ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 264 ฉู่หยวนเจิ่น ‘ให้ข้าออกไปก่อนดีหรือไม่’
บทที่ 264 ฉู่หยวนเจิ่น ‘ให้ข้าออกไปก่อนดีหรือไม่’
ต้นวสันตฤดู ฝนตกหนัก ลมพัดแรง
เรือสำเภาลำหนึ่งฝ่าลมโต้คลื่น แรงลมพัดผืนผ้าใบจนโป่งพอง
หลังรับประทานอาหารกลางวัน ซ่งถิงเฟิงถือดาบไว้ในมือ ก้าวขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ และมองไปยังเมืองหลวงตามทิศทางลม
ระยะเวลาหนึ่งเดือนกว่าที่เพลิงสงครามลับความคมคายบนใบหน้าของเขา โลหิตชำระดวงตาของเขาจนเฉียบแหลม เปลี่ยนแปลงจิตวิญญาณของคนคนหนึ่งไปอย่างมหาศาล
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ซ่งถิงเฟิงไม่หันมอง แต่กลับชี้ไปทางทิศเหนือแล้วกล่าว “อีกสิบวัน ก็ถึงเมืองหลวงแล้ว”
จูกว่างเสี้ยวส่งเสียง ‘อืม’ มองไปทางทิศเหนือเคียงข้างซ่งถิงเฟิง เขายังคงเงียบขรึม นอกจากบุคลิกที่สุขุมและจริงใจมากขึ้น นอกนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก
ตรงกันข้ามก็คือซ่งถิงเฟิงที่กะล่อนปลิ้นปล้อน ดูเหมือนจะกลับเนื้อกลับตัวได้แล้ว
“ด้วยการทำความดีความชอบในการสู้รบของข้าในอวิ๋นโจว ก็เพียงพอที่จะแลกเปลี่ยนกับภาพตระหนักรู้ของระดับหลอมวิญญาณ…” ซ่งถิงเฟิงยิ้ม “ข้าวางแผนว่าจะก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณ”
หากเป็นเมื่อก่อน จูกว่างเสี้ยวคงตกใจ ทำงานด้วยกันมาหลายปี เขารู้ว่าซ่งถิงเฟิงเป็นคนขาดความกระตือรือร้น แค่ได้คลุกคลีกับฆ้องทองแดงก็พึงพอใจแล้ว ตอนกลางวันออกไปลาดตระเวน ตอนกลางคืนไปเที่ยวสำนักสังคีต ดำเนินชีวิตอย่างสบายๆ
หากการทำความดีความชอบในการสู้รบของอวิ๋นโจวสามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ คงเพียงพอสำหรับเขาที่จะอาศัยอยู่ในสำนักสังคีตเป็นเวลาหนึ่งปี
“อืม”
จูกว่างเสี้ยวพยักหน้า
ในเวลานี้ ฆ้องทองแดงอีกกลุ่มก็ออกมาตากลมบนดาดฟ้าเรือหลังจากรับประทานเสร็จ หัวเราะเอิ๊กอ๊าก สีหน้าดูมีความสุขและตั้งตารอที่จะกลับบ้าน
“ถิงเฟิง รอให้ถึงเมืองหลวงแล้ว ไปดื่มสุราด้วยกันที่สำนักสังคีตเถิด” ฆ้องทองแดงที่รู้จักท่านหนึ่ง เดินมากอดคอ
ซ่งถิงเฟิงดูเหมือนจะไม่ได้ยิน และมองไปทางทิศเหนืออย่างเงียบขรึม
ฆ้องทองแดงผู้นั้นเดินจากไปด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย
ซ่งถิงเฟิงพ่นลมหายใจขุ่นมัว พลางกล่าว “พรสวรรค์ของข้าไม่ได้ย่ำแย่ ติดอยู่จุดสูงสุดของระดับหลอมปราณมาหลายปีแล้ว รากฐานก็แข็งแกร่งพอแล้ว ปลายปีนี้คงจะก้าวสู่ระดับหลอมวิญญาณได้ไม่ยาก”
“ช่วงนี้ข้าคิดอยู่ตลอดว่า หากข้าไม่เกียจคร้าน หากข้าไม่ใช่คนที่ไร้ประโยชน์เช่นนั้น หากข้าอยู่ในระดับหลอมวิญญาณตอนอยู่ที่อวิ๋นโจว…”
ซ่งถิงเฟิงก้มศีรษะ กล่าวเสียงเบา “ไม่ไปสำนักสังคีตแล้ว จะไม่ไปอีกแล้ว”
จูกว่างเสี้ยวปิดปากเงียบ และตบบ่าของเขา
…
การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบ ในตอนแรก อารองสวี่และสวี่ชีอันค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสภาพของสวี่เอ้อร์หลาง จึงคอยไถ่ถามทุกข์สุข
ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยพ่อแม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไร ตอนนี้สวี่ชีอันก็ปฏิบัติต่อสวี่เอ้อร์หลางเช่นนั้น
แต่ความวุ่นวายที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา ทำให้สวี่ผิงจื้อซึ่งมีฐานะเป็นหัวหน้ากองดาบ และสวี่ชีอันที่เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลยุ่งจนหัวหมุน
ชาวยุทธ์มีนิสัยเหี้ยมโหด ก้าวร้าว พวกวีรบุรุษผู้กล้าหาญรักความเป็นธรรมจริงๆ ก็มี แต่ส่วนใหญ่เป็นพวกสวะชั้นต่ำ คนปกติที่ไหนจะไปคลุกคลีกับชาวยุทธ์กัน
หากเงินหมด ก็เลือกลงมือกับครอบครัวเศรษฐีชื่อเสียงฉาวโฉ่สักสองสามครอบครัว จากนั้นก็ค่อยทำตัวเป็นใจบุญช่วยเหลือคนยากไร้ใกล้ตายสักครั้ง ก็ถือว่าเป็นจอมโจรคุณธรรมแล้ว
อย่างหลี่เมี่ยวเจินที่เป็นจอมยุทธ์หญิงผู้ส่งผ่านความดีงามสู่แผ่นดิน และสนับสนุนความยุติธรรมที่แท้จริง หาได้ยากนัก
ในเวลาเพียงสี่หรือห้าวัน ลำพังสวี่ชีอันคนเดียวก็จับชาวต่างแดนที่เมาแล้วก่อเหตุทะเลาะวิวาทได้หลายคนแล้ว ตามที่อารองบอก เมืองชั้นนอกจับกุม ‘สุภาพชนบนขื่อคาน[1]’ ได้ทุกคืน แต่เมืองชั้นในกลับสงบสุข
เนื่องจากเมืองชั้นในมีกฎห้ามออกจากเคหสถานเวลาค่ำคืน หากกองกำลังทั้งห้าของเมืองหลวงที่ลาดตระเวน พบเห็นใครออกมาเพ่นพ่านในยามราตรี ก็สามารถยกคันธนูขึ้นตักเตือนได้ เมื่อถึงตอนนั้น หากเลือกที่จะหลบหนี ก็จะถูกยิงสิ้นลมคาที่
ยิ่งถ้าเป็นผู้ต้องสงสัยที่เดินดุ่มๆ บนหลังคา ไม่จำเป็นต้องเตือนด้วยธนู เพราะมีสิทธิ์ที่เรียกว่าสังหารก่อนรายงานทีหลัง
เมื่อพบเห็นคนก่อเรื่องทะเลาะวิวาท ปกติก็มักจะส่งเข้าคุก และรอให้พรรคพวกมาประกันตัว ความผิดลหุโทษที่ไม่ถึงโทษตายนั้นเป็นอะไรที่น่ารำคาญที่สุด
วันนี้สวี่ชีอันพาฆ้องทองแดงสองนายออกลาดตระเวน เดินผ่านหอนางโลมแห่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกระเบื้องแตกดัง ‘เพล้ง เพล้ง‘
เมื่อมองขึ้นไป ก็เห็นชาวยุทธ์สองคนกำลังต่อสู้กันอยู่บนหลังคา
ในกลุ่มคนดูข้างล่าง มีทั้งคนชี้ไม้ชี้มือ ทั้งโห่ไล่ และโห่ร้องให้กำลังใจ
“มารดามันเถิด ไอ้หมาพวกนี้ อาวุธก็ยึดไปแล้วยังจะก่อเรื่องอีก” สวี่ชีอันก่นด่า และสั่งการฆ้องทองแดงที่อยู่ข้างกาย “ไป พามันลงมาให้ข้า และนำตัวกลับไปที่ทำการปกครอง”
ในที่นี้มีแต่ชาวบ้านธรรมดามุงดู ไม่เหมาะแก่การตีฆ้อง คลื่นเสียงของอาวุธเวทมนตร์จะทำให้ประชาชนที่อยู่รอบข้างบาดเจ็บได้
ฆ้องทองแดงสองนายพุ่งตัวและกระโดดขึ้นไป แล้วกล่าว “เมืองชั้นในห้ามมีเรื่องทะเลาะวิวาท ตามข้าไปที่ทำการปกครองเดี๋ยวนี้”
พวกเขากำลังเตือนไม่ให้อีกฝ่ายขัดขืน ความหมายเช่นเดียวกับการยกคันธนูขึ้นเพื่อตักเตือน
ใครจะคิดว่าชาวยุทธ์ทั้งสองจะสู้กันได้อย่างดุเดือด เหล่าทหารหาญเห็นดังนั้นก็รู้สึกโมโห ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม เข้าไปคลุกวงในด้วย
หนึ่งในฆ้องทองแดงหลบหลีกการโจมตีด้วยเท้าสุดร้ายกาจได้อย่างหวุดหวิด ความโกรธพุ่งทะยาน ชักดาบออกมาเสียงดัง ‘ชิ้ง’ และหมุนตัวฟันกระบี่พลังปราณเข้าใส่
แม้ฆ้องทองแดงจะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลระดับต่ำสุด แต่การฝึกตนระดับหลอมปราณก็ถือเป็นมือดีในยุทธภพ ชาวยุทธ์ทั่วไปไม่ใช่คู่ต่อสู้
‘ติ๊ง!’
พลังปราณดีดขึ้นมาเองจากด้านล่าง ปะทะเข้ากับคมดาบของฆ้องทองแดงอย่างจัง จนตัวดาบหักจากกัน
ชาวยุทธ์ที่รอดชีวิตจากความตายฮึดสู้ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมด เตะยอดอกของฆ้องทองแดงไปหนึ่งที ฆ้องทองแดงที่ถูกเตะตกลงมาจากหลังคา ตีลังกากลางอากาศอย่างสวยงาม และลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
สวี่ชีอันหรี่ตา ใช้นิ้วหัวแม่มือดีดดาบยาวสีดำทองออกมา
ราวกับรู้สึกถึงจิตสังหารของเขา ใครบางคนคนจากชั้นล่างตะโกนขึ้นมา “หยุด!”
เป็นชาวต่างแดนสองกลุ่มที่แต่งกายสะดุดตา คนหนึ่งเป็นคุณชายวัยละอ่อน และยังมีจอมยุทธ์หญิงรูปร่างอวบอึ๋ม หน้าตาสวยหยาดเยิ้ม ในขณะเดียวกัน ก็ยังมีชายวัยกลางคนไม่ก็ชายชรายืนอยู่ด้านหลังพวกเขา
เมื่อได้ยินเหล่านายท่านตะโกนให้หยุด สองชาวยุทธ์จึงรามือ
สวี่ชีอันถือดาบพกไว้ในมือข้างหนึ่ง ย่างสามขุมเข้าไปอย่างไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
“ใต้เท้าท่านนี้ ข้าน้อยลู่ฉุนจากตระกูลลู่แห่งจิงโจวขอรับ” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาในชุดฮั่นฝูสีขาวผู้หนึ่งประสานมือโค้งคำนับ
เมื่อเห็นสวี่ชีอันเดินเข้ามา ดวงตาของสาวงามทั้งหลายต่างเป็นประกายวับวาว
สวี่ชีอันพยักหน้า มองไปยังอีกกลุ่มหนึ่ง กล่าวถาม “แล้วพวกท่านเล่า”
หัวหน้าของอีกฝั่งคือคุณชายที่มีบุคลิกอ้อนแอ้นท่านหนึ่ง เขาส่งเสียง ‘หึ’ ออกมา ชายชราที่อยู่ข้างกายก็กุลีกุจอกล่าวแทน “เรียนใต้เท้า ตระกูลจ้าวแห่งจิงโจวขอรับ”
ตระกูลลู่และตระกูลจ้าวเป็นตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงในจิงโจว ภายในตระกูลนอกจากเสาหลักที่เดินบนเส้นทางขุนนาง ยังมียอดฝีมือแห่งยุทธภพ คลุกคลีทั้งโลกมืดและสว่าง
พูดง่ายๆ ก็คือเศรษฐีบ้านนอก แต่แน่นอนว่าตระกูลใหญ่เช่นตระกูลลู่และตระกูลเจ้า ได้หลุดจากกรอบของ ‘เศรษฐีบ้านนอก’ ไปแล้ว เรียกได้ว่าเป็นตระกูลที่รุ่งเรืองเฟื่องฟูก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินจริง
ทั้งสองตระกูลยามอยู่ที่จิงโจวเปรียบเสมือนน้ำกับไฟ ต่างฝ่ายต่างแทงข้างหลังในหน้าที่การงาน และตีรันฟังแทงกันอีกในยุทธภพ เพราะมีความแค้นเกี่ยวพันกันมาช้านาน
ครั้งนี้มาชมการต่อสู้ที่เมืองหลวง แล้วบังเอิญพบเจอกันกลางทางพอดี
ทั้งสองฝ่ายพูดจาถากถางกันไม่กี่ประโยค ก็บังเกิดเพลิงโทสะ แต่ยังถือว่ายับยั้งชั่งใจได้ จึงส่งเพียงยอดฝีมือที่เลี้ยงดูมาสองคนขึ้นไปต่อสู้กันบนหลังคาแทน
แม้จะเป็นเรื่องผิดกฎหมายการทะเลาะวิวาทบนท้องถนนก็ตาม แต่ไม่มีผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บ หรือได้รับความเสียหายมากนัก ด้วยอำนาจของทั้งสองตระกูล จึงสามารถสยบเรื่องวุ่นวายได้อย่างหมดจด
“เมื่อครู่ผู้ใดเป็นคนดีดพลังปราณ” สวี่ชีอันกวาดตามองทุกคน
คุณชายที่มีบุคลิกอ้อนแอ้นเชิดคางขึ้น “ข้าเอง”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ มองไปยังคนทั้งสองกลุ่ม “เอาเถิด เชิญพวกท่านทุกคนตามข้าไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสักประเดี๋ยว”
คุณชายตระกูลลู่ที่หน้าตาหล่อเหลาท่านนั้นคิ้วขมวดแน่น
“อะไรนะ”
คุณชายผู้มีบุคลิกอ้อนแอ้นยิ้มเย้ยหยัน “พวกข้าไม่ได้ต่อสู้กันบนท้องถนนเสียหน่อย ท่านพาพวกเขาสองคนกลับที่ทำการปกครองสิถึงจะถูก”
“ข้าให้เจ้าไปก็ไปเสีย หากร่ำรี้ร่ำไรอีก ข้าจะตัดหัวเจ้าคอยดูเถิด” สวี่ชีอันพ่นผรุสวาจา
ลำพังแค่โจมตีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โทษก็หนักหนาพอแล้ว ชาวต่างแดนกลุ่มนี้ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก
“มีสิทธิ์อันใด อยู่ใต้บารมีฝ่าพระบาท หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ต้องรักษากฎเกณฑ์” คุณชายผู้มีบุคลิกอ้อนแอ้นหาได้ไหวหวั่น
‘เคร้ง!’
ดาบยาวสีดำทองถูกชักออกจากฝัก ปรากฏเส้นสีทองบางๆ ก่อนจะหายวับไปในพริบตา
คุณชายผู้มีบุคลิกอ้อนแอ้นยังไม่ทันไหวตัว ความตายก็มาเยือนตรงหน้าในพริบตา หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงาม บุคลิกอ่อนโยนที่อยู่ข้างกายเขาตอบสนองกลับไปก่อน ด้วยการถอดปิ่นเงินบนศีรษะออกมา และหันไปทางปราณดาบ
‘ตู้ม!’
ปิ่นสีเงินระเบิด ทำให้นิ้วเรียวได้รับบาดเจ็บจากปราณดาบ
สวี่ชีอันดีดตัวขึ้น เตะหญิงสาวคนนั้นตัวปลิว หลังจากร่วงลงพื้นก็เตะซ้ำด้วยหน้าแข้ง ก่อนจะเตะคุณชายผู้อ้อนแอ้นล้มลงไปกองกับพื้นอีกคน
ลูกเตะนี้ใช้พลังด้านมืด แม้กระดูกไม่หัก แต่ลูกเตะก็ทำร้ายอวัยวะภายในของอีกฝ่าย
สวี่ชีอันยื่นดาบไปตรงหน้า โดยไม่หันมองคุณชายผู้อ้อนแอ้น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก “ต่อให้เป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดง ข้าก็ทำให้เจ้าก้าวออกจากเมืองหลวงไม่ได้เหมือนกัน”
ใบหน้าของชายชราซีดเผือด ก้มลงมองที่หน้าอก
สวี่ชีอันหันกลับมา และมองไปที่กลุ่มของตระกูลลู่ “พวกเจ้าจะไปหรือไม่”
สายตาของกลุ่มตระกูลลู่หันไปมองหน้าอกของผู้เฒ่า ซึ่งปรากฏรอยแดงขึ้นมา
กระดูกเหล็กผิวทองแดง…ถูกทลายเกราะป้องกันเสียแล้ว
พวกเขาพิจารณาสวี่ชีอันใหม่อีกครั้ง ฆ้องเงินผู้นี้อายุยังน้อย ได้เป็นถึงฆ้องเงินตั้งแต่อายุเท่านี้ถือเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายของพวกเขาทีเดียว
เพียงกวัดแกว่งดาบครั้งเดียวและลูกเตะลูกเดียวเมื่อครู่ก็ล้มคุณหนูใหญ่ระดับหลอมวิญญาณแห่งตระกูลจ้าวได้แล้ว ตามมาด้วยการทลายเกราะเนื้อของระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงในดาบเดียวอย่างง่ายดายในชั่วพริบตา
ระดับการฝึกตนขั้นนี้ก็น่าสะพรึงกลัวอยู่แล้ว แต่พรสวรรค์กลับเสริมให้ชวนตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม
สมแล้วที่เป็นเมืองหลวง ขนาดฆ้องเงินผู้หนึ่งที่บังเอิญพบเจอตามท้องถนน ก็เป็นถึงระดับอัจฉริยบุคคล
“ให้ใต้เท้าตัดสินใจเลยขอรับ” คุณชายหน้าตาหล่อเหลาไม่กล้าขัดขืน
…
ขณะที่คุมตัวทั้งสองกลุ่มกลับไปยังที่ทำการปกครอง สวี่ชีอันเรียกเจ้าพนักงานมาสั่งการ “ทั้งสองกลุ่มนี้ เจ้าให้พวกเขาทุกคนจ่ายคนละหนึ่งร้อยตำลึง หากขาดไปแม้แต่เฟินเดียวก็ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวทั้งนั้น”
“แบ่งเงินสามร้อยตำลึงจากเงินทั้งหมดเข้าบัญชี ห้าสิบตำลึงให้เจ้าแบ่งกับสหายเจ้า ส่วนฆ้องทองแดงสองนายที่ออกลาดตระเวนกับข้าแบ่งให้คนละห้าสิบตำลึง ส่วนที่เหลือพรุ่งนี้ส่งให้ข้าที่ห้องชุนเฟิง”
“ไม่ต้องกังวลขอรับ ข้าน้อยจะจัดการให้เสร็จสรรพ” เจ้าพนักงานรีบกล่าว
สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เลี้ยวกลับไปทางคอกม้า ขี่แม่ม้าตัวน้อยสุดที่รัก มุ่งหน้าตรงไปยังเขตพระราชฐาน
ยามดวงตะวันลอยคว้างกลางศีรษะ เขาตั้งใจว่าจะไปรับประทานอาหารกลางวันที่อารามรัตนะ และไปหาลั่วอวี้เหิงเพื่อขอคำปรึกษาเคล็ดวิชา ‘กระบี่ใจ’ เสียหน่อย
เคล็ดวิชา ‘กระบี่ใจ’ เริ่มถูกใช้งานแล้ว สำหรับสวี่ชีอันแล้วถือว่าไม่ยาก เมื่อจะใช้งานก็แค่ต้องส่งพลังจิตเสริมให้กับตัวดาบ แล้วฟันออกไปเหมือนการใช้พลังปราณ
สิ่่งที่ยากก็คือจะทำเช่นไรให้มันผสมผสานเข้ากับพลังปราณได้อย่างกลมกลืน
ก็เหมือนกับการใช้มือข้างเดียววาดวงกลมหรือวาดสี่เหลี่ยมย่อมวาดได้ไม่มีปัญหา แต่หากใช้มือข้างหนึ่งวาดวงกลม ส่วนมืออีกข้างวาดสี่เหลี่ยม สมองคงแยกไม่ออก และมักจะติดขัดได้ เวลาชักดาบออกมา หากไม่ลืมส่งผ่านพลังปราณ ก็ลืมเพิ่มพลังจิต
บัดนี้เขาเป็นฆ้องเงินแล้ว สามารถที่จะเข้าออกเขตพระราชฐานได้อย่างอิสระ เมื่อป้ายที่เอวส่องแสง ทหารยามก็ปล่อยไปทันที
เมื่อมาถึงอารามรัตนะ นักบวชเต๋าน้อยที่เฝ้าหน้าประตูกลับเข้าไปรายงาน ไม่นานก็กลับมา
“ผู้นำเต๋าเรียนเชิญขอรับ”
สวี่ชีอันพยักหน้า เดินตามนักบวชน้อยเข้าไป เดินตามทางเดินผ่านลาน เห็นลั่วอวี้เหิง ‘คุณน้าผู้อ่อนโยน’ อยู่ในห้องอันเงียบสงบ
นอกจากนางแล้ว ยังมีมือกระบี่ในชุดสีเขียวนั่งอยู่บนฟูก ด้วยท่าทางที่สบายๆ ผมสีขาวบนหน้าผากแสดงถึงวัยวุฒิของชายชาตรี ช่วยเสริมเสน่ห์ในตัวเขาให้มากยิ่งขึ้น
แย่แล้ว หมายเลขสี่ก็อยู่ด้วยหรือ…นี่คือความคิดแรกของสวี่ชีอัน
แย่แล้ว ลั่วอวี้เหิงรู้ว่าข้าเป็นผู้ครอบครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี…นี่คือความคิดที่สองของสวี่ชีอัน
“ท่านราชครู!”
สวี่ชีอันคารวะโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
จากนั้นก็ยิ้มระรื่นและประสานมือไปทางฉู่หยวนเจิ่น “ท่านบัณฑิตจอหงวน”
ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง ค่อนข้างแปลกใจ คิดไม่ถึงว่าจะได้พบสวี่ชีอันที่นี่
ตามหลักแล้ว ด้วยระดับของสวี่ชีอัน ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้ามาในอารามรัตนะเพื่อพบผู้นำเต๋า
“ใต้เท้าสวี่รู้จักราชครูได้อย่างไรหรือ” เขาเอ่ยถามถึงสิ่งที่สงสัยอยู่ในใจ
ลั่วอวี้เหิงกำลังจะตอบ
“แค่กๆๆ…”
สวี่ชีอันกระแอมไออย่างเอาเป็นเอาตาย รีบส่งสัญญาณให้แก่ราชครู แต่ก็ถูกตีกลับ
พอส่งสัญญาณอีกครั้ง ก็ถูกตีกลับอีกครั้ง
ยิ่งส่งสัญญาณ ก็ถูกคุณน้าผู้ใจดีตีกลับมาอีก
ท่าทางของลั่วอวี้เหิงชัดเจนมาก ‘พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น ไม่คุยเป็นการส่วนตัว’
การกระทำที่แสนสนิทสนมอย่างการส่งสัญญาณเช่นนี้เอามาใช้กับราชครูได้ยากเย็น…สวี่ชีอันรู้สึกร้อนรนใจ
ฉู่หยวนเจิ่นมองไปที่สวี่ชีอัน และมองไปที่ราชครูอีกครั้ง เอ่ยยิ้มๆ “ให้ข้าออกไปก่อนดีหรือไม่ขอรับ”
สวี่ชีอันรู้สึกกระอักกระอ่วนนิดๆ
…………………………………..
[1] สุภาพชนบนขื่อคาน เป็นคำสแลงเรียกโจร ขโมย