี่ชีอันมาก่อน แต่พอดื่มเหล้าไปสองสามคำก็เต็มใจที่จะเขียนบทกวีให้ตนเสียแล้ว เขาช่างเป็นมิตรและกระตือรือร้นต่อผู้อื่นมากจนทำให้รู้สึกละอายจริงๆ
หมายเลขสามเป็นปัญญาชนคนกล้าหาญ แม้ว่าเขาจะมีข้อบกพร่องเล็กน้อยเรื่องชอบหาผลประโยชน์ แต่โดยทั่วไปแล้วเขาเป็นคนที่น่าคบหา ญาติผู้พี่ของเขาก็ยิ่งมีน้ำจิตน้ำใจ สมกับที่เป็นพี่น้องกันจริงๆ
ขณะเดียวกันนั้น ฉู่หยวนเจิ่นก็นึกถึงฆราวาสจื่อหยาง หัวใจของเขาเริ่มร้อนรุ่มเล็กน้อย เขาก็เป็นปัญญาชนและรักในบทกวี เมื่อพบโอกาสที่พันปียากจะหาเจอเช่นนี้ จะไม่ตั้งตารอก็ไร้เหตุผล
สวี่ชีอันมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยประโยคที่สอง “คมวาวดีไม่เคยลอง”
‘สิบปีลับกระบี่ คมวาวดีไม่เคยลอง’ ขุนนางในที่นั้นพากันย่อยบทกวี ใบหน้ายิ้มพราว ดวงตาเปล่งประกาย
กวีท่อนนี้ดูเป็นระเบียบเรียบร้อย แม้ในด้านเสน่ห์หรือแนวคิดทางศิลปะจะไม่ได้ดีเท่ากวีบทก่อนๆ ของสวี่ชีอัน แต่ถึงอย่างไร ความงามของบทกวีนั้นไม่ได้อยู่แค่เสน่ห์หรือแนวคิดทางศิลปะหรอกนะ
สิบปีลับกระบี่ คมวาวดีไม่เคยลอง!
เพียงประโยคสั้นๆ แต่ความทะเยอทะยานและความภาคภูมิใจอันสูงส่งกลับโลดแล่นอยู่บนกระดาษ สิบปีลับกระบี่ ความหมายแสนทะนงตนเช่นนี้จะมีก็แต่บุคคลที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อยเช่นเขาเท่านั้นที่จะเขียนออกมาได้
ดวงตาของฉู่หยวนเจิ่นเป็นประกาย เขานั่งหลังตรงโดยไม่รู้ตัว ร่างกายของเขาโน้มลงบนโต๊ะครึ่งหนึ่งไปข้างหน้า ตั้งตารอกวีท่อนถัดไป
เหมาะสมอย่างยิ่ง เหมาะมากจริงๆ
หลายปีที่ผ่านมา เขาเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ ทั้งไปเปิดโลกและฝึกฝนปราณกระบี่ ส่วนอาวุธเวทมนตร์ขั้นสูงสุดของนิกายมนุษย์เล่มนี้ก็ถูกเก็บอยู่ในฝักมาตลอด ไม่เคยได้ปรากฏออกมาเลย
แต่สุดท้ายก็ต้องมีวันที่มันจะถูกชักออกจากฝัก เพียงแต่ตัวฉู่หยวนเจิ่นเองก็ไม่เคยคิดถึงเวลานั้นมาก่อน จะเป็นเหตุการณ์เช่นไรในอนาคตที่ทำให้เขาชักกระบี่เล่มนี้ออกมากันนะ
จนกระทั่งไม่นานมานี้ ผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ได้ส่งจดหมายทางกระบี่บินมาให้ โดยเรียกให้เขากลับมาเผชิญหน้ากับศิษย์ของนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน ฉู่หยวนเจิ่นจึงเข้าใจในทันใด ที่แท้มันก็รอคอยเวลานี้อยู่สินะ
เพียงแต่เขากลับบังเกิดความเสียใจขึ้นมา เมื่อกระบี่นี้ถูกชักออกมาแล้ว อานุภาพของมันจะต้องสั่นสะเทือนฟ้าดินแน่นอน และการใช้มันเพื่อสังหารหลี่เมี่ยวเจินก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลย
“ท่อนต่อไปคืออะไร? สิบปีลับกระบี่ แล้วจะชักออกจากฝักในสถานการณ์แบบใดกัน?”
ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ เต็มไปด้วยความกระหายที่อยากจะ ‘ครูพักลักจำ’
ตอนนี้เอง สวี่ชีอันก็ส่ายหัวและถอนหายใจ “ท่อนต่อไปยังไม่ได้คิดให้ดี”
“!!!”
“เอ่อ ทำไมถึงไม่มีแล้วล่ะ หนึ่งบทคงจะไม่ได้มีแต่ท่อนแรกหรอกนะ”
“ใต้เท้าสวี่ อย่ารั้นเลย พวกเรารออยู่นะ”
“ท่อนต่อไปคืออะไร ท่านลองคิดดูอีกทีเถอะ…”
ในห้องโถง ทุกคนเบิกตากว้าง รับความจริงข้อนี้ไม่ได้
สวี่ชีอันแบมือ ถือแก้วสุราแล้วกลับไปที่โต๊ะพร้อมเอ่ยอย่างช่วยไม่ได้ “ข้ายังคิดไม่ได้จริงๆ เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าแต่งท่อนแรก อีกครึ่งหลังค่อยเสริมให้พี่ฉู่คราวหน้าแล้วกัน เป็นอย่างไร?”
“ก็คงต้องเป็นอย่างนั้น” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างผิดหวัง
ฝูงชนยอมรับผลอย่างไม่เต็มใจ
การละเล่นในวงสุรายังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าการละเล่นชั้นสูงจะดูสง่างาม แต่บรรยากาศค่อนข้างน่าเบื่อ ฝูเซียงจึงเสนอให้เล่นทายนิ้ว ทุกคนตอบรับเป็นเสียงเดียวกันทันที
เหล่านางคณิกาเล่นทายนิ้วกับพวกนักดื่ม สุขสำราญอย่างยิ่ง
“พวกเรามาเล่นปาศรกันดีหรือไม่”
จอหงวนฉู่ผู้ไม่มีหญิงงามข้างกายเอ่ยเสนอ
งานเลี้ยงครั้งนี้จัดขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อต้อนรับเขา เขาจึงเป็นตัวเอกของงาน เขามีสิทธิ์พูดทุกอย่าง
การปาศรก็มีกฎของการปาศรอยู่ ซึ่งง่ายมาก วางไหหนึ่งใบไว้ในห้องโถง พวกนักดื่มจะได้ลูกศรคนละสามดอก หากโยนไม่ลงได้รับสุราลงโทษ ส่วนผู้ที่โยนลงสามารถสั่งให้ใครก็ตามในที่นี้ดื่มสุราได้
หลังจากผ่านไปสองสามรอบ ขุนนางระดับสูงเริ่มเมากันแล้ว พวกเขาค่อยๆ เปลี่ยนจากผู้เล่นเป็นคนดู แล้วเปลี่ยนจากคนดูไปเป็นฝูงชนที่โห่ร้องเสียงดัง
มีเพียงสวี่ชีอันและฉู่หยวนเจิ่นเท่านั้นที่ยังเล่นปาศรกันอยู่ และทุกดอกล้วนเข้าเป้า ทั้งคู่ราวกับกำลังอารมณ์ขึ้น ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมแพ้
เหล่าคณิกาตะโกนโห่ร้องอยู่ข้างๆ ไม่ว่าจะเป็นสวี่ชีอันหรือฉู่หยวนเจิ่นที่โยนลง พวกนางก็จะโห่ร้องเสียงดัง ดวงหน้าแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น
การแข่งปาศรอันน่าตื่นเต้นแบบหนึ่งต่อหนึ่งเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่ง
ในตอนแรก คณิกายังสามารถเป็นกลางอย่างยุติธรรมและไม่เอนเอียงไปฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่จากนั้นนางคณิกาสิบสองคนก็ค่อยๆ แบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนฉู่หยวนเจิ่น อีกฝ่ายสนับสนุนสวี่ชีอัน…ซึ่งล้วนเป็นสตรีที่เคยนอนกับสวี่ชีอันมาแล้วทั้งสิ้น อย่างฝูเซียง หมิงเยี่ยน และเสียวหย่า
“เล่นกันเช่นนี้คงหาผู้แพ้ชนะไม่ได้ ข้าเสนอให้ปิดตาเล่น” สวี่ชีอันกล่าว
ฉู่หยวนเจิ่นเงียบงันไปพักหนึ่งก็ส่ายหน้า “ถึงจะปิดตาก็ยังโยนลงทุกดอก เช่นนั้นข้าแนะนำว่าให้แต่ละคนได้ศรยี่สิบดอก ใครโยนหมดก่อน คนนั้นก็ชนะ”
น่าเล่น!
พวกนักดื่มและนางคณิกาดวงตาเป็นประกาย ต่างพากันแสดงท่าทีเห็นด้วย
ฝูเซียงสั่งให้สาวใช้นำผ้าไหมเข้ามาแล้วปิดตาทั้งคู่ สวี่ชีอันพบว่าผ้าไหมนั้นสามารถมองเห็นได้รางๆ และโปร่งแสงดีเยี่ยม ทั้งยังมองเห็นรูปร่างของไหได้อย่างคลุมเครือ
เขาหันกายกลับเงียบๆ หันหลังให้กับไห
ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นส่ายหัวพร้อมรอยยิ้มแล้วหันหลังกลับบ้าง
บรรยากาศในที่นั้นเริ่มคึกคักมากขึ้น ไม่เพียงแต่ถูกปิดตา แต่ยังหันหลังกลับอีกด้วย วิธีเล่นเช่นนี้พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
“แบบนี้จะเล่นได้อย่างไร” หมิงเยี่ยนพูดเบาๆ “ใครจะโยนลงกันเล่า!”
คณิกาอีกคนหัวเราะคิกคัก “คืนนี้ใต้เท้าคนใดเป็นผู้ชนะ หมิงเยี่ยนก็จะปรนนิบัติคนนั้นล่ะสิ”
หมิงเยี่ยนหน้าแดง แล้วร้อง “เชอะ” ก่อนเหลือบมองไปที่สวี่ชีอัน
สวี่ชีอันเป็นคนเฮฮา เขาหัวเราะในขณะที่ปิดตา “ไม่ได้ๆ รางวัลน้อยเกินไป ข้าต้องการพวกเจ้าทุกคนเลย”
นางคณิกาไม่อายแม้แต่น้อย พวกนางเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าสวี่ เช่นนั้นเกรงว่าพรุ่งนี้ท่านคงจะต้องคลำกำแพงไปทำงานแล้วกระมัง”
เสียงหัวเราะ ‘ฮ่าๆๆ’ ดังลั่นไปทั่ว
‘หมายเลขสามปฏิเสธข้อเสนอของเขาอย่างสุภาพ ดูแล้วคงเป็นพวกจริงจังที่ไม่เคยไปเที่ยวสำนักสังคีต แต่พี่ใหญ่ของเขาผู้นี้กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง’
ฉู่หยวนเจิ่นลอบถอนหายใจ สวี่ชีอันผู้นี้เป็นคนเจ้าสำราญจริงๆ เขาเหมือนเป็นเป็ดได้น้ำเมื่ออยู่ในสำนักสังคีต เปิดกว้างกว่าปัญญาชนคนใดทั้งสิ้น
สำหรับชนชั้นทหารทุกหมู่ทุกนายแล้ว สำนักสังคีตและหอนางโลมเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ดื่มสุรากับเหล่าเพื่อนร่วมงานและเพื่อนร่วมชั้น ส่วนร้านอาหารเป็นสถานที่ที่คนทั่วไปจะไปกัน แต่ผู้ที่มีสถานะจริงๆ จะเลือกไปยังสำนักสังคีตมากกว่า
คณิกามากความสามารถทำหน้าที่เป็นผู้นำ โดยมีสาวใช้เชื่อฟังน่าเอ็นดูคอยรินเหล้าปรนนิบัติ นี่สิถึงจะสมศักดิ์ศรี
แต่พวกชนชั้นทหารก็ยังเป็นห่วงหน้าตาตน ไม่ทำตัวเสเพลเกินไปนัก นี่เป็นจุดที่สวี่ชีอันแตกต่างแล้ว
“สุขสราญใจ แม้ตายเป็นผีใต้ดอกโบตั๋น!” สวี่ชีอันกอดเอวเล็กของฝูเซียง
ประโยคทองคำที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมากะทันหันเช่นนี้ทำให้ทุกคนในที่นั้นลอบทอดถอนใจชื่นชม พรสวรรค์ของคนผู้นี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ถ้อยคำอันไพเราะและกวีดีเยี่ยมล้วนติดอยู่ที่ปากทั้งสิ้น
หากคนผู้นี้เป็นปัญญาชน ก็คงกลายเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นหนึ่ง
สวี่ผิงจื้อช่างทำตัวสูญเปล่าแล้ว
‘เคร้ง!’
ลูกธนูถูกโยนลงไหอย่างแม่นยำ ขัดจังหวะความคิดต่างๆ ของทุกคน และดึงความสนใจของพวกเขากลับมา
สวี่ชีอันที่โยนลงหนึ่งดอกก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ฉู่ เริ่มเลยเถิด”
“ได้!” ฉู่หยวนเจิ่นตอบเสียงเรียบ
ขณะพูด เขาก็โยนลูกธนูไปข้างหลังอย่างตั้งใจและเข้าเป้าอย่างแม่นยำ
“ว้าว…”
หมิงเยี่ยนอุทานและเบิกตากว้าง
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’…
สวี่ชีอันและฉู่หยวนเจิ่นผลัดกันโยนคนละดอก ทุกดอกล้วนเข้าเป้า ทุกครั้งที่เข้าเป้า นางคณิกาก็จะตะโกนร้องอย่างตื่นตาตื่นใจ รู้สึกเหมือนเปิดโลก
การเล่นปาศรเป็นเพียงการละเล่นเล็กๆ แต่กลับถูกคนสองคนวาดลวดลายกันถึงขนาดนี้
ศรดอกแล้วดอกเล่า เมื่อสวี่ชีอันโยนเสร็จสิบดอก ฉู่หยวนเจิ่นก็โยนไปสิบสามดอก ในมือเหลืออยู่เพียงเจ็ดดอก
เมื่อในมือของสวี่ชีอันเหลือเพียงห้าดอก ในมือฉู่หยวนเจิ่นเหลือแค่สองดอก
ดูเหมือนว่าจะได้ผู้ชนะเสียแล้ว
สีหน้าของนางคณิกาอย่างฝูเซียงและหมิงเยี่ยนที่สนับสนุนฝั่งสวี่ชีอันเศร้าสร้อยขึ้นมา ยากจะปกปิดความผิดหวัง
ส่วนเหล่านางคณิกาที่สนับสนุนฉู่หยวนเจิ่นก็พากันปรบมือ เป็นการปรบมือให้กับจอหงวนแห่งปีหยวนจิ่งที่ยี่สิบเอ็ดผู้นี้
เหล่าขุนนางที่เฝ้าดูอยู่ราวกับคาดเดาถึงผลลัพธ์นี้ได้อยู่แล้ว แต่รอยยิ้มกลับจืดจางที่สุด
ฉู่หยวนเจิ่นเป็นบุคคลระดับตำนาน เมื่อตอนที่เขายังเป็นบัณฑิต เขาโดดเด่นเหนือเพื่อนร่วมชั้นเพราะมีพรสวรรค์และรูปลักษณ์ที่โดดเด่น แต่จากนั้นเขาก็ละทิ้งความรู้วิชาการไปฝึกเต๋า ไม่ว่าใครต่างก็ดูแคลนเขา เพื่อนที่มีมิตรไมตรีต่อเขาต่างก็พากันตัดสัมพันธ์
แต่ใครเล่าจะไปคิดว่าเพียงเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี เขากลับบินขึ้นฟ้าได้แล้วท้าทายฆ้องทองคำจางไคไท่ แม้จะพ่ายแพ้ แต่ก็ได้รับเกียรติจากเว่ยเยวียน แต่งตั้งให้เขาเป็นมือกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองหลวง
ในความคิดของพวกเขา อัจฉริยะที่ไม่มีใครเทียบได้เช่นนี้ย่อมยอดเยี่ยมยิ่งกว่าสวี่ชีอันที่สามารถสืบสวนคดีต่างๆ เป็นธรรมดา
ตอนนี้เอง ฉู่หยวนเจิ่นก็เริ่มนับถอยหลัง ขว้างศรดอกที่สอง และเข้าตรงเป้า
ฝูเซียงเม้มปาก นางถอนสายตากลับมาจากไหแล้วมองไปยังสวี่ชีอัน ก่อนค้นพบอย่างประหลาดใจว่ามุมปากของชายผู้นี้ยกยิ้มขึ้นมาน้อยๆ…นางคุ้นเคยกับสีหน้าเช่นนี้มาก ทุกครั้งที่สวี่ชีอันสุขสมหวัง เขาก็จะยกมุมปากเบาๆ เช่นนี้
‘เขามั่นใจ?!!’
ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา ฝูเซียงก็เห็นฉากอันน่าพิศวง สวี่ชีอันโยนลูกศรห้าดอกในมือออกไปพร้อมกัน พวกมันวาดเป็นเส้นโค้งอันเป็นระเบียบหนึ่งเส้นกลางอากาศ แล้วตกลงในไหอย่างสมบูรณ์แบบ
ลูกศรทั้งห้ากลับเกิดเพียงเสียงเดียว ‘เคร้ง’!
ห้องโถงตกอยู่ในความเงียบงันในทันใด ดวงตาแต่ละคู่ตาเบิกโพลง
แบบนี้ก็ได้หรือ
“กรี๊ด…” หมิงเยี่ยนร้องขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของสวี่ชีอันอย่างตื่นเต้น “ใต้เท้าสวี่ ข้าน้อยรักท่านยิ่งนัก”
ฝูเซียงขมวดคิ้ว
“ฝีมือขั้นเทพ” ฝ่ายตรวจการผู้หนึ่งเอ่ยทอดถอนใจ
“ที่แท้การเล่นปาศรก็เล่นกันเช่นนี้ได้ด้วย ช่างเปิดโลกแล้วจริงๆ” ขุนนางอีกคนหัวเราะร่วมไปด้วย
แววตาที่เหล่านางคณิกามองสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเคารพชื่นชมในทันที
ฉู่หยวนเจิ่นถอดผ้าปิดตาออกแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”
การประชุมชาดำเนินไปจนจบในต้นยามห้าย[1] นางคณิกาพากันอ้าปากหาวแล้วลุกขึ้นกล่าวลา ชายกระโปรงพลิ้วไหว เรือนร่างอ่อนช้อย
แม้ว่าจะง่วงงุนเล็กน้อย แต่คนงามก็ยังรู้สึกค้างคา คิดว่าในงานเลี้ยงที่มีสวี่ชีอันและกระบี่มือหนึ่งของเมืองหลวงเช่นนี้อยู่ช่างน่าสนใจยิ่งนัก น่าเสียดายที่แขกเปี่ยมคุณภาพเช่นนี้กลับไม่ได้มีมาทุกวัน
หมิงเยี่ยนแอบเขียนบนฝ่ามือของสวี่ชีอัน เป็นการหลอกล่อให้เขาไปยังเรือนชิงฉือของตน แต่ถูกฝูเซียงกล่าววาจาทิ่มแทงด้วยท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว นางถึงได้จากไป
ฉู่หยวนเจิ่นไม่ได้ค้างคืนที่สำนักสังคีต เขาเอ่ยขอตัวลาจากไป สวี่ชีอันไปส่งเขาออกจากเรือนด้วยตนเอง
หมายเลขสี่ช่างเฉยเมยเกินไป ทั้งยังมีความเย่อหยิ่งอย่างปัญญาชน…ข้าหาโอกาสทำให้เขาอับอายในสังคมไม่ได้เลย…สวี่ชีอันทอดมองเงาหลังของมือกระบี่ในชุดสีเขียว ในใจโศกเศร้านัก
แต่ปัญญาชนก็มีจุดอ่อนของปัญญาชนอยู่ อย่างเช่นบทกวี
เขาเก็บซ่อนกลอนท่อนต่อไปเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาอันควรแล้วค่อยหยิบยกขึ้นมา
มีเพียงสาวใช้ที่เหลือไว้คอยเก็บกวาดสถานที่ ส่วนฝูเซียงก็คล้องแขนสวี่ชีอันเข้าไปในห้องนอน สวี่ชีอันนั่งดื่มชาอยู่บนโต๊ะ จากนั้นใบหูก็ขยับไหว ก่อนที่จะได้ยินเสียงสัญญาณของจงหลี
เขาหันหน้าไปมองฉากบังตา ในแสงเทียนสะท้อนเงาร่างของอรชรของนางอยู่บนฉากบังตา และกำลังถอดอาภรณ์ทีละชิ้นๆ ลง เพื่อเปลี่ยนเป็นผ้าโปร่งบาง
ขณะอาบน้ำ จู่ๆ สวี่ชีอันก็พูดขึ้นว่า
“อีกสักสองสามวันข้าจะไปไถ่ตัวเจ้า”
ฝูเซียงตกตะลึง ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์ฉายประกายซับซ้อน นางครุ่นคิดได้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยพร้อมรอยยิ้มจางๆ “สวี่หลางเพิ่งจะได้เป็นท่านจื่อ การรับสนมในตอนนี้มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของท่านนะเจ้าคะ”
“ก็ช่างปะไร” สวี่ชีอันกล่าวด้วยรอยยิ้มขณะกอดเอวเรียวบางของนาง
หลังอาบน้ำเสร็จ เขาก็มาเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงกับฝูเซียง ขณะรุมเร้าพัวพันกันอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียง ‘โครม’ ดังขึ้น จากนั้นก็เป็นความรู้สึกราวกับไร้น้ำหนัก
เตียงพังลงมา
ฝูเซียงร้องอุทานแล้วกอดตัวสวี่ชีอันเอาไว้ ขาเรียวยาวราวกับงูหลามเผือกรัดอยู่ที่เอวของเขาแน่นๆ จนชวนให้ตกใจ
จงหลี ข้าต้องการคืนสินค้ากับท่านโหราจารย์!
สวี่ชีอันโมโหมาก
…
หลังจากออกจากหออิ่งเหมยแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นก็ใช้นิ้วตวัดกระบี่ กระบี่ด้ามยาวบนหลังของเขาคล้ายมีชีวิต หลุดจากพันธนาการราวกับปลาว่ายน้ำ ก่อนออกมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา
ฉู่หยวนเจิ่นเหยียบลงบนฝักกระบี่แล้วเอ่ยเสียงเบา “ไป”
กระบี่ยาวนิ่งไปเล็กน้อย แล้วทะลวงแหวกท้องฟ้ายามราตรีพุ่งตรงไปข้างหน้า
ทันทีที่บินขึ้นฟ้ายามราตรี ฉู่หยวนเจิ่นก็สัมผัสได้ว่าในเมืองหลวงมีสายตานับไม่ถ้วนกำลังจับจ้องมาที่ตน จากนั้นก็ละสายตาออกไป การจ้องมองที่ทำให้เขาหนาวสั่นมากที่สุดมาจากหอดูดาวสูงตระหง่านแห่งนั้น
เขารีบออกจากเมืองชั้นในแล้วบินไปทางทิศใต้ของเมืองชั้นนอกอย่างรวดเร็ว
หากจำไม่ผิด เหิงหย่วนหมายเลขหกน่าจะอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็ก เขาลดระดับความสูงลง หาอยู่ไม่นาน ในที่สุดก็พบสถานรับเลี้ยงเด็กที่เมืองทิศใต้
ฉู่หยวนเจิ่นมิใช่คนเมืองหลวงโดยกำเนิด แต่เขาศึกษาอยู่ที่ราชวิทยาลัยหลวง ได้เป็นบัณฑิตขั้นสูง และใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองชั้นในมาตลอด ไม่เคยมายังเมืองชั้นนอกที่มีคนยากจนรวมตัวกันเช่นนี้มาก่อน
เขากดหัวกระบี่ลงที่ลานเรือนของสถานรับเลี้ยงเด็กแผ่วเบา ก่อนจะกระโดดลงมาจากฝักกระบี่ พร้อมกันนั้นก็ได้ยินเสียงเปล่งนามพระพุทธเจ้าดังออกมาจากใต้ชายคา
“อามิตตาพุทธ”
ฉู่หยวนเจิ่นเก็บฝักกระบี่แล้วเสียบเอาไว้ที่ห่อกระบี่ด้านหลังก่อนมองไปตามเสียง ท่ามกลางความมืดใต้ชายคานั้น มีภิกษุสวมชุดสีครามซอมซ่อรูปหนึ่งยืนอยู่ เขามีเรือนร่างสูงใหญ่บึกบึน คิ้วหนาตาโต กรอบเส้นใบหน้าคมชัด
“ไต้ซือเหิงหย่วน?” ฉู่หยวนเจิ่นทักทายด้วยรอยยิ้ม
“อาตมาเอง ประสกคือหมายเลขสี่?” เหิงหย่วนประนมมือแล้วมองเขาเงียบๆ
สองคนที่เพิ่งเคยพบหน้ากันครั้งแรกนิ่งเงียบไร้อารมณ์อย่างยิ่ง ทั้งไม่สนิทสนมและไม่คุ้นเคย เหิงหย่วนเชิญให้ฉู่หยวนเจิ่นเข้ามาในห้องแล้วจุดตะเกียง ก่อนไปหยิบขวดเหล้าออกมาจากใต้เตียงพร้อมกับชามกระเบื้องสองใบ จากนั้นใช้แขนเสื้อเช็ดฝุ่นออกง่ายๆ
ฉู่หยวนเจิ่นไม่เคยปฏิเสธรสสุรา เมื่อดื่มรวดเดียวหมด เขาก็รู้สึกแปลกใจ “ศิษย์ของศาสนาพุทธดื่มเหล้าได้ด้วยหรือ”
เหิงหย่วนตอบอย่างใจเย็น “จอมยุทธ์ภิกษุกินได้ทั้งผักและเนื้อ”
ประโยคนี้ยังมีความหมายแฝงอยู่หนึ่งอย่าง ‘จอมยุทธ์ภิกษุไม่จำเป็นต้องถือศีล’
“วันนี้ข้าได้พบกับหมายเลขสามแล้ว”
ฉู่หยวนเจิ่นรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้นำถั่วมา มีสุราแต่ไร้กับแกล้มก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไป
เหิงหย่วนพยักหน้า
“หมายเลขสามแสร้งทำเป็นไม่รู้จักข้า…ด้วยความเฉลียวฉลาดของเขา ข้าเชื่อว่าเขาต้องจำข้าได้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ไม่รู้เหตุใดถึงต้องแกล้งทำเป็นไม่รู้จัก”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้าอย่างจนปัญญา พลางกล่าวว่า “เมื่อบำเพ็ญตนถึงระดับแปด การฝึกตนก็จะตื้นเขิน”
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้ความลับของหมายเลขสาม หมายเลขสามเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าที่ตำหนักรองปราชญ์เอก การปฏิบัติตนต่อหมายเลขสามนั้นจึงไม่อาจมองแค่ผิวเผินได้
ไต้ซือเหิงหย่วนดื่มเหล้าลงไปแล้วเอ่ยนิ่งๆ “เทียบกับหมายเลขสามแล้ว อาตมาค่อนข้างถูกชะตากับใต้เท้าสวี่มากกว่า ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าเขาไม่ได้ตายที่อวิ๋นโจว…”
หลังจากหมายเลขหกอธิบายเรื่องตายแล้วฟื้นคืนชีพของสวี่ชีอันให้ฟังจนจบแล้ว ฉู่หยวนเจิ่นก็พยักหน้า “แม้ว่ายาคืนชีพจะดี แต่ก็มีข้อจำกัดมากเกินไป ที่เขายังมีชีวิตรอดมาได้ล้วนเป็นเพราะโชคของตัวเอง ข้าเพิ่งจะพบกับสวี่ชีอันที่สำนักสังคีตเมื่อกี้ ข้าประทับใจเขาอย่างยิ่ง คิดว่าคงเป็นเพราะได้ยินพวกเจ้าคุยเรื่องเขาในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีมาหลายครั้ง จึงไม่ได้รู้สึกห่างเหินกับเขา”
หยุดไปพักหนึ่ง หมายเลขสี่ก็ยิ้มออกมา “ข้าไม่ค่อยได้สมาคมหมายเลขสาม แต่สวี่ชีอันถูกชะตาข้ามากจริงๆ”
หลังจากดื่มเหล้าในขวดจนหมด ฉู่หยวนเจิ่นก็เสนอว่าอยากจะไปดูเด็กคนนั้น หลังจากดูเสร็จแล้ว สีหน้าก็หดหู่ขึ้นมา
“ถึงแม้ข้าจะมิได้ชอบศาสนาพุทธ แต่มีประโยคที่พวกเขากล่าวได้ถูกต้อง โลกนี้ราวกับทะเลทุกข์ ที่มีสรรพสิ่งดิ้นรนอยู่ในนั้น” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยทอดถอนใจ
ไต้ซือเหิงหย่วนเหลือบมองเขา
ฉู่หยวนเจินรีบกล่าวว่า “มิได้ตั้งใจทำให้ขุ่นเคืองนะ”
เหิงหย่วนจึงถอนสายตากลับมา
“อีกสามวันจะมีการสอบรอบที่สอง พวกเราไปดูหมายเลขสามกันเถอะ” เหิงหย่วนกล่าว “หมายเลขสามไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนของเขากับเรา เขาบอกว่าหากได้พบหน้ากัน เพียงแค่ยิ้มให้กันก็พอ”
“อย่างนั้นหรือ” ฉู่หยวนเจิ่นตกตะลึง
…
สามวันผ่านไปในชั่วพริบตา
ท้องฟ้าแจ่มใส สวี่เอ้อร์หลางและครอบครัวมาถึงยังสนามสอบแล้ว
“ลัทธิขงจื๊อระดับเก้ามีความสามารถเห็นผ่านตาไม่มีวันลืม และการสอบครั้งนี้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ เอ้อร์หลางไม่กดดันแน่นอน” สวี่ชีอันตบบ่าของเขาเป็นการสนับสนุน
อารองสวี่และอาสะใภ้ยิ้มเต็มหน้า
ตามความคิดของเอ้อร์หลาง คำถามด้านการเมืองในวันแรกเขาทำได้ดีมาก เดิมทีเขาก็เชี่ยวชาญด้านการเมืองอยู่แล้ว และคำถามในด้านคัมภีร์สนามนี้ก็ไม่เป็นปัญหานัก
ในสายตาของอารองสวี่และอาสะใภ้ เอ้อร์หลางกลายเป็นผู้ที่สอบผ่านแน่นอนแล้ว
สวี่ซินเหนียนเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วเอ่ยอย่างเย่อหยิ่ง “บัณฑิตทั่วหล้ามีอัจฉริยะมากมาย ไม่อาจประมาทได้ บางทีอาจจะมีผู้ที่เก่งกาจกว่าข้าก็อยู่ก็ได้”
อาจจะมี…สวี่ชีอันลอบเอ่ยในใจ เรื่องขี้เก๊ก เจ้าน่ะเก่งยิ่งกว่าใคร
เมื่อเอ่ยลากับครอบครัวแล้ว เขาก็เดินไปยังประตูของสนามสอบและกำลังจะต่อแถวเข้าไป แต่ตอนนั้นเอง ที่ข้างหูก็มีเสียงก้องกังวานดังขึ้นมา “อามิตตาพุทธ”
สวี่ซินเหนียนมองไปข้างๆ ก็เห็นคนสองคนยืนอยู่ริมถนน คนหนึ่งเป็นภิกษุรูปร่างบึกบึน คนหนึ่งเป็นมือกระบี่ในชุดสีเขียวที่สะพายกระบี่ไว้บนหลัง
หลังจากมองเห็นพวกเขา ภิกษุและมือกระบี่ก็ส่งรอยยิ้มลึกลับมาให้
…ใบหน้าของสวี่ซินเหนียนแข็งค้าง เขาก้มหน้าลงแล้วก้าวฉับๆ กลับไปหาบิดาและพี่ใหญ่ พลันในใจก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันที
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ ข้าสงสัยว่ามีคนกำลังวางแผนร้ายกับข้า” สวี่ซินเหนียนกล่าวเสียงขรึม
สวี่ผิงจื้อเลิกคิ้วขึ้นเมื่อได้ยินดังนั้น แววตาราวกับสายฟ้าฟาด “ใคร?”
เขาเป็นกองดาบลาดตระเวน รู้ว่าช่วงนี้มีจอมยุทธ์จากยุทธภพจำนวนมากที่เข้ามาในเมืองหลวง และเป็นปัจจัยที่ไม่แน่นอนสำหรับความสงบเรียบร้อยอย่างยิ่ง
ที่เห็นได้ชัดที่สุดก็คือพวกย่องเบาที่มีมากขึ้น พวกตมที่อยู่ชั้นล่างของยุทธภพเหล่านั้นจะใช้เงินในเมืองหลวงไปจนหมด แล้วก็ไม่ได้หาเลี้ยงชีพ ตัวเลือกแรกจึงเป็นการขโมยชิงทรัพย์
“ภิกษุหนึ่งรูป มือกระบี่หนึ่งคน” สวี่ซินเหนียนหันกลับไปแล้วชี้ไปข้างหลัง
สวี่ชีอันมองอยู่พักหนึ่งก็เอ่ย “ไม่เห็นมีใครนี่”
“???”
สวี่ซินเหนียนแสดงสีหน้าหวาดกลัว “เมื่อครู่ยังอยู่ตรงนั้นเลย”
“เอาล่ะ แม้จะบอกว่าเจ้าไม่กดดัน แต่ข้าว่าเจ้าเกิดอาการหลอนแล้วล่ะ” สวี่ชีอันตบไหล่น้องชายแล้วพูดว่า
“เอ้อร์หลาง พวกคนที่เจ้าไม่รู้จักและทำตัวแปลกๆ เหล่านั้น เจ้าก็อย่าไปสนใจนักเลย”
พูดพลางเอามือค้ำยันหลังของสวี่ซินเหนียน
สวี่เอ้อร์หลางมองหลังของตัวเองแล้วเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “พี่ใหญ่จะทำอะไร”
“ไม่มีอะไร ช่วยเจ้าแบกหม้อดำอย่างไรเล่า”
……………………………………..
[1] ยามห้าย (亥:hài) ประมาณ 21.00 – 22.59 น