ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 268 การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์สิ้นสุด
บทที่ 268 การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์สิ้นสุด
สนามสอบการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์คือห้องมืดเล็กๆ เรียกว่า ‘เฮ่าเส่อ’
หลังจากบัณฑิตเข้ามาแล้ว ผู้ที่รับผิดชอบการคุมสอบจะลั่นกลอนประตูโดยเหลือเพียงหน้าต่างบานเล็กสำหรับส่งข้อสอบ
ตลอดทั้งวัน เหล่าบัณฑิตจะทำกิจวัตรอย่างกิน ดื่ม นอนหลับ และขับถ่ายอยู่ภายในห้อง
แสงเทียนเล็กราวกับเมล็ดถั่ว ภายในห้องเล็กๆ จึงมีสีเหลืองสลัว สวี่เอ้อร์หลางนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาเทน้ำลงบนแท่นหินหมึกแล้วค่อยๆ บดมัน
ยังมีเวลาอีกนานก่อนที่การสอบจะเริ่มขึ้น เวลาเท่านี้เพียงพอให้เขาสงบสติอารมณ์และคิดอะไรบางอย่างได้
ตั้งแต่สมัยโบราณ การสอบคัดเลือกขุนนางให้ความสำคัญกับหลักคำสอนศาสนา ไม่สนใจพวกบทกวี นอกจากนี้ วงการกวีนิพนธ์ของต้าฟ่งก็ระส่ำระสายมานาน ดังนั้นการสอบสนามสุดท้ายในครั้งนี้เป็นเพียงการเดินผ่านสนามสำหรับบัณฑิตหลายคน
ตอนที่เพิ่งเข้าสนาม เหล่าบัณฑิตที่รู้จักมักคุ้นกันต่างหัวเราะคิกคัก มีความสุขกันยิ่งนัก
ต่างจากสองสนามก่อนที่สีหน้าจริงจัง สภาพจิตใจเต็มไปด้วยความกังวลราวกับกำลังจะสวมเกราะออกรบ
อย่างไรก็ตาม คนอื่นๆ ผ่อนคลายกันได้ แต่สวี่เอ้อร์หลางรู้ดีว่าตนไม่อาจเลินเล่อได้
เขาเป็นบัณฑิตของสำนักอวิ๋นลู่ ในสายตาราชสำนักและคนทั่วไป บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หลังจากสอบได้ระดับจิ้นซื่อ[1] จะถูกส่งตัวไปยังพื้นที่ชนบทห่างไกล หรือไม่ก็จะไม่ได้รับสถานะขุนนางอย่างเป็นทางการ ถูกฝังกลบไว้ในหิมะ
สวี่เอ้อร์หลางมีอุดมการณ์ของตัวเอง เขาไม่อยากถูกส่งไปยังพื้นที่ห่างไกลและไม่อยากถูกฝังกลบอยู่ใต้หิมะ
“หนทางอีกยาวไกล…” สวี่ซินเหนียนถอนหายใจ
ตอนนั้นเอง ผู้คุมสอบนอกประตูก็เคาะหน้าต่างบานเล็กแล้วพูดพึมพำ “นายท่าน ข้อสอบมาแล้ว”
ผู้ที่เข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ทุกคนล้วนเป็นจวี่เหริน จวี่เหรินทุกคนมีสิทธิ์ในตำแหน่งขุนนาง เหล่าผู้คุมจึงเรียกขานบัณฑิตที่เข้าสอบว่า ‘นายท่าน’
สวี่ซินเหนียนรับกระดาษมาแล้วกางออกบนโต๊ะ ยามนี้ฟ้าสว่างแล้ว แต่ดวงอาทิตย์ยามเช้ายังไม่ขึ้น
สวี่ซินเหนียนก้มอ่านโดยอาศัยแสงเทียนสีส้ม หัวข้อคือ ประโยคหนึ่งในหนังสือ ‘เฉิงจื่อ กานเกอ’ ความว่า ‘สามเหล่าทัพเอาชนะผู้บังคับบัญชาได้ คนธรรมดาเอาชนะความปรารถนาไม่ได้’
สวี่เอ้อร์หลางผู้อ่านหนังสือบทกวีเป็นชีวิตจิตใจดึงใจความหลักออกมาในพริบตา ‘หย่งจื้อ![2]’
เขาจ้องกระดาษข้อสอบ สีหน้าตะลึงงันอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ
“วันนั้นก่อนพี่ใหญ่จะเข้าห้องข้า เขาคงเหยียบอึสุนัข[3]มากระมัง” สวี่เอ้อร์หลางพึมพำ
นี่ก็เดาให้เขาถูกหรือ
เรื่องจับฉลากวันนั้น สวี่เอ้อร์หลางควรจะจัดการกับพี่ใหญ่ผู้น่ารำคาญ ถึงแม้หัวข้อการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์จะสามารถคาดเดาได้ แต่ก็กินขอบเขตแค่เรื่องหลักศาสนาและนโยบายประเทศ ถึงอย่างไรทั้งสองอย่างนี้ก็ดูเข้าเค้ากว่า
หัวข้อบทกวีขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้สอบ คิดอะไรได้ก็เอาอันนั้น แม้กระทั่งชื่อดอกไม้ป่าริมทางก็ยังเป็นไปได้
ขนาดนี้ก็ยังเดาถูกงั้นหรือ!
นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่จะเหยียบอึสุนัขในคืนนั้น สวี่เอ้อร์หลางก็คิดไม่ออกแล้วว่ายังเป็นอะไรได้อีก
เดี๋ยวนะ…
สวี่ซินเหนียนทั้งตกใจ สับสน งงงวย และอีกมากมาย ก่อนจะกลายเป็นความปีติยินดีและความตื่นเต้น
พี่ใหญ่เดาคำถามถูก พี่ใหญ่เดาคำถามถูก!
เขายืดหลังทันที แทบระงับความต้องการจะร้องตะโกนสามครั้งไว้ไม่ได้ เพื่อระบายความตื่นเต้นของตนในขณะนี้
“จากพรสวรรค์ด้านบทกวีของพี่ใหญ่ ในเมื่อเดาหัวข้อถูกแล้ว บทกวีสนามที่สามก็ต้องได้รับเกียรติจากข้าสวี่เอ้อร์หลางแล้วล่ะ ข้า…ข้าอาจจะได้เป็นฮุ่ยหยวน[4]ก็ได้”
‘ก้งซื่อ[5]’ ที่ได้คะแนนสูงสุดในการสอบระดับเมืองหลวงจะถูกเรียกว่า ‘ฮุ่ยหยวน’
เขาจะคิดเช่นนี้ก็นับว่ามีเหตุผล ประการแรก การสอบระดับเมืองหลวงจะปิดชื่อผู้เข้าสอบบนกระดาษคำตอบ ตัวตนของเขาในฐานะศิษย์สำนักอวิ๋นลู่จะไม่ถูกเปิดเผย เขาก็จะไม่ถูกกีดกัน
ประการที่สอง สวี่ซินเหนียนเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการอ่าน ศิษย์คนโปรดของจางเซิ่นผู้ยิ่งใหญ่ คำสอนระบบขงจื๊อแค่ดูผ่านตาก็จำได้ไม่ลืม กอปรกับความสามารถในการเข้าใจและอื่นๆ ระดับของเขานั้นเหนือกว่าศิษย์จากราชวิทยาลัยหลวงมาก
ประการสุดท้าย เพื่อป้องกันการโกงในการตรวจข้อสอบ ราชสำนักต้าฟ่งได้จัดให้มีหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบถึงสามคน หลายคนได้ข้อสอบเหมือนกัน ในส่วนนี้จะซับซ้อนมาก และหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบทั้งสามคนต้องมาจากคนละก๊กคนละฝ่าย บางทีก็ถึงขั้นเป็นปฏิปักษ์กันก็มี
ต่อให้มีใครสามารถติดสินบนหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบคนหนึ่งได้ แต่ก็ไม่มีทางติดสินบนอีกสองคนได้
ดังนั้นในการสอบระดับเมืองหลวงแต่ละครั้งจึงมักมีการสู้รบกันเองระหว่างหัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบ จากนั้นพวกเขาจะเจรจาและประนีประนอมกันเพื่อคัดเลือกขั้นสุดท้าย
“หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน การสอบระดับเมืองหลวงคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน”
แม้จะเป็นคนหยิ่งยโสอย่างสวี่ซินเหนียน แต่ตอนนี้ภายในห้องไร้ผู้คน เขาจึงไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้เลย เขากระโดดโลดเต้นและหัวเราะเหมือนคนเขลา
หากมีเตียง เขาคงจะกลิ้งขึ้นไปบนนั้น หรือไม่ก็บิดไปบิดมาเหมือนหนอนเป็นแน่
“พี่ใหญ่คือดาวนำโชคของข้าจริงๆ! ใจเย็นๆ ใจเย็นๆ บทกวีหย่งจื้อที่พี่ใหญ่ให้มาคืออะไรกันนะ…”
สวี่ซินเหนียนนั่งลงและบังคับตัวเองให้สงบลง
โชคดีที่เขาเป็นขงจื๊อขั้นแปด ฝึกฝนถึงขั้นดูผ่านตาไม่ลืมเลือนได้นานแล้ว อีกทั้งบทกวีที่พี่ใหญ่ให้มาก็อิงหลักความจริงโดยแท้ เขายังนับว่าความจำเป็นเลิศจึงนึกออกอย่างรวดเร็ว
มือหยิบปากกาจุ่มหมึก ก่อนจะคลี่กระดาษออก ถึงตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่ามือของตนยังสั่นอยู่เล็กน้อย
“ไม่ได้เรื่อง แต่เพราะเป็นการสอบระดับเมืองหลวงถึงตื่นเต้นจนมือสั่นขนาดนี้ ท่านพ่อเคยบอกว่าข้ามีคุณสมบัติของสมุหราชเลขาธิการเชียวนะ”
หลังจากเยาะเย้ยตัวเอง สวี่ซินเหนียนก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย มือของเขาหยุดสั่นแล้วเขาจึงรีบเขียนลงกระดาษว่า
‘สาเกทองคำหมื่นตำลึง อาหารเลิศรสบนถาดหยกหมื่นตำลึง’
‘ยั้งถ้วยโยนตะเกียบกินไม่ได้ ชักดาบเพ่งมองพิศวง’
‘หิมะปิดทางข้ามหวงเหอ มุ่งหน้าไท่หางหิมะปิดทางเขา’
‘ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า’
‘เส้นทางยากเข็ญ เส้นทางยากเข็ญ ทางแยกมากมาย ควรไปทางใด’
‘สักวันจะขี่ลมซัดคลื่น ก้าวข้ามมหาสมุทรอย่างห้าวหาญ’
หลังจากเขียนบทกวีจบก็อ่านทวนอยู่หลายรอบเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้เขียนผิด แต่ความสงสัยข้อใหม่กลับผุดขึ้นในใจ
“หวงเหอคืออะไร แล้วไท่หางคืออะไร ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า สองประโยคนี้มีที่มาอย่างไรกัน…” สวี่เอ้อร์หลางขมวดคิ้วมุ่น
สวี่ซินเหนียนผู้ซึ่งในหัวอัดแน่นไปด้วยบทกวีและหนังสือ ค้นหาจนทั่วสมองก็ยังไม่พบว่าหวงเหอและไท่หางอยู่ที่ใด แต่ตามความเข้าใจเรื่องบทกวีของเขา ‘ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี’ และ ‘ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า’ น่าจะเป็นการอุปมา
“พี่ใหญ่นี่ก็จริงๆ เลย ตอนเขียนบทกวีก็ไม่รู้จักเขียนอธิบายไว้ด้วย แบบนี้ข้าจะเข้าใจอารมณ์ของเขาตอนเขียนบทกวีได้อย่างไร จะเข้าใจเจตนาอันลึกซึ้งของเขาได้อย่างไรกันเล่า
“หวงเหอและไท่หางน่าจะเป็นชื่อแม่น้ำและภูเขา อันนี้สามารถแทนคำได้ ส่วน ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี และ ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า ถึงจะไม่อุปมาถึงอะไร แต่ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจความหมายที่ต้องการสื่อ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ดังนั้นหลังจากแทนคำ ‘หวงเหอ’ และ ‘ไท่หาง’ แล้ว สวี่ซินเหนียนก็ยกปากกาเขียนคำตอบ
‘ฟู่เต่อเส้นทางยากเข็ญ’
…
หัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบของการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ครั้งนี้คือจ้าวถิงฟางปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ หลิวหงหน่วยตรวจการหลวงฝ่ายขวา และเฉียนชิงซูปราชญ์มหาสำนักตำหนักอู่อิง
ต่างจากบัณฑิต นับตั้งแต่การสอบคัดเลือกระดับเมืองหลวงเริ่มต้นขึ้น หัวหน้าผู้ตรวจข้อสอบและเหล่าผู้ตรวจข้อสอบทั้งหลายไม่ได้ก้าวออกจากสนามสอบเลยแม้แต่ก้าวเดียว ประตูใหญ่ถูกลงกลอนไว้ เว้นแต่จะมีปีกก็อย่าได้คิดที่จะออกไป
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ตรวจข้อสอบและบัณฑิตสมรู้ร่วมคิดโกงข้อสอบกัน เหล่าผู้ตรวจข้อสอบจึงต้องรอยืนยันรายชื่อผู้ที่ได้เป็นก้งซื่อก่อนถึงจะออกจากสนามสอบได้
เมื่อเทียบกับความคุกรุ่นในการสอบสองสนามแรกแล้ว ทั้งทัศนคติและอารมณ์ของเหล่าผู้ตรวจข้อสอบเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“ไร้แก่นสาร แม้แต่บทกวีขาดๆ เกินๆ ก็ยังกล้าที่จะเขียนในการสอบระดับเมืองหลวง”
“ใช้ไผ่เป็นอุปมาคนมาแสดงความคิดเห็น แม้ทัศนคติจะไม่เลว แต่บรรยายไผ่ดีกว่าบรรยายความคิด ความสำคัญสลับกันไปหมด”
“เฮ้อ อ่านมาตั้งนานยังไม่มีบทกวีที่น่าประทับใจเลยสักนิด”
“ปีที่แล้วก็แบบนี้นี่ ข้าชินเสียแล้ว”
ผู้ให้คะแนนหรือที่เรียกว่าเจ้าหน้าที่เหลียนเน่ยอ่านข้อสอบไปพลางวิจารณ์ไปพลาง
มองแวบแรก บรรยากาศดูเต็มไปด้วยความคุกรุ่น แต่ความจริงแล้วบรรยากาศนั้นผ่อนคลายเป็นที่สุด
กวีนิพนธ์ไม่ได้รับความสำคัญ หากเขียนดีก็เปรียบเสมือนการเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอ แต่เขียนไม่ดีก็ไม่สลักสำคัญอะไรเช่นกัน
แต่ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นขยะ บทกวีที่ศิษย์เขียนออกมาได้ตรงตามกฎกติกานั้นหายากมากจึงไม่คุ้มที่เหล่าผู้ตรวจข้อสอบจะใส่ใจอย่างจริงจัง
ในเมืองหลวง เมื่อพูดถึงกวีนิพนธ์ มีคนผู้หนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้ เขาก็คือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสวี่ชีอัน
นักวิชาการยกย่องเขาว่าเป็นผู้นำแห่งวงการกวีนิพนธ์ หรือผู้กอบกู้โลกกวีนิพนธ์แห่งต้าฟ่ง
“หากสวี่ชีอันผู้นั้นเข้าร่วมการสอบ ไม่แน่ว่าอย่างน้อยการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ของปีนี้คงมีบทกวีใหม่ให้สืบทอดต่อไปอีกสักบท”
“ใครว่าไม่ใช่กันเล่า น่าเสียดายที่สวี่ชีอันไม่ใช่บัณฑิต บันทึกประวัติศาสตร์ในภายภาคหน้า บทกวียอดเยี่ยมของหยวนจิ่งเหนียนล้วนมาจากบุคคลนี้ เหล่าบัณฑิตอย่างเราจะมีหน้าอยู่ได้อย่างไร”
ทัศนคติที่เหล่าบัณฑิตมีต่อสวี่ชีอันนั้นซับซ้อนมาก พวกเขารู้สึกดีใจที่ความสามารถของอีกฝ่ายทำให้วงการกวีนิพนธ์ทวีความรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากรอคอยมาตลอดสองร้อยปี ในที่สุดก็เกิดบทกวีที่ควรค่าแก่การดูชม เป็นเช่นนี้แล้วคนรุ่นหลังจะได้ไม่หัวเราะเยาะพวกเขา
แต่ก็น่าเสียดายที่เขาเป็นนักรบ ไม่ใช่นักปราชญ์ เพราะนี่เป็นสิ่งที่จะทำให้คนรุ่นหลังหัวเราะเยาะ
สองร้อยปีของต้าฟ่ง มีปราชญ์นับพันนับหมื่น แต่กลับเทียบนักรบเพียงคนเดียวไม่ได้
“ความผิดพลาดมากมายล้วนเป็นความผิดของสวี่ผิงจื้อ”
ตอนนั้นเอง ผู้ตรวจข้อสอบคนหนึ่งก็เปิดสำเนากระดาษคำตอบแผ่นหนึ่งขึ้น หลังจากกวาดมองไม่กี่วินาที เขาก็ตะลึงงัน ร่างกายนิ่งไม่ไหวติงราวกับกลายเป็นหิน
แต่ริมฝีปากของเขายังคงอ่านมันซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด
หลังจากอ่านซ้ำๆ อยู่หลายนาที ผู้ตรวจข้อสอบคนนั้นก็ผุดลุกขึ้น ก่อนจะมองเพื่อนร่วมงานรอบห้อง แล้วหายใจเข้าลึกๆ และพูดเสียงดัง “ใครว่านักปราชญ์แห่งต้าฟ่งเขียนบทกวีดีๆ ไม่ได้ ใครบอก ใครบอก”
เหล่าผู้ตรวจข้อสอบพากันหันมามองด้วยสีหน้างงงวย ไม่รู้ว่าเขาเป็นบ้าอะไร
วงการกวีนิพนธ์ซบเซามาเป็นเวลากว่าสองร้อนปีแล้ว และนักปราชญ์สมัยนี้ก็ไม่เชี่ยวชาญด้านกวีนิพนธ์ นี่เป็นเรื่องจริง ไม่มีอะไรโต้แย้งได้
‘ปัง!’
ผู้ตรวจข้อสอบคนนั้นตบกระดาษบนโต๊ะ หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง แล้วพูดอย่างตื่นเต้น “ข้ากล้าพูดเลยว่าบทกวีนี้เผยแพร่ไปเมื่อไรต้องโด่งดังไปทั่วหล้าแน่ การสอบคัดเลือกระดับเมืองหลวงปีนี้จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์”
ผู้ตรวจข้อสอบข้างๆ เขาชำเลืองมองเขา ก่อนจะเดินมาหาด้วยความสงสัย แล้วหยิบกระดาษขึ้นมาอ่าน
ความบ้าคลั่งดูเหมือนจะติดต่อกันได้ ผู้ตรวจข้อสอบที่ถือกระดาษพลันตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น “บทกวีดี บทกวีดี ฮ่าๆๆ ใครว่านักปราชญ์แห่งต้าฟ่งแต่งบทกวีดีๆ ไม่ได้ ใครกัน”
คราวนี้ผู้ตรวจข้อสอบที่เหลือพลันตระหนักได้แล้วว่ามีงานวรรณกรรมดีๆ จึงพากันลุกฮือเข้ามาแล้วส่งต่อกันอ่าน
“บทกวีดี ต้องฉลองแล้ว”
“สักวันจะขี่ลมซัดคลื่น ก้าวข้ามมหาสมุทรอย่างห้าวหาญ…นี่สิถึงจะเป็นบทกวีที่นักปราชญ์ควรเขียน”
“บัณฑิตคนหนึ่งสามารถเขียนบทกวีชีวิตราวกับผ่านร้อนผ่านหนาวมาขนาดนี้ได้อย่างไรกัน”
“อาจเป็นเพราะสอบล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าจึงใช้บทกวีจารึกความรู้สึกกระมัง”
การปรากฏขึ้นของบทกวี ‘เส้นทางยากเข็ญ’ ก็เหมือนหงส์ทองในฝูงไก่ ช่างสูงส่งล้ำค่า ผู้ตรวจข้อสอบส่งต่อกันอ่านและวิจารณ์กันอย่างตื่นเต้น
“อะแฮ่ม!”
มีเสียงไอดังมาจากด้านนอกประตู ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อผมขาวกำลังยืนเอามือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น
เขาถูกเสียงอึกทึกในห้องนี้ดึงความสนใจมา
ผู้ตรวจข้อสอบในห้องพลันเงียบเสียงทันควัน
“เอะอะมะเทิ่งอันใดกัน”
ปราชญ์มหาสำนักจ้าวถิงฟางเอ่ยตำหนิ ก่อนจะเอ่ยถาม “เมื่อครู่ข้าได้ยินว่าหากบทกวีนี้เผยแพร่ออกไปจะโด่งดังไปทั่วหล้างั้นหรือ”
ทันใดนั้นก็มีผู้ตรวจข้อสอบก้าวออกมายื่นกระดาษให้ด้วยความเคารพ
ปราชญ์มหาสำนักตงเกอเหลือมองทุกคน ก่อนจะรับกระดาษมาและหรี่ตาอ่าน…
มือที่กระดาษพลันสั่นเล็กน้อย
ใครต่างก็มองออกว่านี่เป็นบทกวีที่ดี บทกวีที่ยกระดับจิตใจผู้คน แต่ประสบการณ์ต่างกัน ความรู้สึกก็ต่างกัน
บทกวีนี้เป็นทั้งหย่งจื้อและประสบการณ์ชีวิตอันทุกข์เข็ญ
จาก ‘เส้นทางยากเข็ญ’ มาจนถึง ‘สักวันจะขี่ลมซัดคลื่น ก้าวข้ามมหาสมุทรอย่างห้าวหาญ’ ใครก็ตามที่มีประสบการณ์คล้ายคลึงกันต่างก็มีความรู้สึกร่วมได้อย่างรวดเร็ว
และประโยคสุดท้ายคือหย่งจื้อเป็นจุดที่สะดุดตาที่สุด เป็นการยกระดับกรอบความคิดทางบทกวีทั้งหมดให้อยู่ในระดับสูงทันที
“ศิษย์ผู้นี้มากพรสวรรค์ยิ่ง หากทั้งคำสอนศาสนาและคำถามเชิงนโยบายดีเยี่ยม ข้าจะแต่งตั้งเขาเป็นฮุ่ยหยวนอย่างแน่นอน!” ปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อกล่าว
…
วันรุ่งขึ้นหลังสิ้นสุดการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ สวี่ซินเหนียนพบว่าการดูแลที่บ้านลดฮวบ เมื่อก่อนทุกเช้ามารดาของเขาจะสั่งให้ครัวอุ่นนมร้อนหนึ่งชาม ตอนเที่ยงเป็นซุปไก่หอม ตอนกลางคืนเป็นซุปโสม
ช่วงนั้นมารดายังถามไถ่ทุกข์สุข ถึงแม้จะไม่ได้แสดงท่าทีอะไร แต่ก็ยังใส่ใจเขามากพอ
ส่วนบิดาและพี่ใหญ่ก็มักจะถามคำถามสองสามประโยคยามอยู่ที่โต๊ะอาหาร น้องหญิงสวี่หลิงเยวี่ยก็เช่นกัน แม้แต่น้องสวี่หลิงอินก็ยังตะโกนเป็นครั้งคราว “พี่รอง พยายามเข้านะ”
ทว่าตั้งแต่สนามสุดท้ายสิ้นสุดลง นมไม่มี ซุปไก่ไม่มี โสมไม่มี หลังถามว่ารายชื่อจะประกาศเมื่อไรแล้วทุกคนก็ไม่ได้สนใจเขาอีก
บนโต๊ะอาหาร สวี่ชีอันเอ่ยถามว่า “ทำไมเอ้อร์หลางถึงดูอารมณ์ไม่ดีนัก สนามสุดท้ายทำได้ไม่ดีหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางไม่ได้พูดอะไร หลังจากรับประทานอาหารแล้ว เขาก็ลากพี่ใหญ่ไปห้องหนังสือ ก่อนจะจ้องตรงมาที่เขา
“พี่ใหญ่…ท่านเดาถูก”
เรื่องนี้สวี่ชีอันทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจ เขาพยักหน้า “รักชาติหรือหย่งจื้อ”
“หย่งจื้อ!”
สวี่ซินเหนียนขอคำชี้แนะ “หวงเหอกับไท่หางอยู่ที่ใด แล้วยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซี ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้า มีที่มาจากอะไรกัน”
…หือ ประโยคนี้มีที่มาด้วยหรือ ข้าจำไม่เห็นได้เลย
สวี่ชีอันแสดงสีหน้ามึนงง
“ยามว่างตกปลาที่แม่น้ำปี้ซีก็เพราะข้าชอบตกปลา ฝันว่าอยากล่องเรือไปยังขอบฟ้าก็คือ…ก็คือ…ไอหยา เหตุใดเจ้าจึงพูดจาไร้สาระนัก การสอบจบลงแล้ว ยังจะวอแวเช่นนี้อีก รีบฉีกสี่ตำราห้าคัมภีร์ทิ้งไปเสีย พรุ่งนี้พี่ใหญ่จะพาเจ้าไปเล่นที่สำนักสังคีต” สวี่ชีอันดุรัวๆ และวิ่งหนีไป
เมื่อกลับถึงห้องก็พบว่าจงหลีนั่งอยู่ข้างเตียงในสภาพมีผ้าพันหัวและเลือดออกเล็กน้อย
“ล้มอีกแล้วหรือ”
“อืม”
จงหลีพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ข้าค้นพบว่าน้องสาวของเจ้าดวงแข็งมาก”
“น้องสาวคนไหน” สวี่ชีอันถาม
…………………………………………….
[1] ผู้สอบผ่านระดับราชสำนัก
[2] การบรรยายความคิดผ่านบทกวี
[3] หรือเรียกว่าโชคขี้หมา เป็นการประชดว่าทำไมถึงโชคดีแบบนี้
[4] ผู้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดในการสอบระดับเมืองหลวง
[5] ผู้ที่สอบผ่านระดับเมืองหลวง