ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 274 ไถ่ตัว
บทที่ 274 ไถ่ตัว
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ ยกถ้วยชา ดื่มไปหนึ่งอึก แล้วพูดช้าๆ ว่า “ลองพูดมา”
แม่นางหรงหรงเม้มริมฝีปากแดง แล้วพูดว่า “ในเมื่อใต้เท้าสวี่เคยได้ยินชื่อเสียงของข้ามาก่อน คิดว่าคงคุ้นเคยกับชื่อของโจรสาวพันหน้าผู้ปราดเปรียวเช่นเดียวกัน”
“เคยได้ยิน” สวี่ชีอันลูบขากรรไกรล่าง พร้อมมองนาง “เจ้าหมายความว่า คนที่ขโมยของล้ำค่าของข้าความจริงแล้วคือโจรสาวพันหน้าผู้ปราดเปรียวคนนั้น? ”
“ฆ้องเงินหมิ่น ช่วยหาข้อมูลของโจรสาวผู้ปราดเปรียวคนนั้นให้ข้าด้วย”
หมิ่นซานหันไปสั่งให้เจ้าพนักงานให้ไปหา เวลาเพียงหนึ่งถ้วยชา เจ้าพนักงานก็หอบสมุดเล่มหนึ่งเข้ามา เปิดหน้าที่เกี่ยวข้อง แล้วยื่นให้สวี่ชีอัน
มีข้อมูลของโจรสาวพันหน้าผู้ปราดเปรียวไม่มากนัก มีเพียงการบันทึกไว้ว่าอีกฝ่ายเป็นจอมโจรที่ร้ายกาจมาก ไปไหนมาไหนเพียงคนเดียว ไม่รู้พื้นเพและไม่รู้ว่าเป็นศิษย์สำนักใด ก่อคดีมานับไม่ถ้วน โดยไม่เคยถูกจับตัวได้
บันทึกส่วนนี้ให้ข้อมูลแก่สวี่ชีอันสองเรื่อง เรื่องแรก อีกฝ่ายไม่ใช่โจรธรรมดา ก่อคดีใหญ่ต่อเนื่อง โดยไม่เคยพลาด
เรื่องที่สอง ขอบเขตของโจรสาวผู้ปราดเปรียวจำกัดอยู่ที่การขโมยเท่านั้น กำลังในการทำลายล้างไม่มากนัก ดังนั้นที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจึงทำการบันทึกไว้น้อยมาก และไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก
“เป็นโจรผู้ปราดเปรียวที่เป็นมืออาชีพมาก” สวี่ชีอันปิดสมุด ส่งคืนให้เจ้าพนักงาน และมองแม่นางหรงหรงที่ถูกมัดไว้อย่างแน่นหนา
“ทำไมโจรสาวพันหน้าผู้ปราดเปรียวจึงแปลงโฉมเป็นเจ้า? ”
แม่นางหรงหรงยิ้มเยาะแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้ บางทีอาจจะอิจฉาที่ข้ามีมนุษยสัมพันธ์ดีก็ได้”
‘ดูท่าทางคงจะเคยโจมตีจุดอ่อนกันมาก่อน ดังนั้นจึงถูกแก้แค้น’ สวี่ชีอันคว้าดาบมาแขวนไว้ที่เอวตามเดิม แล้วพูดว่า “ฆ้องเงินหมิ่น ข้ามอบคนให้เจ้า หากข้าไม่อนุญาต ห้ามปล่อยตัวเด็ดขาด ใครจะมาขอก็ไม่ได้”
หลังจากมอบหมายงานแล้ว สวี่ชีอันก็รีบออกจากที่ทำการปกครอง ขี่ม้าตัวโปรดออกไป วิ่งกุบกับกุบกับไปที่เมืองชั้นนอก
‘คงต้องขอให้นักบวชเต๋าจินเหลียนออกหน้าเองแล้ว ดีที่เขารู้ที่อยู่ของนักบวชเต๋าจินเหลียน แม้ว่าจะไม่เคยไปก็ตาม’
พระอาทิตย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก อีกหนึ่งชั่วยามก็ถึงเวลาห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืนแล้ว เขาจะต้องหาตัวโจรสาวให้พบก่อนเวลาห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืน เพื่อช่วงชิงเอาเศษหนังสือปฐพีกลับคืนมา คงต้องกลับไปที่ที่ทำการปกครอง เพื่อขอให้เว่ยเยวียนเซ็นคำสั่งจับกุมตัว
นักบวชเต๋าจินเหลียนอาศัยอยู่ในเมืองทางเหนือ ในสำนักเล็กๆ ริมแม่น้ำ ซึ่งมีลักษณะเด่นคือมีหุ่นไล่กาตัวเล็กยืนอยู่บนหลังคาของเรือนใหญ่
สวี่ชีอันมาถึงที่นี่ เคาะประตูสำนัก ภายในเงียบสงบ และไม่มีใครตอบ
“ท่านนักบวชออกไปแล้ว?”
สวี่ชีอันกระโดดข้ามกำแพงเข้าไปในสำนัก ผลักประตูเรือนใหญ่ออก ภายในเรือนสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย บนเตียง นักบวชเต๋าจินเหลียนนอนสีหน้าสงบ ราวกับว่าเสียชีวิตไปแล้ว
สวี่ชีอันตะโกนหลายครั้ง “ท่านนักบวช” เมื่อเห็นว่าเขายังหลับไม่ยอมตื่น ก็รู้ว่าตาแก่คนนี้คนนี้สิงร่างแมวออกเตร็ดเตร่อีกแล้ว
เหตุใดจู่ๆ ก็มีนิสัยแผลง ๆ แบบนี้ขึ้นมาได้…ข้าควรทำอย่างไร ไม่รู้ว่าท่านนักบวชจะกลับเมื่อไหร่…สวี่ชีอันขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็คิดอะไรขึ้นได้
เขาเดินไปที่ขอบเตียง ยกมือขึ้น แล้วแยกออกทางซ้ายและขวา แล้วตบบ้องหูของท่านนักบวชดัง ‘เผียะ เผียะ เผียะ’
ในฐานะผู้อาวุโสในยุทธภพ นักบวชเต๋าจินเหลียนควรรู้ว่าต้องปกป้องร่างกายของตัวเองอย่างไร เขาจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ ทันทีที่ร่างกายเป็นอันตราย เขาก็จะรับรู้ได้ทันที แม้กระทั่ง…
‘เผียะ เผียะ เผียะ!’
ในห้องมีเพียงเสียงตบมือ
ผ่านไปเป็นเวลานาน สวี่ชีอันจึงได้ยินเสียงที่ไม่ใส่อารมณ์ใดๆ ดังมาจากทางประตู “เจ้ากำลังทำอะไรอยู่”
เสียงตบหยุดในทันที สวี่ชีอันได้สติพร้อมกับความประหลาดใจ มองไปที่ประตู แล้วพูดว่า “ท่านนักบวช ท่านกลับมาแล้ว”
แมวสีส้มตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างธรณีประตู มองดูเขาอยู่ไกลๆ
สวี่ชีอันเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนไม่พูดจา ก็รีบอธิบายว่า “ข้ามีธุระด่วนต้องการพบท่าน แต่ท่านไม่อยู่ในสำนัก ข้าเดาว่าท่านจะต้องเตรียมทางหนีทีไล่สำหรับร่างกายไว้ จึงต้องทำเช่นนี้”
แมวสีส้มยังคงเปล่งเสียงที่ไม่ใส่อารมณ์ใดๆ “แล้วเจ้าเดาได้หรือไม่ว่าทันทีที่เจ้าเข้ามาในสำนัก ข้าก็รับรู้ได้แล้ว”
แม้กระทั่งทันทีที่ข้าเข้ามาในสำนัก นักบวชเต๋าจินเหลียนก็รับรู้แล้วว่ามีแขกมาเยือน…สวี่ชีอันกล่าวอย่างงุนงงว่า
“ข้าไม่รู้ ”
แมวสีส้มพยักหน้า ย่างเข้าห้องมาอย่างสง่างามแบบแมว กระโดดขึ้นไปบนเตียง แล้วถามว่า “มีธุระอะไร”
“เศษหนังสือปฐพีของข้าถูกขโมยไป”
ในขณะนั้น เขาได้เล่าเรื่องที่ตัวเองได้พบกับโจรสาวพันหน้าอย่างไร และจับตัวแม่นางหรงหรงมาผิดตัวได้อย่างไรให้นักบวชเต๋าจินเหลียนฟัง
“หลังจากที่เศษของหนังสือปฐพียอมรับเจ้าของแล้ว คนภายนอกก็ไม่สามารถเห็นจดหมายที่ส่งต่อถึงกันได้ และไม่สามารถดึงของภายในออกมาได้ เจ้าสามารถวางใจได้” แมวสีส้มท่าทีสงบมาก
“แล้วเมื่อข้าได้รับมันจากมือท่าน ก็เท่ากับเป็นของที่ไม่มีเจ้าของ”
“ถูกผู้นำเต๋านิกายปฐพีลบตราไปแล้ว”
สวี่ชีอันพยักหน้า เขารู้เรื่องนี้เหล่านี้นานแล้ว “เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา พวกเราไปเอาเศษหนังสือปฐพีกลับคืนกันเถิด”
“ตามข้ามา”
แมวสีส้มกระโดดลงจากเตียง และวิ่งออกจากห้อง หลังจากที่สวี่ชีอันวิ่งตามออกไป เขาก็พบว่ามันนั่งยองๆ อยู่บนหลังม้า เอียงคอรอตัวเองอย่างเงียบๆ
ทำไมท่านนักบวชไม่ไปด้วยร่างของตัวเอง แม้ว่าจะชอบแมวมาก แต่เวลานี้จะไปทำเรื่องที่เป็นการเป็นงาน…หรือว่าสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะไปในร่างของตัวเองหรือไปด้วยจิตเดิมก็ไม่แตกต่างกัน
สวี่ชีอันปลดสายบังเหียนของม้าด้วยความข้องใจ ลูบหน้าของแม่ม้าน้อย คิดในใจว่าต้องเสียเปรียบให้ชายอื่นขี่
กุบกับ กุบกับ…
แม่ม้าน้อยวิ่งห้อไปบนถนนที่กว้างใหญ่ ไม่มีใครขวางทางหรือแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
นี่เป็นยุคที่คนต้องหลีกทางให้รถ
“เลี้ยวซ้าย!”
เจ้าแมวสีส้มพูดขึ้นมาทันใด
สวี่ชีอันหันหัวม้า ควบคุมแม่ม้าน้อยให้เคลื่อนไหวได้อย่างสวยงาม แล้วเลี้ยวไปทางซ้าย
ภายใต้การบัญชาการของนักบวชเต๋าจินเหลียน สวี่ชีอันเปลี่ยนเส้นทางจากเมืองทางเหนือไปยังเมืองทางตะวันออก มายังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวว่า “เศษหนังสือปฐพีอยู่ข้างใน”
ขณะที่เขาพูด สวี่ชีอันมีความรู้สึกเหมือนสายเลือดเชื่อมต่อกัน ลึกล้ำยิ่งนัก รับรู้ถึงตำแหน่งของเศษหนังสือปฐพีได้อย่างชัดเจน
เมื่อเศษหนังสือปฐพีกับเจ้าของอยู่ใกล้กัน จะสามารถสื่อถึงกันได้
…
ภายในห้องห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยม
หญิงสาวที่แต่งหน้าเข้ม ดวงตากลมโตเป็นประกายนั่งอยู่ที่โต๊ะ มือหนึ่งเท้าแก้ม อีกมือหนึ่งเล่นกระจกหยกอันเล็ก
“ทำไมจึงใช้เจ้าของล้ำค่าชิ้นนี้ไม่ได้”
แม่นางหรงหรงตัวปลอมจ้องมองเศษหนังสือปฐพี มองผ่านๆ ก็ดูธรรมดาไม่มีอะไรแปลก แต่ในฐานะที่นางเป็นผู้สืบทอดคนเดียวของลัทธิโจร จึงมีสัญชาตญาณที่ว่องไวต่อของล้ำค่า
การค้นหาของล้ำค่า เป็นทักษะโดยกำเนิดของศิษย์ของลัทธิโจร
บนพื้นผิวกระจกมีลวดลายแปลก ๆ มากมาย กล่อง ตั๋วเงิน หน้าไม้ และแท่งเงิน…
นางอาศัยประสบการณ์ในการ ‘ล่าสมบัติ’ มาหลายปี จึงสามารถเดาได้อย่างรวดเร็ว
นี่คือของวิเศษที่จำเจ้าของจากเลือด และมีความสามารถในการเก็บสะสมสิ่งของด้วยตัวเอง
ในใจของแม่นาง ‘หรงหรง’ ร้อนรุ่มขึ้นทันที คิดไม่ถึงว่าปลาตัวใหญ่ที่จับมาได้มากขนาดนี้ ไม่เพียงจะได้ของล้ำค่ามาชิ้นหนึ่ง แต่ในนั้นยังมีทรัพย์สมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลอีกด้วย
“จะเอาของที่อยู่ข้างในออกมาได้อย่างไรนะ…”
หรงหรงตัวปลอมจับเศษหนังสือปฐพีแล้วเคาะลงบนโต๊ะดัง ‘ปัง ปัง ปัง!’
ของวิเศษที่จำเจ้าของจากเลือด นางไม่เคยเห็นมาก่อน รู้สึกหมดปัญญาแล้ว แน่นอนว่ามีหลักการหนึ่งที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง อาวุธเวทมนตร์ที่สามารถเก็บสะสมสิ่งของทุกชนิด หากทำลายอาวุธเวทมนตร์ไป สิ่งของที่อยู่ข้างในก็จะหลุดออกมาเอง
แต่นี่เป็นของวิเศษที่จำเจ้าของจากเลือด ประเมินค่าไม่ได้ จะเห็นกับแค่ประโยชน์ตรงหน้าไม่ได้
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตู ‘ปัง ปัง’ ดังขึ้น
“ใคร”
แม่นาง ‘หรงหรง’ ขมวดคิ้วถาม นางไม่ได้ขอน้ำร้อนจากเสี่ยวเอ้อร์ และค่าห้องก็ยังมีเหลือเฟือ
“ตรวจการติดกระดาษ” เสียงผู้ชายดังมาจากข้างนอก
ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้ แม่นาง ‘หรงหรง’ ก็หน้าเปลี่ยนสี คว้ากระจกหยกซ่อนไว้ในเสื้อ โดยไม่ต้องคิด ลุกขึ้นและก้าวเท้า พุ่งตัวไปที่หน้าต่าง
‘ปัง’
นางเปิดหน้าต่าง ขณะที่กำลังจะหนีออกจากที่นี่ กลับเห็นแมวสีส้มนั่งอยู่ริมหน้าต่าง ดวงตาสีเหลืองอำพันเหลือบมองนาง
สมองของแม่นาง ‘หรงหรง’ เหมือนถูกตอกด้วยตะปูเหล็ก ฉีกวิญญาณของนางขาด นางปิดศีรษะนั่งครวญครางอยู่บนพื้น
ประตูห้องถูกเปิดออก สวี่ชีอันกดดาบด้วยมือข้างเดียวก้าวเข้ามาในห้อง ด้วยท่าทางไร้ความปรานี
แมวสีส้มก็กระโดดจากข้างหน้าต่างเข้ามาในห้องเช่นกัน
“เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
สวี่ชีอันชักดาบทองดำยาวออกมาแล้ววางลงบนคอของแม่นาง ‘หรงหรง’ แล้วแค่นเสียงคำรามว่า “โจรสาวพันหน้า”
“ใต้เท้า ท่านพูดเรื่องอะไร?”
ดวงตาเลิ่กลั่กของแม่นาง ‘หรงหรง’ กลอกกลิ้งไปมา ราวกับกำลังคิดแผนการตอบโต้
สวี่ชีอันยื่นมือออกมาและคว้าเบาๆ เศษหนังสือปฐพีก็ลอยออกมาจากหน้าอกของแม่นาง ‘หรงหรง’ และตกไปอยู่ในมือของเขาเอง
แม่นาง ‘หรงหรง’ ส่งเสียง “ย๊าก” แล้วยื่นมือออกไปหมายจะรั้งเอาไว้ แต่เมื่อเจ็บคอ นางจึงต้องล้มความคิดอย่างสลดใจ
ผู้ชายคนนี้มีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ตัวนางสิบคนก็ไม่พอให้เขาฟัน
หลังจากตรวจสอบเศษหนังสือปฐพีรอบหนึ่งแล้ว ก็มั่นใจว่าของข้างในไม่มีสูญหาย สวี่ชีอันก็รู้สึกโล่งใจ และหินก้อนใหญ่ในหัวใจก็ตกลงไปด้วย
เงินทองและตั๋วเงินในกระจกเป็นทรัพย์สมบัติทั้งหมดของเขา มาโลกนี้ครึ่งปี ต้องลำบากตรากตรำ กว่าจะสะสมทรัพย์สมบัติได้
เป็นเงินสู่ขอภรรยาทั้งหมด
เขานำเศษหนังสือปฐพีเก็บเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นก็ถอนดาบกลับ ลากเก้าอี้มาตัวหนึ่งแล้วนั่งลง มองสำรวจโจรสาวผู้ปราดเปรียวที่กำลังท้อแท้อย่างละเอียดพร้อมกับยิ้มตาหยี แล้วพูดว่า
“เอ๊ะ เจ้าไม่คิดจะเถียงหน่อยหรือ”
“ถูกจับพร้อมของกลางเช่นนี้จะเถียงอะไรได้อีก” โจรสาวผู้ปราดเปรียวกลอกตา แล้วพึมพำว่า
“ข้าอยู่ในจิ่วโจวมาหลายปี แต่ไม่คิดว่าจะปักหลักในเมืองหลวง สมกับเป็นเมืองที่ดีที่สุดในใต้หล้า ไม่ผิดหวังเลย…”
น้ำเสียงและท่าทางในการพูด ฟังครู่เดียวก็รู้ว่าเป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ หน้าด้านหน้าทน แตกต่างจากท่าทางงดงามสดใสที่แสดงออกในร้านอาหารก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
ในร้านอาหารนั้นเป็นการเสแสร้ง เวลานี้จึงเป็นธาตุแท้ดั้งเดิมของนาง
ท่าทางสวี่ชีอันเหมือนแมวที่จับหนูได้ หยอกล้อว่า “เถียงสักหน่อยเถิด บางทีข้าอาจจะใจอ่อนยอมปล่อยเจ้าไป”
โจรสาวผู้ปราดเปรียวนึกจะเปลี่ยนสีหน้าก็เปลี่ยนทันที ทำหน้าเศร้า พูดพร้อมน้ำตาที่ไหลริน
“ข้าน้อยก็เป็นคนอาภัพเช่นกัน ถูกพ่อแม่ขายให้กับหอนางโลมเมื่ออายุสามขวบ อายุสิบขวบก็ถูกบังคับให้รับแขก อายุสิบห้าถูกอาจารย์หมายตารับไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย เดิมทีคิดว่าวันเวลาที่ยากลำบากได้สิ้นสุดลงแล้ว ใครจะรู้ว่าอาจารย์ก็เป็นคนหน้าเนื้อใจเสือเช่นกัน ในค่ำคืนที่มืดมิดและลมพัดแรง เขา เขา…”
อาจเป็นเพราะทักษะการแสดงสมจริงเกินไป ทำให้สวี่ชีอันตัดสินไม่ได้ว่าจริงหรือหลอกในชั่วขณะ
“พอแล้ว พอแล้ว ข้าเห็นใจในเคราะห์กรรมที่เจ้าต้องประสบ แต่กฎหมายไม่ให้อภัย ข้ามีคำถามสองสามข้อที่จะถามเจ้า จงตอบมาตามตรง”
สวี่ชีอันพูดต่อไปว่า “เจ้าขโมยของล้ำค่าของข้าไปโดยไม่มีใครจับได้ได้อย่างไร”
“นี่คือความสามารถพิเศษของข้าน้อย ต่ำกว่าระดับสี่ ข้าอยากจะขโมยอะไรก็ได้”
“แล้วแปลงโฉมอย่างไร” สวี่ชีอันก้มตัวลง บีบคางของนาง พินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด แล้วพูดว่า
“ไม่ใช่หน้ากากหนังมนุษย์ แต่ใบหน้านี้ไม่ใช่ของเจ้าอย่างแน่นอน”
“นี่คือเคล็ดวิชาเฉพาะของลัทธิโจรของพวกเรา เรียกว่าเคล็ดวิชาปิดบังสวรรค์ข้ามทะเล เป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าอย่างแท้จริง ที่เคล็ดลับการแปลงโฉมทั่วไปสู้ไม่ได้”
“ช้าก่อน!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนขัดจังหวะทันที ดวงตาสีเหลืองอำพันจ้องไปที่โจรสาวผู้ปราดเปรียว “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ พวกเจ้าเป็นนิกายอะไร?”
โจรสาวผู้ปราดเปรียวที่จู่ ๆ ก็รู้สึกถึงอันตรายถึงชีวิตอย่างรุนแรง พูดอย่างแผ่วเบาว่า “ลัทธิโจร…”
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองไปทางสวี่ชีอัน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “โจรสาวผู้ปราดเปรียวคนนี้ ฆ่าทิ้งไปเถิด”
นี่จะเป็นครั้งแรกที่ลัทธิเต๋าถูกประณามว่าโหดเหี้ยมที่สุด…สวี่ชีอันอดยกมุมปากไม่ได้ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนตรงหน้านี้คือใคร”
โจรสาวผู้ปราดเปรียวส่ายหน้า
“ลูกพี่ของนิกายปฐพีลัทธิเต๋า”
“ต่อไปภายหน้า ลัทธิโจรของข้าก็จะเปลี่ยนชื่อเป็นลัทธิเทพขโมย” โจรสาวผู้ปราดเปรียวมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเอาชีวิตรอด
ชื่อนิกายคิดจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้อย่างนั้นหรือ สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่านักบวชเต๋าจินเหลียนไม่พูดอะไรอีก จึงเอ่ยเรื่องเมื่อครู่ต่อ “ส่งคัมภีร์เคล็ดลับมาเดี๋ยวนี้”
สีหน้าที่น่าสงสารของโจรสาวผู้ปราดเปรียวน่าสงสารยิ่งนัก “นี่คือวิชาพื้นฐาน เริ่มฝึกตั้งแต่เด็ก อาจารย์ฝึกให้กับมือ ไม่มีเคล็ดลับอะไร ข้าเริ่มฝึกตั้งแต่อายุสี่ขวบ และต้องใช้เวลาฝึกฝนมากกว่าสิบปีจึงสำเร็จ”
“เมื่อกี้เจ้าเพิ่งบอกว่าเข้าไปอยู่ในหอนางโลมตอนอายุสามขวบ รับแขกตอนอายุสิบขวบ และตอนอายุสิบห้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ ‘ละเมิดไม่ได้’ แต่เพียงผู้เดียวมิใช่หรือ”
“บางทีใต้เท้าอาจจะฟังผิดไปกระมัง?”
สวี่ชีอันคิดในใจว่าคำพูดของผู้ช่ำชองในยุทธภพเช่นนี้ เชื่อไม่ได้แม้แต่นิดเดียว
“ส่งคัมภีร์เคล็ดลับของการแปลงโฉมมาเดี๋ยวนี้”
โจรสาวผู้ปราดเปรียวพยักหน้าอย่างยอมรับชะตากรรม “คัมภีร์เคล็ดลับอยู่ในตู้เสื้อผ้า ข้าจะไปเอาเดี๋ยวนี้”
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพยักหน้า นางก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่ตู้เสื้อผ้า หยิบห่อผ้าออกมา แล้วกล่าวว่า “คัมภีร์เคล็ดลับอยู่ข้างในนี้”
สวี่ชีอันรับห่อผ้ามา ขณะที่เปิดออกก็มีควันสีเขียวก็พ่นออกมา โดยไม่ทันตั้งตัว เขาและนักบวชเต๋าจินเหลียนก็สูดเข้าไปหลายอึก ก่อนจะหมดสติไปทันที
โจรสาวผู้ปราดเปรียวที่กลั้นหายใจไว้ล่วงหน้าแล้ว หยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกจากห่อผ้า กินยาแก้พิษที่อยู่ข้างใน จากนั้นจึงสูดลมหายใจอย่างใจเย็น เอ่ยเสียงแผ่วเบา
“คิดจะสู้กับข้า เจ้ายังห่างไกลนัก”
พูดพลางก็ใช้เท้าเตะสวี่ชีอันสองสามครั้งเพื่อระบายความแค้น เอื้อมมือเข้าไปในหน้าอกของเขา และคลำอยู่สองสามครั้ง ก็ได้กระจกหยกที่สูญเสียไปกลับคืน
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกว่ามีของแข็งบางอย่างกดอยู่ที่บั้นท้ายของนาง และเสียงของสวี่ชีอันก็ดังมาจากด้านหลัง
“สังหารไปเลยแล้วกัน”
แม่นาง ‘หรงหรง ’ ก้มหน้าด้วยความตกตะลึง พบว่าฆ้องเงินที่นอนอยู่ก่อนหน้านี้หายไปแล้ว
นางไม่กล้าเคลื่อนไหวเพราะรู้ว่ามีมีดจ่ออยู่ที่หลังของ
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว ว่าท่านนี้คือลูกพี่ของลัทธิเต๋านิกายปฐพี เจ้าโดนคาถาอาคมตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่รู้ตัวเลย” สวี่ชีอันยิ้มแล้วพูดว่า “บั้นท้ายงอนงามมากทีเดียวเชียวนะ”
ครั้งนี้โจรสาวผู้ปราดเปรียวยอมรับชะตากรรมอย่างแท้จริง
“จริงสิ เจ้าชื่ออะไร”
“เก๋อเสี่ยวจิง”
…
สวี่ชีอันสกัดจุดของเก๋อเสี่ยวจิงโจรสาวผู้ปราดเปรียว มัดไว้อย่างแน่นหนา โยนลงบนหลังม้า แล้วกล่าวลานักบวชเต๋าจินเหลียน
แมวสีส้มพยักหน้าเล็กน้อย แล้วกำชับว่า “เดินทางระวังด้วย”
จากนั้นก็ก้าวออกไปอย่างสง่างาม
สวี่ชีอันปลดสายบังเหียน ขณะที่กำลังจะขึ้นขี่ม้าตัวโปรดของเขา แต่จู่ๆ แม่ม้าน้อยก็พยศขึ้นมา หันหัวกลับ หมุนตัวทำมุมสี่สิบห้าองศา แล้วเตะขาหลังอย่างสวยงาม เตะสวี่ชีอันกระเด็น จากนั้นร้องยาวๆ แล้วก็เดินลอยชายจากไป
“???”
สวี่ชีอันไล่ตามมันพร้อมกับฝุ่นเต็มหัว รีบไปบังคับมันก่อนที่มันจะวิ่งไปชนคนเดินถนน หลังจากปลอบขวัญอยู่เป็นเวลานาน แม่ม้าน้อยก็กลับมาเชื่องอีกครั้ง
แม่ม้าน้อย เจ้าไม่รักข้าแล้วหรือ หลังจากที่เจ้าถูกตาเฒ่าจินเหลียนนั่นขี่ ก็ได้ใหม่ลืมเก่าแล้วหรือ
สวี่ชีอันนั่งบนหลังม้า พูดในใจว่า ‘ข้าจะไม่อวดเก่งอีกแล้ว อย่างไรขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด’
…
กลับมาถึงที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันนำโจรสาวผู้ปราดเปรียวไปขังไว้ในห้องขัง และเตือนทหารประจำคุกไม่ให้ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น บุคคลนี้ยังคงมีประโยชน์
ในเวลานี้ เวลาห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืนได้เริ่มขึ้นเป็นเวลาสองเค่อแล้ว ท้องฟ้าก็มืดแล้วเช่นกัน แต่สำหรับฆ้องเงินแล้ว เวลาห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืนไม่มีผลอะไรเลย
“ปล่อยตัวหรงหรงหัตถ์รื่นรมย์ได้แล้ว แต่ตอนนี้เป็นเวลาห้ามออกนอกบ้านในตอนกลางคืน ออกจากเมืองชั้นในไม่ได้ รอพรุ่งนี้ค่อยจัดการกับนางก็แล้วกัน…”
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันขี่ม้ามาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีเจ้าพนักงานมารออยู่ที่ประตูนานแล้ว เมื่อเห็นเขามา ก็วิ่งเหยาะๆ มาหา แล้วพูดว่า
“ใต้เท้าสวี่ มีกลุ่มชาวยุทธ์มาไถ่ตัว แม่นางคนที่ท่านนำตัวกลับมาเมื่อวาน ตอนนี้อยู่กับฆ้องเงินหมิ่น”
ป่านนี้เพิ่งจะมาไถ่ตัว? หากข้าเป็นคนเจ้าชู้ชอบรังแกคน ห้องนอนเด็กคงเต็มไปหลายครั้งแล้ว…สวี่ชีอันทำเสียง ‘จึ๊ก’ ในลำคอ
“ข้ารู้แล้ว”
………………………………………………