ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 282 ถามตอบ
บทที่ 282 ถามตอบ
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ตั้งแต่ที่เขาบอกชื่อของตัวเองไป ภิกษุเฝ้าประตูทั้งสองก็มีสีหน้าแปลกๆ
หลังจากไปรายงาน พวกเขาก็คล้ายจะมีท่าทางเป็นปฏิปักษ์อย่างคลุมเครือด้วย
“รบกวนด้วยขอรับ!” เหิงหย่วนทำท่าทางเคารพนอบน้อม
ภายใต้การนำของภิกษุผู้รักษาประตู พวกเขาเดินผ่านลานชั้นหน้าและอาคารหลักไปยังลานชั้นหลัง
ใต้ชายคาที่โถงทางเดิน มีภิกษุวัยกลางคนยืนอยู่ เขาสวมชุดนักพรตที่เคลื่อนไหวได้สะดวก มีใบหน้ากลมและติ่งหูหนา
เขามองไปที่เหิงหย่วนด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
“เหิงหย่วนจากวัดมังกรเขียว?” ภิกษุจิ้งเฉินมองพินิจเหิงหย่วนด้วยสายตาคมกริบ
“อาตมาคือเหิงหย่วนขอรับ”
ภิกษุเหิงหย่วนก็จ้องจิ้งเฉินด้วยเช่นกัน เมื่อมาถึงจุดนี้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเพื่อนร่วมสำนักจากแดนประจิมกลุ่มนี้คล้ายจะมีความเป็นปฏิปักษ์ต่อเขาแล้ว
เหิงหย่วนไม่รู้ว่าความเป็นปรปักษ์นี้หมายความว่าอย่างไร ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายไม่เคยรู้จักหรือติดต่อกันมาก่อน
“ผู้ละทางโลกไม่มุสา!” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าวเสียงขรึม
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ความรู้สึกจากสัญชาตญาณของเหิงหย่วนก็ร้องเตือนเสียงดัง ‘โกหกไม่ได้ ต้องตอบอย่างจริงใจเท่านั้น’
“อาตมาคือเหิงหย่วนขอรับ” เหิงหย่วนประนมมือกล่าวอย่างใจเย็น
ภิกษุจิ้งเฉินเงียบ
เขาเพิ่งจะใช้ความสามารถของสาวกไป และยืนยันได้ว่าภิกษุผู้อ้างว่าตนคือเหิงหย่วนผู้นี้ไม่ได้โกหก เพราะอีกฝ่ายไม่อาจปรับเปลี่ยนกฎแห่งศีลได้ นอกจากว่าจะเป็นสาวกเหมือนกัน
คำถามคือ ถ้าคนตรงหน้าคือเหิงหย่วน เช่นนั้นคนเมื่อกี้คือใคร?
จุดประสงค์ของเขาคืออะไร?
จิ้งเฉินทบทวนบทสนทนาอย่างละเอียด ก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายมาเพื่อสิ่งที่ถูกผนึกอยู่ใต้ซังผอ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องราวก็ไม่ใช่แค่เหิงหย่วนตัวปลอมเท่านั้นแล้ว แต่เกี่ยวข้องกับภิกษุมารด้วย เขาจะต้องจัดการอย่างจริงจัง
‘เมื่อครู่จอมยุทธ์ภิกษุผู้นั้นก็ใช้สิงโตคำรามสำนักพุทธได้ แม้จะไม่ใช่เหิงหย่วน แต่คงต้องเป็นคนจากสำนักพุทธแน่ๆ…ผู้ที่อยู่ตรงหน้าเขาแม้ว่าจะเป็นเหิงหย่วนตัวจริง แต่เขาต้องการมาเยี่ยมเยียนจริงๆ หรือว่ามีเจตนาอื่นแอบแฝงกันแน่?’
ความคิดต่างๆ วาบผ่านไป ภิกษุจิ้งเฉินรีบตัดสินใจทันที เขาชี้ไปที่เหิงหย่วนแล้วตะโกนบอก “จับตัวไว้!”
ภิกษุสองรูปในชุดสีน้ำเงินก้าวไปข้างหน้าและจับไหล่ของเหิงหย่วน
‘ตูม!’
พลังปราณของเหิงหย่วนแกว่งไกว แล้วสะบัดภิกษุทั้งสองออกไปได้อย่างง่ายดาย
บนทางเดิน ภิกษุจิ้งเฉินทำมุทระด้วยมือทั้งสองแล้วออกคำสั่ง “ร่างมิอาจขยับ มือมิอาจเคลื่อนไหว ปากมิอาจเอ่ยวาจา”
เมื่อเอ่ยจบ ระลอกคลื่นสีทองราวกับคลื่นน้ำก็กระเพื่อมออกมาจากมุทระบนมือ แล้วแผ่ไปหาเหิงหย่วนอย่างแผ่วเบาและแน่วแน่
ในชั่วพริบตา เหิงหย่วนคล้ายติดอยู่ในหล่ม นอกจากความคิดที่ยังคงแล่นอยู่ เขาก็ไม่อาจควบคุมร่างกายได้เลย
‘ปัง ปัง ปัง’…
รอบกายของเหิงหย่วนมีคลื่นอากาศระเบิดออกมาระลอกแล้วระลอกเล่า ราวกับดอกไม้ไฟเล็กๆ
เขากำลังต่อต้านกับกฎแห่งศีลอย่างเต็มพลัง เพื่อพยายามหลุดออกมาจากหล่มนั้นให้จงได้
จิ้งเฉินขมวดคิ้ว ภิกษุกผู้เรียกตัวเองว่าเหิงหย่วนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดเสียอีก เขาอดตะโกนออกมาไม่ได้ว่า “รีบจับตัวมา!”
จอมยุทธ์ภิกษุสองสามรูปที่อยู่ในห้องรีบพุ่งออกมา รวมถึงพระสงฆ์และพระเถระอีกจำนวนหนึ่ง สองพวกนั้นมีพลังต่อสู้ค่อนข้างต่ำ ต้องอาศัยจอมยุทธ์ภิกษุให้จับคนไว้เสียก่อน
แต่เหิงหย่วนได้ทำลาย ‘กฎแห่งศีล’ ออกมาก่อนที่พวกจอมยุทธ์ภิกษุจะเข้ามาล้อมแล้ว ทั้งยังพุ่งมาด้วยความเร็วสูงไปหาภิกษุจิ้งเฉิน
เหิงหย่วนโกรธมาก เขาต้องลงมือสั่งสอนเพื่อนร่วมสำนักจากแดนประจิมพวกนี้ให้ได้
ในตอนนี้เอง กลับมีร่างหนึ่งมายืนขวางหน้าจิ้งเฉิน นั่นก็คือภิกษุจิ้งซือผู้สวมชุดคลุมสีเขียวและมีใบหน้างดงาม
เขามองไปที่เหิงหย่วนที่กำลังพุ่งมาด้วยสีหน้านิ่งสงบแล้วยกฝ่ามือขึ้น
ตอนที่ยกฝ่ามือขึ้นมายังไม่มีอะไรผิดปกติ แต่ระหว่างนั้น สีทองก็เริ่มผุดขึ้นมากลางฝ่ามือแล้วปกคลุมทั้งมือและแขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นคนทั้งคนก็กลับกลายราวกับรูปสลักทองคำ
‘เคร้ง!’
ฝ่ามือของเขาผลักไปที่หน้าอกของเหิงหย่วน เหิงหย่วนกระเด็นออกไปราวกับถูกท่อนไม้กระแทกเข้าที่หน้าอก แล้วทะลุกำแพงลานชั้นในออกไปจนถึงกำแพงอาคารหลัก
ทหารในจุดพักม้าตกใจแทบแย่ ต่างพากันซ่อนตัวอยู่ในห้องตัวสั่นเทา ไม่กล้าแม้แต่จะออกมา
ภิกษุกลุ่มนี้เพิ่งจะเข้าพักได้ก็ตบตีกับคนอื่นเสียแล้ว หากผ่านไปอีกสักหลายวัน แบบนี้ไม่ต้องรื้อจุดพักม้าเลยหรือ
“แค่ก แค่ก…”
ภิกษุเหิงหย่วนสำลักไอออกมาอย่างเจ็บปวดแล้วเดินไปจ้องจิ้งซือโดยไม่พูดไม่จา
จิ้งเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “เจ้าต้องอยู่ที่จุดพักม้า เมื่ออาจารย์อาตู้เอ้อร์กลับมา ท่านคงมีเรื่องจะถามพอดี”
เหิงหย่วนพยักหน้า “ได้”
ท้ายเสียงคำว่า ‘ได้’ เขาก็กลายเป็นภาพติดตาแล้วพุ่งเข้าหาอย่างดุเดือดอีกครั้ง ทว่าคราวนี้เป้าหมายไม่ใช่จิ้งเฉิน แต่เป็นจิ้งซือแทน
บนตัวของจิ้งซือยังคงเป็นโลหะทองคำอยู่ เขายกมือขึ้นอีกครั้งแล้วตบฝ่ามือไปยังเหิงหย่วน แต่ครั้งนี้ตบไม่โดน ทว่าทำให้เหิงหย่วนจับแขนเอาไว้ได้ กำปั้นขนาดใหญ่จึงต่อยกระทบใบหน้าไม่หยุด จนเกิดเสียง ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’
จิ้งซือผู้โดนโจมตีที่ใบหน้าใช้หัวโขกเหิงหย่วนจนหลุดมาได้ หลังจากที่ทั้งคู่ประมือกันได้สิบกว่ากระบวนท่า จิ้งซือก็ตกเป็นรองอีกครั้ง
เหิงหย่วนจับแขนเขาไว้แล้วร้องคำรามเสียงทุ้ม ก่อนทุ่มจิ้งซือไปบนพื้นด้วยการยกข้ามบ่า
‘โครม!’
อิฐเขียวที่ตกแต่งอยู่ในสวนแตกกระเด็นพุ่งขึ้นกลางอากาศในทันใด อีกทั้งพื้นก็ยังแตกร้าว
หัวเข่าของเหิงหย่วนจ่ออยู่ที่คอของจิ้งซือ หมัดขวาต่อยไปที่หัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นภาพติดตา
‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง’ …ราวกับเสียงของระฆัง คลื่นเสียงกระเพื่อมไปกับคลื่นลม พัดโหมไปทั่วทุกมุมของที่แห่งนี้
กระเบื้องร้าวลื่นไถล สวนดอกไม้แตกกระเจิง ต้นหลิวหักโค่น…กลายเป็นความอลหม่านในชั่วพริบตา
จิ้งซือไม่มีกำลังต่อต้านได้เลย เขาทำได้เพียงยกมือขึ้นปิดหน้าเพื่อรับการโจมตีเท่านั้น
“พอแล้ว!” จิ้งเฉินกล่าวเสียงขรึม
เหิงหย่วนจึงหยุดมือแล้วสะบัดกำปั้นเปื้อนเลือด ก่อนมองจิ้งซือด้วยสายตาเย็นชา “ก็แค่หนังหยาบเนื้อหนา”
ถึงตอนนี้ อารมณ์ที่รุนแรงของจอมยุทธ์ภิกษุจึงถูกระบายออกไปในที่สุด
สวี่ชีอันเข้าใจเหิงหย่วนผิดมาโดยตลอด เขาคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเรียบง่ายและอ่อนโยนแบบ ‘หลู่จื้อเซิน’ แต่ความจริง เหิงหย่วนเป็นอันธพาลที่ซ่อนอยู่ในเปลือกของคนซื่อจิตใจเรียบง่าย
คนที่อารมณ์ไม่รุนแรงไม่อาจลอบเข้าไปฆ่าคนในจวนผิงหย่วนป๋อกลางดึกแล้วจากไปได้หรอก
เพียงแต่ในใจของเหิงหย่วน ใต้เท้าสวี่เป็นคนดีมีน้ำใจใหญ่ยิ่ง และคนดีๆ เช่นนี้คู่ควรกับการปฏิบัติด้วยความอ่อนโยน
หลังจากเข้ามาที่จุดพักม้า เขาก็ถูกจับตามองทุกย่างก้าว เขามาพร้อมเจตนาดี แต่กลับเจอ ‘ไม้กระบอง’ เข้าไปเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเพลิงโทสะในใจเลย ครั้นกำลังตกอยู่ในสถานการณ์วุ่นวาย เจ้าภิกษุน้อยนี่ก็ยังออกมาแสร้งทำเป็นเก่ง ทำเหมือนกับว่าเหิงหย่วนเป็นแค่ไก่รองบ่อนที่สามารถตีกระเด็นได้ด้วยฝ่ามือเดียว
สุดท้ายเขาก็เป็นแค่ภิกษุน้อยที่หนังหยาบเนื้อหนาเท่านั้น
…
ต้นยามเซิน พระอาทิตย์ในต้นฤดูใบไม้ผลิแขวนอยู่บนท้องฟ้าทางตะวันตก
ไต้ซือตู้เอ้อร์ถือไม้คทาขักขระ นุ่งห่มจีวรสีทองและแดง เขาเดินกลับมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูจุดพักม้า จากนั้นเมื่อก้าวเข้าไป เขาก็มาถึงลานชั้นในแล้ว
ลานชั้นในเละเทะวุ่นวาย พวกทหารจุดพักม้าปีนบันไดขึ้นไปบนหลังคาเพื่อปูกระเบื้องใหม่ พวกจอมยุทธ์ภิกษุยกทรายมาเติมพื้นที่แตกร้าว
ในหมู่พวกเขา คนที่ทำงานหนักที่สุดคือคนหัวโล้นที่ไม่คุ้นหน้าอย่างยิ่ง ไต้ซือตู้เอ้อร์มองอยู่สองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
ภายนอกไต้ซือตู้เอ้อร์ดูเหมือนภิกษุชราภาพ ผอมแห้ง ผิวสีคล้ำ มีรอยยับย่นบนใบหน้า ร่างกายผอมแห้ง หุ้มด้วยจีวรหลวมโพรก ดูแล้วน่าขบขันเล็กน้อย
“อาจารย์อา!”
ภิกษุจิ้งเฉินออกมาจากในห้อง แล้วเอ่ยด้วยสำเนียงทางตะวันตก “เกิดเรื่องช่วงที่ท่านเข้าไปในวังขอรับ…”
เขาเล่าเรื่องเหิงหย่วนตัวจริงตัวปลอมให้ไต้ซือตู้เอ้อร์ฟังอย่างละเอียด
“เหิงหย่วนเอาชนะจิ้งซือโดยที่เขายากจะตอบโต้กลับอย่างนั้นหรือ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์หันหน้าไปมองเหิงหย่วนที่กำลังทำงานอย่างจริงจัง
“ขอรับ” จิ้งเฉินพยักหน้าแล้วเสริมอีกประโยค “แต่ศิษย์น้องจิ้งซือไม่ได้รับบาดเจ็บ ผู้อยู่ระดับเพชรมิใช่คนที่คนทั่วไปจะจัดการได้ง่ายๆ”
มีความภาคภูมิใจในน้ำเสียงของเขา
ไต้ซือตู้เอ้อร์ไม่ได้แสดงท่าทีใด แล้วเปลี่ยนเรื่องถาม “ตอนที่เหิงหย่วนคนแรกมาคุยกับเจ้า ได้พูดอะไรเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายหรือไม่ เช่นเขารู้ที่มาของสิ่งชั่วร้าย หรือรู้ข้อมูลบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งชั่วร้ายนั้นหรือไม่”
จิ้งเฉินหวนนึกครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า “เขาเพียงเอ่ยถึงสิ่งที่ถูกผนึกใต้ซังผอซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ ตอนที่อธิบายคดีความ เขาบอกว่าตนเคยเห็นมือปรสิตข้างหนึ่งอยู่ในร่างของศิษย์น้องเหิงฮุ่ยขอรับ อาจารย์อา เรื่องนี้จริงๆ แล้วตรวจสอบได้ขอรับ เพียงแค่เรียกเหิงหย่วนที่อยู่ข้างนอกมาถามเท่านั้น”
ตู้เอ้อร์กลับถามอีกครั้ง “เขาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลเรื่องสิ่งชั่วร้ายนั่นสักนิดเลยหรือ ไม่ได้เปิดเผยเรื่องภายในกับเจ้ามากกว่านี้เลยรึ?”
จิ้งเฉินส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ส่งเสียง ‘อืม’ กล่าวว่า “ข้ารู้แล้วว่าเขาคือใคร ตอนนี้เจ้าไปที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลแล้วหาตัวเจ้าหน้าที่สวี่ชีอันมา ข้ามีเรื่องอยากจะถามเขา”
…
สวี่ชีอันออกมาจากหอคณิกา ร่างกายรู้สึกเบาหวิว รับรู้ได้ว่ากระดูกของตนอ่อนยวบ เขาลิ้มรสความสุขจากการนวดและฟังดนตรีไปพร้อมกัน วันนี้ช่างมีความสุขเสียจริง
เวลาหนึ่งชั่วยามก็สามารถเปลี่ยนสตรีในหอคณิกาได้หลายกลุ่มแล้ว พวกนางเข้ามาพร้อมรอยยิ้มราวบุปผาแล้วจากไปพร้อมมือที่สั่นเทา
น่าเสียดายที่งานหลักของสตรีในหอคณิกาคือขายเรือนร่าง ไม่ใช่หมอนวดมืออาชีพ ฝีมือจึงด้อยไปหน่อย ยุคนี้มีทั้งหอนางโลม สำนักสังคีต และหอคณิกา ขาดก็แค่ร้านแช่ตัวกับร้านอาบนวดเท่านั้น น่าเสียดายจริงๆ
เวลานี้ถึงยามเลิกงานแล้ว ไม่จำเป็นต้องไปที่ที่ทำการอีก สวี่ชีอันจึงจ้างรถม้าริมทางเพื่อกลับไปยังจวนสกุลสวี่
“ต้าหลาง ท่านกลับมาแล้ว ที่ทำการมีคนมาหาท่าน รออยู่ตั้งนานขอรับ ทั้งยังดื่มชาไปตั้งสองกาด้วยนะ” เมื่อเห็นต้าหลางกลับมา เหล่าจางคนเฝ้าประตูก็รีบวิ่งมารับ
ที่ทำการปกครองตามหาข้าเพราะมีเรื่องบางอย่าง…สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็เดาได้ว่าต้องเป็นคนจากสำนักพุทธแดนประจิมที่มาหาเขานั่นเอง
เมื่อเข้าไปในห้องรับแขก เขาก็เห็นเจ้าพนักงานชุดดำผู้หนึ่งนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ สายตามองออกมาข้างนอกบ่อยครั้ง
“โอ้ ใต้เท้าสวี่มาได้เสียที”
หลังจากมองออกไปข้างนอกหลายต่อหลายหน ในที่สุดก็เห็นเงาร่างของสวี่ชีอันแล้ว เจ้าพนักงานชุดดำผู้นี้จึงเอ่ยอย่างยินดี “หากท่านไม่มาแล้วเลยเวลาห้ามออกนอกเคหสถาน ข้าน้อยคงได้แต่ต้องนอนค้างอยู่ในจวนท่านแล้วล่ะ”
“มีเรื่องอะไร” สวี่ชีอันเข้าเรื่อง
“ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีภิกษุชั้นสูงจากสำนักพุทธรูปหนึ่งมาตามหาท่านที่ที่ทำการปกครอง พอหาไม่เจอก็เลยไปพบเว่ยกง เว่ยกงจึงส่งข้ามารอท่านที่จวนขอรับ” เจ้าพนักงานชุดดำกล่าว
ก็แค่ภิกษุรูปหนึ่ง แต่เว่ยเยวียนกลับปฏิบัติต่อเขาอย่างจริงจังเช่นนี้เลยหรือ พวกคนจากตะวันตกจะนับเป็นอะไรได้ ข้าน่ะภาคภูมิใจในชาวภาคกลาง เมื่อใดที่เรายืนขึ้นมาได้ พวกนั้นจะตัวสั่นแน่นอน
สวี่ชีอันกล่าวด้วยสีหน้าราบเรียบ “รู้แล้ว อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบ”
เจ้าพนักงานชุดดำถอนหายใจ เมื่อกำลังจะเอ่ยลา จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้แล้วก็หัวเราะ “เว่ยกงได้ยินว่าช่วงนี้ท่านเดินเที่ยวไปทั่ว ไม่ยอมอยู่รับงานที่ที่ทำการปกครอง ทั้งยังไม่ไปลาดตระเวน เขาโกรธมากขอรับ บอกว่าเงินเดือนสามเดือนของท่านถูกหักแล้ว”
นี่ ท่านพ่อ มีอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันสิ! สวี่ชีอันใบหน้าแข็งค้าง
เมื่อส่งเจ้าพนักงานชุดดำจากไปแล้ว สวี่ชีอันก็นึกได้ว่าแม่ม้าน้อยของตนถูกทิ้งไว้ที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จึงสั่งให้คนรับใช้จูงม้าของสวี่เอ้อร์หลางมา
ในจวนสกุลสวี่มีม้าสามตัว เป็นของสวี่ผิงจื้อ สวี่ต้าหลาง และเอ้อร์หลาง และรถม้าหนึ่งคันสำหรับให้ผู้หญิงในบ้านใช้เวลาออกไปไหนมาไหน
สวี่ซินเหนียนได้ยินว่าพี่ใหญ่กลับมาแล้วก็รีบออกมาจากห้องหนังสือ ในใจเป็นกังวลมาก “พี่ใหญ่ วันนี้หลังจากท่านออกไป เจ้าคนมีเจตนาแอบแฝงสองคนนั้นก็มาอีกแล้ว”
“อะไรนะ?” สวี่ชีอันตอบสนองไม่ถูกไปชั่วขณะ
“มือกระบี่ชุดเขียวผู้หนึ่ง กับภิกษุที่รูปร่างเหมือนคนขายเนื้อผู้หนึ่ง พวกเขามาโดยไม่ได้รับเชิญ บอกว่ามาแสดงความยินดี ท่านพ่อบอกว่าคนที่มาคือแขก เลยเชิญพวกเขาเข้ามาดื่มกินอาหารในจวนด้วย”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว “ข้ามักจะรู้สึกว่าแววตาตอนที่พวกเขามองข้ามันแปลกๆ”
สวี่ชีอันนึกออกแล้ว ตอนบ่ายที่เจอกับเหิงหย่วน เหมือนเขาจะบอกว่าไปกินข้าวที่จวนสกุลสวี่มานี่นา
“เอ้อร์หลาง ไม่ต้องไปใส่ใจพวกไร้หัวนอนปลายเท้าเหล่านี้หรอก ตอนนี้เจ้าเป็นฮุ่ยหยวน สายตาของเจ้าอยู่บนท้องฟ้าสูงลิบ” สวี่ชีอันไม่รู้ว่าจะปลอบน้องชายตนอย่างไรดี จึงได้แต่ตบบ่าปลอบใจ
“ข้าขอยืมม้าของเจ้าก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้จะเอามาคืน”
คนรับใช้จูงม้าเข้ามาจากประตูหลังในเวลานี้พอดีแล้วยืนรออยู่ที่ประตู สวี่ชีอันเห็นก็ก้าวไปหาทันที
เขามาถึงจุดพักม้าซานหยางอีกครั้ง พระอาทิตย์แขวนอยู่ทางตะวันตกแล้ว แสงแดดยามเย็นเป็นสีทองอมแดงทอประกายงดงาม
“เจ้า…”
ภิกษุสองรูปที่เฝ้าประตูอยู่รู้ว่าตนถูกหลอกใช้เสียแล้ว พวกเขาจ้องหน้าสวี่ชีอันด้วยท่าทางไม่เป็นมิตร
“ข้าคือสวี่ชีอัน เป็นผู้ทำคดีซังผอ ไต้ซือตู้เอ้อร์เรียกพบข้าที่นี่ เจ้านำทางเถอะ” สวี่ชีอันส่งยิ้มหยีแล้วยื่นบังเหียนม้าให้
ภิกษุผู้เฝ้าประตูทั้งสองสูดลมหายใจลึกสะกดกลั้นความโกรธไว้ คนหนึ่งรับบังเหียนมา อีกคนทำมือ ‘เชิญ’ ให้เข้าไป
เขาก็ตามภิกษุเฝ้าประตูเข้ามายังเรือนชั้นในของจุดพักม้า
เหมือนว่าเพิ่งเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่นะ…เหิงหย่วนก็ทำงานอยู่ที่นี่ด้วย…ทำบาปแล้วๆ ต่อไปข้าจะเป็นคนดี
เขาก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย ไม่มองหน้าภิกษุเหิงหย่วน และเข้าไปในห้องภายใต้การนำของผู้เฝ้าประตู
ในห้องมีภิกษุอยู่สามรูป รูปที่นั่งตรงกลางคือภิกษุชราผิวคล้ำ ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น ร่างกายผอมแห้งสวมจีวรหลวมโพรก ดูแล้วน่าขบขันนิดหน่อย
ทางด้านซ้ายและขวาคือจิ้งเฉินและจิ้งซือที่เคยพบกันมาก่อน
จิ้งเฉินจ้องสวี่ชีอันด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ไต้ซือตู้เอ้อร์!” สวี่ชีอันประนมมือ
ภิกษุชราประนมมือกลับแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าสวี่แสร้งแต่งตัวเป็นจอมยุทธ์ภิกษุเหิงหย่วนแห่งวัดมังกรเขียวหรือ”
สวี่ชีอันมีใบหน้าจริงจัง เขาเอ่ยตอบว่า “เพราะต้องการรู้ว่าสิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอคืออะไรน่ะขอรับ”
ภิกษุเฒ่าหรี่ตามองดูเขาอย่างเงียบๆ ดวงตาที่สงบและอ่อนโยนนั้นเปรียบเสมือนเครื่องที่ใช้พินิจร่างกาย
ต่อหน้าภิกษุเฒ่าผู้นี้ สวี่ชีอันไม่กล้าที่จะมีแผนการในใจใดๆ เขายับยั้งความคิดของตน และป้องกันไม่ให้ตัวเองคิดมั่วซั่ว ก่อนจะกล่าวต่อไป
“ข้าเป็นคนทำคดีซังผอ และพบว่าในคดีมีความลับอยู่มากมาย วัดหย่งเจิ้นซานเหอตั้งอยู่บนอาณาเขตขนาดใหญ่ซึ่งได้ผนึกสิ่งชั่วร้ายเอาไว้ แต่วัดหย่งเจิ้นซานเหอกลับถูกระเบิด และหลังจากที่สิ่งชั่วร้ายหลบหนีออกไป ข้าก็ได้ลงไปในน้ำเพื่อตรวจสอบและพบว่าเสาหินค่ายกลที่เหลืออยู่นั้นถูกจารึกด้วยข้อความจากสำนักพุทธ
“ตอนแรกข้าคิดว่าสิ่งที่ถูกผนึกภายใต้ซังผอคือท่านโหราจารย์รุ่นแรก แต่เมื่อคดีคืบหน้าและเหิงฮุ่ยมาปรากฏตัว กลับกลายเป็นว่าสิ่งที่ถูกผนึกภายใต้ซังผอนั้นเป็นมือที่ถูกตัดขาด ข้าสันนิษฐานว่ามือที่ขาดข้างนั้นต้องเกี่ยวข้องกับสำนักพุทธ แต่ไม่ว่าจะเป็นท่านโหราจารย์หรือราชวงศ์ ต่างก็เก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ส่วนข้า สวี่ชีอัน คือผู้ที่ได้ไขคดีใหญ่ในเมืองหลวงมากมาย และไม่มีคดีใดที่ไขไม่ได้ แต่ความสงสัยนี้ราวกับก้างปลาที่ติดอยู่บนคอ ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์พยักหน้า “ดังนั้นจึงมาหยั่งเชิงถามแบบก่อนหน้านี้สินะ”
“ใช่แล้ว!” สวี่ชีอันกล่าว
คำพูดเหล่านี้คิดมาอย่างดีตั้งแต่ตอนที่ปลอมตัวเป็นเหิงหย่วนแล้ว เขาทำให้ตัวเองกลายเป็น ‘คนบ้า’ ที่คลั่งการสืบคดี และมีความกระหายรู้กับความลับและประวัติที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังท่อนมือข้างนั้น
ดังนั้นหลังจากที่สมณทูตแดนประจิมเข้ามาเมืองหลวง เขาจึงแสร้งปลอมตัวเป็นเหิงหย่วนเพื่อมาสืบความ
การหยั่งเชิงถามของเขาไม่มีความผิดปกติ คำถามทั้งหมดล้วนมีเหตุมีผล ไม่ได้เริ่มพูดข้อมูลใดๆ เกี่ยวกับภิกษุเสินซูแม้แต่นิด ซึ่งเสริมกับบทบาทผู้สืบคดีที่รู้หนึ่งไม่รู้สองได้อย่างดี
ไต้ซือตู้เอ้อร์เผยรอยยิ้มบาง “ใต้เท้าสวี่ต้องการรู้ข้อมูลของสิ่งชั่วร้ายนั่นหรือ”
สวี่ชีอันดีใจมาก ยามเอ่ยพูดก็แสดงความอยากรู้ออกมาอย่างพอเหมาะ “ไต้ซือยินดีบอกหรือขอรับ”
ภิกษุชราผอมแห้งเอ่ยยิ้มๆ “ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ท่านต้องเข้าร่วมศาสนาพุทธแล้วกลายมาเป็นศิษย์ของอาตมาเสียก่อน”
บัดซบ…สีหน้าของสวี่ชีอันบิดเบี้ยว เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าฝึกฝนทางยุทธ์ ไม่อาจหันไปฝึกจิตทางพุทธได้อีก”
ดูเหมือนไต้ซือตู้เอ้อร์จะรู้อยู่แล้วว่าต้องตอบเช่นนี้ เขาเอ่ยอย่างไม่เร็วไม่ช้า “ก็เป็นจอมยุทธ์ภิกษุได้”
ก็เป็นจอมยุทธ์ภิกษุได้…จอมยุทธ์ภิกษุและทหารนั้น แม้วิธีการแตกต่างแต่ก็มีเป้าหมายเดียวกัน ข้าเดาไม่ผิดเลย ระบบจอมยุทธ์ภิกษุของสำนักพุทธถูกตั้งขึ้นเพื่อให้รับมือกับ ‘ศิษย์ภายนอก’ นี่เอง
การคาดเดาที่สวี่ชีอันเก็บไว้ในใจมานานได้รับการยืนยันแล้ว
แล้วลำดับต่อจากจอมยุทธ์ภิกษุคืออะไรล่ะ?!
“แต่งงานมีลูกได้ไหมขอรับ” เขาถาม
“แม้ว่าจอมยุทธ์ภิกษุจะไม่ต้องถือศีล แต่ก็แต่งงานมีลูกไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกตน ทว่าเป็นกฎระเบียบของศาสนาพุทธ” ไต้ซือตู้เอ้อร์ส่ายหน้ากล่าว
“เมื่อเข้าสู่ศาสนาพุทธแล้วก็จะเป็นผู้ละทางโลก จอมยุทธ์ภิกษุก็เช่นกัน ในเมื่อเป็นผู้ละทางโลกแล้วจะมีครอบครัวได้อย่างไร”
สวี่ชีอันมีแต่ความเสียใจทั้งใบหน้า “ข้าก็อยากจะเข้าศาสนาพุทธอยู่หรอกนะขอรับ แต่จนปัญญาที่ต้องสืบทอดตระกูลที่มีมาเก้ารุ่นน่ะสิ เฮ้อ…ดูท่าว่าข้าจะไม่มีวาสนากับศาสนาพุทธ ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดายในชีวิตอย่างยิ่ง”
ไต้ซือตู้เอ้อร์มีความสุขเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าสวี่ชีอันจะเป็นมิตรต่อศาสนาพุทธเช่นนี้
“ต่อไปหากใต้เท้าสวี่มีคำถามใด ก็มาหาที่จุดพักม้าได้ทุกเมื่อ หากอาตมาบอกได้ อาตมาก็จะบอกให้ท่านรู้ ไม่ต้องแสร้งทำเป็นศิษย์สำนักพุทธหรอก”
“ข้ารู้ความผิดแล้ว”
ตู้เอ้อร์พยักหน้าแล้วสั่งให้จิ้งซือไปส่ง
หลังจากที่จิ้งซือส่งสวี่ชีอันจากไปแล้วก็กลับเข้ามาในห้อง ไต้ซือตู้เอ้อร์จึงเอ่ยเสียงขรึม “ไปเรียกเหิงหย่วนเข้ามา”
“ขอรับ!”
จิ้งเฉินออกไปเรียกคนมา
ไม่นาน เหิงหย่วนที่มีฝุ่นเขรอะเต็มตัวก็เดินตามจิ้งเฉินเข้ามา ไต้ซือตู้เอ้อร์เอ่ยยิ้มๆ “ผานซู่เรียกข้าว่าอาจารย์อา เจ้าเป็นศิษย์ของเขา เช่นนั้นก็ต้องเรียกว่าอาจารย์ปู่”
สำนักพุทธแดนประจิมและวัดมังกรเขียวไม่มีความสัมพันธ์เรื่องการแบ่งอาวุโส แต่ก่อนหน้านี้ จิ้งเฉินให้ความสุภาพ จึงเรียกขานสวี่ชีอันเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง
“อาจารย์ปู่” เหิงหย่วนประนมมือ
ไต้ซือตู้เอ้อร์พยักหน้าแล้วเอ่ยถาม “ได้ยินจิ้งเฉินว่า ฆ้องเงินสวี่ชีอันผู้นั้นบอกว่ามีความสัมพันธ์อันดีกับเจ้าหรือ?”
เหิงหย่วนตอบ “ขอรับ”
“ความเข้าใจผิดก่อนหน้านี้เกิดขึ้นเพราะคนผู้นี้ ในใจเจ้าเคยมีความโกรธเคืองบ้างหรือไม่” ไต้ซือตู้เอ้อร์จ้องหน้าเหิงหย่วน
“ไม่ว่าใต้เท้าสวี่จะทำอะไร ศิษย์ล้วนให้อภัยอย่างใจกว้างได้ขอรับ” เหิงหย่วนตอบกลับ
เขาเป็นหนี้ชีวิตหมายเลขสามสองครั้ง และเป็นหนี้ชีวิตสวี่ชีอันอีกหนึ่งครั้ง เรื่องเหล่านี้ล้วนมาจากความเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น
ตู้เอ้อร์พยักหน้าอีกครั้ง “เขาเป็นคนเช่นไรหรือ”
………………………………………………….