ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 272 จอมโจรหญิง
บทที่ 272 จอมโจรหญิง
สวี่ชีอันยืนขึ้นที่ระเบียง วางมือบนราวกั้น และเหล่มองชายที่อยู่บนสังเวียน
แน่เสียยิ่งกว่าแช่แป้ง เขาไม่รู้จักชายที่กำลังเอะอะเอ็ดตะโรผู้นี้ และเขาจำไม่ได้ว่ามีศัตรูระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงด้วย
ศัตรูไม่น่าจะปรากฏตัวขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพียงแต่ข้าคิดไม่ถึงเท่านั้น…สวี่ชีอันลูบคางของตน พลางครุ่นคิดถึงศัตรูที่อาจจะพุ่งเป้ามาที่เขา
ในด้านการใช้ชีวิต เขามีเจตนารมณ์ที่ยึดถือความเมตตาเป็นที่ตั้ง ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยคุณธรรมจะมาโดยตลอด
ในด้านงานราชการ เขายึดมั่นในความเที่ยงธรรม เห็นแก่ประโยชน์สุขของบ้านเมืองและประชาชนเป็นหลัก
คนดีๆ เช่นนี้ไม่ควรมีศัตรู
เฉินกุ้ยเฟยเป็นผู้หญิงที่ร้ายกาจ หากนางต้องการแก้แค้นข้า คงจะลอบสังหารมากกว่าจะทำอะไรเอิกเกริกเช่นนี้… หากเป็นพวกขุนนางในท้องพระโรง แม้ว่าหลายฝ่ายจะอยากให้ข้าตาย แต่สถานการณ์ตรงนี้ดูไม่ใช่วิถีของปัญญาชนแม้แต่น้อย…
“กลัวหัวหดแล้วนั่น”
“ไร้สาระ นั่นมันยอดฝีมือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงเชียวนะ เจ้านั่นตัวก็แค่นี้ โดนหมัดเดียวก็หายวับไปแล้ว”
“ดังนั้น ไอ้พวกคุณชายเจ้าสำราญที่เกาะบารมีบรรพบุรุษเนี่ย ไม่ควรจะเที่ยววางก้ามเดินกร่างไปทั่วเมืองหลวงน่ะสิ พอเจอยอดฝีมือกับตัว ก็ไม่มีปัญญาสู้”
ในสายตาของเหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโต๊ะตรงข้าม ความ ‘ลังเล’ ของสวี่ชีอันทำให้เขากลายเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโล่งใจทันที ความคิดของพวกเขาในขณะนี้ เหมือนพาสาวสวยระดับตัวท็อปไปเที่ยวไนต์คลับ แต่ระหว่างทางคุณชายจ้าวก็ดันเข้ามาพอดี แล้วแหกปากลั่นว่า “คืนนี้คุณชายจ้าวเลี้ยงเอง!”[1]
แม่สาวตัวท็อปจึงประทับใจในความใจป้ำของคุณชายจ้าว และหันไปซบอกคุณชายจ้าวแทน…แต่ทันใดนั้น สวรรค์ก็ประทานพร ส่งลูกพี่ตัวจริงลงมา จัดการตบหลังแหวนใส่คุณชายจ้าวไปเลยหนึ่งดอก แล้วพูดว่า
‘แกมันไม่คู่ควร!’
ถึงจอมยุทธ์หนุ่มจะไม่ได้ตบด้วยตนเอง แต่ก็ยังสะใจอยู่ดี การได้เห็นคุณชายหอกเงินเคลือบขี้ผึ้ง[2]โดนสั่งสอนให้ขายขี้หน้า มันสะกิดต่อมความสุขของจอมยุทธ์หนุ่มเต็มๆ
คิดมาถึงตรงนี้ พวกเขาก็หันไปมองแม่นางหรงหรง คาดหวังว่าจะได้เห็นความผิดหวังในดวงตาของนาง เมื่อเห็นคุณชายบ้านรวยสูญเสียภาพลักษณ์สูงส่งนั้นไป
จากนั้นนางก็จะคิดได้ว่าพวกเขาต่างหากที่เก่งกล้าสามารถอย่างแท้จริง และหันมาซบอกพวกเขาแทน
แต่เห็นได้ชัดว่าแม่นางหรงหรงหาได้มีความคิดตื้นเขินอย่างที่จอมยุทธ์หนุ่มคาด สาวเจ้าส่งสายตาห่วงใย แม้ว่าฆ้องเงินผู้หล่อเหลาเอาแต่หันหลังให้นางก็ตาม
ตอนนั้นเอง สวี่ชีอันก็หันกลับมา ใช้มือหนึ่งจับด้ามดาบที่คาบเอวไปด้านหลัง แล้วเอ่ย “ข้าขอตัวสักครู่”
“อ๊ะ!”
จู่ๆ แม่นางหรงหรงก็เข้ามาประชิด แล้วรั้งแขนสวี่ชีอันไว้ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อเห็นเขาขมวดคิ้ว นางยิ้มเป็นเชิงขอโทษแล้วกล่าว “เหตุใดต้องไปเกลือกกลั้วกับพวกจอมยุทธ์ชั้นต่ำด้วยล่ะเจ้าคะ”
สวี่ชีอันไม่ตอบ เพียงแต่ส่ายหัวแล้วเดินลงไปข้างล่างแทน
“ต่อให้พื้นเพยิ่งใหญ่มาจากไหน ก็น่าจะหาตัวช่วยไว้ก่อนสิ ขืนไปทั้งแบบนั้น ก็เท่ากับไปตายเปล่าไม่ใช่หรือไร” แม่นางหรงหรงบ่นพึมพำ
เมื่อออกมาจากร้านอาหาร สวี่ชีอันตรงไปยังสังเวียน ดีดนิ้วโป้งเบาๆ พลังปราณก็เอ่อล้นออกมา
ชายผู้มีกระดูกเหล็กผิวทองแดง รวมถึงชาวยุทธ์ในฝูงชนก็สังเกตเห็น และค่อยๆ หันมามองทีละคนๆ พอได้เห็นเครื่องแบบฆ้องเงินของสวี่ชีอัน ก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
ตัวจริงเสียงจริงมาถึงแล้ว
จึงหลีกทางให้แต่โดยดี
คนทั่วไปที่มาชมการแสดงหาได้ตระหนักเช่นชาวยุทธ์ไม่ จึงยังคงห้อมล้อมอยู่รอบด้าน
“ไสหัวไป!”
สวี่ชีอันจับชายในชุดผ้าป่านคนหนึ่งแล้วเตะเขาอย่างแรงจนอีกฝ่ายวิ่งหนีไปด้วยความอับอาย บรรดาผู้คนที่เห็นก็ถอยกรูดด้วยหวาดกลัว พากันหลีกทางให้โดยดี
“ไป ไสหัวไปให้หมด!”
สวี่ชีอันชักดาบออกจากฝักและไล่ฟันทุกคน ไม่สนหญิงชายหัวหงอกหัวดำ
“ทุกคนถอยห่างออกไปสิบจั้ง ห้ามเข้าใกล้…เอ้า ไอ้เฒ่า อย่าเพิ่งมาขายของเก่าของแก่แถวนี้ อยากชิมฝ่ามือเด็กหรือไรกัน”
“เด็กเวรบ้านไหนไม่มีคนพาออกไป พ่อจะจับไปขายให้หมด…ร้องหาพระแสงอะไร อยากโดนเตะหรือไง…อ้าวป้า ข้าวปลาทำเสร็จหรือยัง จานชามน่ะล้างหมดแล้วหรือ ถึงมาเสนอหน้ามาดูคนเขาตีกันแถวนี้…เป็นอะไรไปอีก ถ้าเจ้าเด็กกว่านี้สักยี่สิบปี พ่อจะจับขายให้หอนางโลมซะเลย”
บนระเบียงร้านอาหาร
จอมยุทธ์หนุ่มเกาะราวกั้น มองดูสวี่ชีอันรังแกประชาชนตาดำๆ ก็รู้สึกโมโหในความอยุติธรรมนั้น
“ไอ้ชาติหมานี่ มันระบายอารมณ์ใส่ชาวบ้านไปทั่วเลย”
“เก่งนักก็ขึ้นไปตีกันบนสังเวียนสิ ดีแต่รังแกประชาชน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประสาอะไร”
“ก็แค่ไอ้กระจอกคนหนึ่งละว้า”
เมื่อสวี่ชีอันไม่อยู่ตรงนั้น พวกเขาก็ด่าไม่ยั้ง
จอมยุทธ์หนุ่มหน้าตาดีกลับหลังหันเดินมาหยุดข้างกายหรงหรงแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “แม่นางหรงหรง พวกเรากลับไปที่โรงสุรากันเถิด เดี๋ยวข้าจะเล่าเรื่องที่ท่านอาจารย์ของข้าขึ้นเหนือ สังหารชนเผ่าเถื่อนด้วยคมดาบให้เจ้าฟังเอง”
“ใช่แล้ว ดื่มกับลูกเศรษฐีกระจอกนี่มันจะสนุกอย่างไร เจ้าดูสิแม่นางหรงหรง เขาเก่งแต่รังแกชาวบ้านเท่านั้น” จอมยุทธ์หนุ่มอีกคนเห็นด้วย
แม่นางหรงหรงนั่งตัวตรง กวาดสายตามองจอมยุทธ์หนุ่มพวกนี้ แล้วเอ่ยยิ้มๆ “พวกท่านคิดว่าเขารังแกชาวบ้านจริงๆ หรือ”
“แล้วไม่ใช่งั้นหรือ” จอมยุทธ์หนุ่มถามกลับ
แม่นางหรงหรงกะพริบตาปริบ แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “ในยุทธภพมีคำกล่าวว่า ‘ยอดฝีมือปะทะกัน คนไม่เกี่ยวข้องจงถอยห่าง!’ ว่ากันว่าความผันผวนของพลังปราณในนักรบตำแหน่งระดับสูงสามารถทำให้คนธรรมดาตกใจตายได้ไม่ยาก เรื่องแค่นี้พวกท่านก็ไม่รู้งั้นหรือ ไม่จริงน่า คงไม่กระมัง”
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มหน้าแดงทันที
“เช่นนั้นก็สามารถอธิบายสถานการณ์นี้ได้ว่า เขาไม่ได้ฉวยโอกาสรังแกประชาชน ระบายอารมณ์ใส่ชาวบ้านสินะ” จอมยุทธ์หนุ่มที่เชื้อเชิญหรงหรงยอมแพ้โดยไม่เต็มใจ
แม่นางหรงหรงก้มศีรษะดื่มสุรา เพื่อซ่อนความรังเกียจในดวงตาของนาง
ชาวบ้านร้านตลาดงี่เง่าจะตายชัก อธิบายดีๆ มีหรือพวกเขาจะฟัง พวกเขาเข้าใจคำพูดที่ว่า ‘ยอดฝีมือปะทะกัน คนไม่เกี่ยวข้องจงถอยห่าง’ หรือ
ชาวบ้านพวกนี้โง่เง่าไม่พอ พวกอันธพาลยังมีมากอีกด้วย พวกเขากลัวแต่เจ้าหน้าที่ทางการ จะรับมือกับพวกเขาควรคุยด้วยไม้หน้าสามจะดีกว่าคุยด้วยสันติวิธี
จอมยุทธ์หนุ่มเหล่านี้ล้วนมาจากครอบครัวที่ดีมีอาจารย์ที่ยอดเยี่ยม ปากบอกคนอื่นเป็นแมลงเม่าเกาะกินบุญเก่าของบรรพบุรุษ แต่ตนก็ยังสู้ฆ้องเงินสวี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
…
หลังจากเดินวนไปรอบๆ สังเวียน ในที่สุดสวี่ชีอันก็กระโดดขึ้นไปบนสนามประลอง ยืนถือดาบไว้มั่น จ้องมองชายฉกรรจ์ที่สูงกว่าเขาไปหนึ่งช่วงศีรษะ และเอ่ยถาม
“เจ้าเป็นคนของใคร”
“คนของมารดาเจ้าอย่างไรเล่า” ชายสูงแปดฟุตหัวเราะเยาะ
ด่าพ่อล่อแม่กับข้าเชียวหรือ ได้ พ่อจะไว้ชีวิตเจ้า แล้วลากกลับไปสั่งสอนวิถีความเป็นชายที่แท้จริงให้ในคุกใต้ดินหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ไม่ต้องกลัวมันเล่นไม่ซื่อ…สวี่ชีอันเก็บกระบี่กลับเข้าฝักที่เอวของเขา กระชับด้ามดาบในมือแล้วพูดว่า
“จัดการกับมดปลวกระดับหกเช่นเจ้า ใช้เพียงดาบเดียวก็พอแล้ว”
หยิ่งผยองถึงเพียงนี้เชียว?!
ชาวยุทธ์โดยรอบต่างตกตะลึง นักรบระดับหกถือเป็นบุคคลสำคัญของยุทธภพในระดับหนึ่ง ในบางมณฑลเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรจอมยุทธ์ มีอำนาจเบ็ดเสร็จ
แม้ว่าจะมียอดฝีมือมากมายในเมืองหลวง แม้กระทั่งโหรระดับหนึ่งในตำนาน แต่นักรบระดับหกก็ยังไม่ใช่หัวกะหล่ำที่ใครก็สามารถล้มได้ง่ายๆ
“ฮ่าๆๆ”
ชายผู้สูงแปดฟุต ร่างกายบึกบึนเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อกล่าวพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย “ข้าจะบี้หัวเจ้าให้แหลก ไม่พอจะตัดลิ้นมากินแกล้มเหล้าด้วย”
บนระเบียง แม่นางหรงหรงหันไปมองฆ้องทองแดงที่ดื่มกินอาหารอย่างสบายใจ แล้วขมวดคิ้ว “ใต้เท้า ท่านไม่ไปเรียกคนมาช่วยหรือ”
ผู้บังคับบัญชากำลังจะโดนอัดปางตาย เขายังกินนั่นกินนี่อย่างเอร็ดอร่อย แทบไม่อยากเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากที่ทำการปกครองจริงๆ ดูไม่สนโลกแม้แต่นิด
“โอ๊ย!”
ฆ้องทองแดงโบกไม้โบกมือ “กระดูกเหล็กผิวทองแดงแล้วอย่างไรเล่า แม่นางไม่รู้หรอกว่าใต้เท้าสวี่ของเราแข็งแกร่งเพียงใด”
“ใต้เท้าสวี่ก็เป็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงเหมือนกันหรือ”
หรงหรงนึกย้อนอยู่ครู่หนึ่ง จึงปฏิเสธการคาดเดาของตนเอง นางสังเกตสวี่ชีอันแต่ไม่เห็นแสงเทวะอันเป็นลักษณะพิเศษของกระดูกเหล็กผิวทองแดงจากผิวของเขา
ฆ้องทองแดงเหลือบมองจอมยุทธ์หนุ่มและยิ้มเย้ยหยัน “ใต้เท้าไม่ใช่กระดูกเหล็กผิวทองแดงอยู่แล้ว แต่เขาเคยถูกลอบสังหารอยู่ครั้งหนึ่ง นักฆ่าสองคนอยู่ในระดับหลอมวิญญาณ ส่วนอีกหนึ่งคนอยู่ในระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง…แม่นางคิดว่าหลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ”
หรงหรงส่ายหน้า
หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท้ายที่สุดสวี่ชีอันก็ยังมีชีวิตอยู่และสุขสบายดี นางรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ฆ้องทองแดงต้องการจะพูด
“ดาบเดียว!”
ฆ้องทองแดงชี้นิ้วไปข้างหน้า
“อะไรนะ”
แม่นางหรงหรงสาวเจ้าเสน่ห์ไม่เข้าใจ
ฆ้องทองแดงชี้ไปด้านนอกและพูดเรียบๆ “แม่นางดูเอาเองเถิด”
‘ตูม!’
เสียงแตกของพื้นสังเวียนลอยมา ทันใดนั้นแม่นางหรงหรงก็หันกลับมาและเห็นชายร่างยักษ์สูงแปดฟุตเหยียบพื้นหินอ่อนใต้เท้าจนเกิดรอยแยก เปลี่ยนเป็นเงาดำบิดเบี้ยว
ในอีกด้านหนึ่ง สวี่ชีอันพุ่งตัวเข้าใส่และย่อเข่าลง ดีดนิ้วโป้งเบาๆ
‘เคร้ง’ …เสียงของใบมีดที่แยกจากฝักกระจายไปสู่ผู้ชมโดยรอบ เสียงดังกังวานชัด
ด้วยกำลังสายตาของหรงหรง จึงมองเห็นได้เพียงเส้นบางๆ สีทองเข้มที่แวบผ่าน ตามมาด้วยปราณดาบที่พวยพุ่ง ราวกับเข็มเหล็กที่มองไม่เห็นพุ่งกระจัดกระจายรอบทิศทาง โจมตีโดยไม่เลือกหน้า
บริเวณพื้นสังเวียนปรากฏรอยเจาะลงไปบนพื้นผิวเป็นหลุมตื้นๆ
เมื่อครู่ หากสวี่ชีอันไม่ขับไล่ผู้คนออกไป ป่านนี้พวกเขาคงได้ล้มตายกันระนาว
ในสายตาของพวกคนดูและชาวยุทธ์ส่วนใหญ่ คล้ายจะเห็นสวี่ชีอันชักดาบของเขาออกมา แต่เมื่อมองดีๆ พวกเขากลับพบว่าดาบอยู่ในฝักอย่างแน่นหนา
แต่ทว่าชายร่างยักษ์ที่เกรี้ยวกราดเมื่อครู่ บัดนี้หยุดชะงักลง เขาหยุดห่างออกไปจากสวี่ชีอันสิบฟุต ก้มศีรษะลงมองที่หน้าอกของตนอย่างไม่เชื่อสายตา
วินาทีถัดมา ปรากฏรอยดาบเรียวยาวกรีดผ่านหน้าอกของเขาไป เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมา
ชายร่างใหญ่ค่อยๆ ทรุดลงไปกองกับพื้น ใบหน้าซีดเซียวลงเล็กน้อย
สวี่ชีอันกล่าวอย่างเย็นชา “ข้าบอกว่าดาบเดียว ก็ดาบเดียว”
“เฮ!”
ฝูงชนระเบิดเสียงดังกระหึ่มออกมา ฟังแล้วดูเหมือนเป็นเสียง ‘เฮ’ เป็นเสียงเดียว
เสียงโห่ร้องเฉลิมฉลองดังขึ้น ชาวบ้านร้านตลาดที่มามุงดูส่งเสียงเฮกันใหญ่ ดังเซ็งแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์ และมีคนส่วนน้อยที่ตะโกนโหวกเหวกให้ไปตามหมอจากโรงหมอมา
ชาวยุทธ์ผู้ฝึกตนทั้งหลายเมื่อมองไปที่ประตู เสียงโห่ร้องในทีแรกก็ค่อยๆ เงียบหายไป
ดาบเดียว!
เพียงดาบเดียวสามารถกรีดเถือเนื้อหนังของกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้เช่นนี้ ระดับการฝึกตนของฆ้องเงินผู้นี้ อาจจะอยู่ในระดับห้า หรืออาจถึงระดับสี่ก็เป็นได้
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลฆ้องเงินสวี่ชีอัน…”
พวกเขาจดจำชื่อนี้ไว้ในใจ
“เป็นอย่างไรเล่า ไม่ได้โกหกใช่หรือไม่” ฆ้องทองแดงยิ้มและลุกขึ้น มองหรงหรงที่ใบหน้าซีดเซียวและกล่าวว่า
“นี่คืออัจฉริยะที่เว่ยกงของเราเลื่อนตำแหน่งให้ จอมยุทธ์ระดับหกนั่นจะเอาอะไรมาสู้ได้ แม้แต่พวกขุนนางในท้องพระโรง เจอหน้าใต้เท้าสวี่ของเรา ยังต้องเกรงใจกันหมดเลย”
หลังจากพูดเสร็จ เขาก็หันไปส่งยิ้มเย็นเยาะเย้ยจอมยุทธ์หนุ่มที่ตะลึงงัน แล้วคว้าดาบของเขาลงไปข้างล่าง
…
หลังจากที่สวี่ชีอันจัดการเชือดคนเสร็จเรียบร้อย ฆ้องทองแดงทั้งสองก็มาถึงสังเวียนทันที และขอคำสั่ง “ให้จัดการกับคนผู้นี้อย่างไรดีขอรับ”
“พาไปหาหมอให้รักษาบาดแผลก่อน แล้วค่อยนำตัวไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล อย่าลืมใช้เข็มวัวสกัดจุดไว้ก่อนด้วยล่ะ อูฐผอมแห้งอย่างไรก็ตัวใหญ่กว่าม้า[3]” สวี่ชีอันมอบคำสั่ง
เขามองไปทางร้านอาหารและพบว่าแม่นางหรงหรงหายตัวไปแล้ว
“แล้วแม่นางหรงหรงล่ะ”
“เมื่อครู่ยังอยู่นะขอรับ”
ฆ้องทองแดงที่ลงมาข้างล่างหันกลับไปดู แต่ก็ไม่เจอเสียแล้ว
ไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าเล่นใหญ่ถึงขั้นนี้ ตามหลักแล้วนางควรจะกระโจนเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของข้า แล้วส่งสายตาหวานเยิ้มให้แล้วไม่ใช่หรือไง…สวี่ชีอันคิดอย่างเสียดาย
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้คิดว่าจะมีอะไรเกิดอะไรขึ้นอยู่แล้ว
สวี่ชีอันพาชายที่บาดเจ็บสาหัสไปโรงหมอบริเวณใกล้เคียง และหลังจากที่หมอทำแผลเสร็จแล้ว เขาก็พาชายที่หมดสติกลับไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
ผ่านไปครึ่งทาง เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง จึงสำรวจตัวเองโดยละเอียดทันที ตราคาดเอว กระบี่ ถุงหอม…ยังอยู่ดี
ทันทีที่สัมผัสบริเวณแขนเสื้อ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหายไปแล้ว
“ใต้เท้า กำลังหาอะไรอยู่หรือขอรับ” ฆ้องทองแดงที่กุมบังเหียนม้าที่แบกชายหมดสติไว้บนหลัง รั้งบังเหียนเพื่อหยุดม้า แล้วเอ่ยถาม
“อย่าเอะอะไป!”
สวี่ชีอันหลับตาและทบทวนสิ่งที่ตนประสบ
เสื้อผ้าไม่ขาด สามารถตัดความเป็นไปได้ที่จะทำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีหล่นหายไประหว่างเดิน ประกอบกับความหูไวของเขา หากมันตกลงมาเขาต้องได้ยินในทันที
ระหว่างการต่อสู้ เขาตวัดดาบแค่หนึ่งที ไม่ได้ต่อสู้รุนแรง ตัดทิ้งไป!
เหลือเพียงความเป็นไปได้เดียวคือถูกขโมยไป
ยายป้านั่นท่าทางซื่อบื้อ ไม่น่าจะเก่งขนาดนั้น…คนเดียวที่สัมผัสตัวข้าคือแม่นางหรงหรง ที่คว้าแขนข้าไว้ก่อนที่ข้าจะลงไปข้างล่าง…
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อา’ “มิน่าถึงหายไปโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนั้น ที่แท้ก็ก็เป็นหัวขโมยนี่เอง หัตถ์รื่นรมย์มีความหมายเช่นนี้เองหรือ”
ตั้งแต่ออกมาจากสังเวียนผู้กล้าจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว ป่านนี้นางคงหนีไปไกลเสียแล้ว เมืองหลวงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ การตามหาสิ่งของชิ้นเล็กๆ ให้เจอนั้น ความหวังช่างริบหรี่
ขโมยอะไรไม่ขโมย ดันมาขโมยชิ้นส่วนหนังสือปฐพี แต่สิ่งนี้มีจีพีเอสบอกตำแหน่งพอดี
สวี่ชีอันสั่งการ “พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้ามีธุระต้องทำ”
เขาจะกลับไปดูที่เกิดเหตุ จากนั้นค่อยไปหานักบวชเต๋าจินเหลียน
…………………………………………………..
[1] เป็นคำสแลงบนอินเทอร์เน็ต มาจากหนังเรื่อง《“大”人物》ในปี 2019
[2] สำนวน แปลว่า ท่าดีทีเหลว ใช้การไม่ได้
[3] สำนวนจีน เปรียบเปรยว่าคนมีฐานะหรือบารมี หากประสบความลำบากก็ยังคงดีกว่าคนที่ยากจนเป็นทุนเดิม