ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 288 นี่คือลูกของญาติหรือ
บทที่ 288 นี่คือลูกของญาติหรือ?
เมื่อฉู่ไฉ่เวยถูกเรียกตัว นางก็ออกจากวังทันที นางขี่ม้าตามทหารรักษาพระองค์ไปยังอารามรัตนะ โดยผ่านอุทยานแห่งแล้วแห่งเล่าและอารามจู่ซือของนิกายมนุษย์แต่ละหลัง จากนั้นก็มาถึงลานเล็กๆ ที่อยู่ลึกลงไปด้านในอารามเต๋า
“แม่นางไฉ่เวย เชิญ”
ขันทีเฒ่าสวมชุดหมางเผ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ที่ประตูทางเข้าแล้วส่งยิ้มน้อยๆ พร้อมทำท่า ‘เชิญ’ มาให้
ฉู่ไฉ่เวยรับคำ ‘อืม’ แล้วก้าวเล็กๆ อย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องส่วนตัว ชายกระโปรงของนางแกว่งไกวเล็กน้อย
ภายในห้องส่วนตัว จักรพรรดิหยวนจิ่งและลั่วอวี้เหิงนั่งอยู่ตรงข้ามกันที่โต๊ะชา บนโต๊ะชามีคัมภีร์เต๋าหนึ่งเล่ม กระถางธูปหนึ่งใบซึ่งมีควันสีเขียวเรียวยาวลอยเอื่อยขึ้นมา
ฉู่ไฉ่เวยเหลือบตามองแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่าบนโต๊ะไม่มีขนมน่าอร่อยวางอยู่ก็ถอนสายตากลับด้วยความผิดหวัง ก่อนจะกอบมือทำความเคารพ “ถวายบังคมฝ่าบาท ท่านราชครู”
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองพินิจศิษย์น้องน้อยในสายตาของเหล่าโหรชุดขาวจากสำนักโหราจารย์ผู้นี้ ดวงตารูปผลซิ่งของนางกลมโตและสดใส ใบหน้ากลมเกลี้ยงซ่อนเร้นความอ่อนหวาน นางดูเป็นผู้หญิงร่าเริงที่สามารถทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้โดยไม่รู้ตัว
“ท่านโหราจารย์ให้เจ้ามาพบเรา มีเรื่องอันใดหรือ”
“เป็นเช่นนี้เพคะ เมื่อวานศิษย์พี่สามหยางเชียนฮ่วนฝึกวิชา แล้วไม่ทันระวังทำให้ตกสู่ทางมาร ศิษย์พี่สามไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ศิษย์พี่ซ่งกับหม่อมฉันก็ไม่เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้…”
ยังพูดไม่ทันจบ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ขมวดคิ้วตัดคำแล้วเอ่ยเสียงขรึม “อะไรนะ หยางเชียนฮ่วนฝึกวิชาแล้วตกสู่ทางมาร?”
จักรพรรดิเฒ่าโกรธที่เรื่องเลวร้ายต่างๆ พากันพัดเพประเดประดังเข้ามาไม่หยุดหย่อน
ลั่วอวี้เหิงเลิกคิ้วขึ้นและจ้องมองไปยังฉู่ไฉ่เวยด้วยดวงตาสุกใส ‘นี่ช่างไม่เหมือนกับท่าทีของท่านโหราจารย์เสียเลย’
ฉู่ไฉ่เวยไม่ร้อนรน นางกล่าว “ด้วยเหตุนั้น ท่านอาจารย์โหราจารย์จึงให้หม่อมฉันมาขอยืมคนจากฝ่าบาทเพคะ โดยจะให้เขาไปเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์เข้าประลองกับพวกลาหัวโล้นจากแดนประจิม”
ยืมคน?!
จักรพรรดิหยวนจิ่งจอมวางแผนไม่ตอบตกลงในทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขายังไม่ได้ตัดสินใจเลือกตัวบุคคลที่คิดไว้ แต่ขมวดคิ้วเอ่ยถามว่า
“ท่านโหราจารย์ต้องการตัวผู้ใด?”
“หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฆ้องเงินสวี่ชีอันเพคะ” เสียงของฉู่ไฉ่เวยกระจ่างใสชัดเจน
จู่ๆ ทั่วทั้งห้องส่วนตัวก็เงียบลง
ผ่านไปนาน จักรพรรดิเฒ่าก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยมั่นใจราวกับต้องการยืนยัน “สวี่ชีอัน ฆ้องเงินสวี่ชีอันนั่นน่ะหรือ”
“เพคะ สวี่ชีอันผู้ไขคดีได้ยอดเยี่ยม คนที่กลับมาจากอวิ๋นโจวและเคยตายไปครั้งหนึ่งเพคะ” ฉู่ไฉ่เวยเอ่ยเสียงแผ่ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งโบกมือ “เราย่อมรู้จักเขา แต่เราหมายความว่า เหตุใดต้องเป็นสวี่ชีอันด้วย”
ลูกศิษย์หญิงคนนี้ของท่านโหราจารย์มีความคิดบริสุทธิ์ตรงไปตรงมาเกินไป เมื่อพูดกับนาง ก็จะต้องพูดให้ชัดเจน นางถึงจะเข้าใจ
ฉู่ไฉ่เวยส่ายหน้าอย่างสัตย์ซื่อ “ไม่รู้เหมือนกันเพคะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพ่นลมหายใจออกมาแล้วโบกมือ “เรารู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“เพคะ”
ฉู่ไฉ่เวยเดินออกไปอย่างรวดเร็ว นางคิดจะไปที่สวนเต๋อซินขององค์หญิงฮว๋ายชิ่งต่อเพื่อดื่มชาและกินขนม พร้อมกับถือโอกาสแบ่งปันเรื่องที่ได้รู้เห็นไปด้วย
เมื่อฉู่ไฉ่เวยจากไปแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ถือถ้วยชาขึ้นมาแล้วนิ่งคิดอยู่นาน ก่อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ราชครู ท่านเห็นว่าอย่างไร”
“สวี่ชีอันผู้นี้มีพรสวรรค์ไม่เลวจริงๆ แต่เขาเป็นจอมยุทธ์ผู้หนึ่ง หากให้ไปต่อสู้กับสำนักพุทธก็เกรงว่าจะไม่มีโอกาสชนะ” ลั่วอวี้เหิงมีใบหน้างดงามละเอียดอ่อน เวลาที่ทำหน้าไร้อารมณ์ก็เหมือนกับเทพธิดาหยกสลัก
“เพียงแต่แผ่นความลับสวรรค์นั้นเป็นอาวุธเวทมนตร์ประจำกายของท่านโหราจารย์ ไม่มีทางให้คนภายนอกยืมไปใช้แน่นอน บางทีเรื่องนี้อาจจะมีเหตุผลอื่นอยู่ก็ได้เพคะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งถอนหายใจ “ช่างเถอะๆ ไม่สนใจเขาแล้ว ตาเฒ่าผู้นี้มีความคิดอ่านล้ำลึก เรามองไม่ออกหรอก เรายังมีเรื่องต้องทำ ขอกลับวังก่อนแล้วกัน”
คนที่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ชอบหน้ามากที่สุดก็คือท่านโหราจารย์ ทั่วทั้งต้าฟ่งแห่งนี้ เขามองเมินพวกขุนนางบุ๋นบู๊ หรือแม้แต่ลั่วอวี้เหิงผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ที่เรียกกันว่าสหายเต๋าผู้นี้ ที่เขาให้ความรู้สึกเท่าเทียมกัน
มีเพียงท่านโหราจารย์เท่านั้นที่เป็นผู้ที่เขาต้องเงยหน้ามองขึ้นไป และจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่เคยมองเขาออกเลย
สำหรับจักรพรรดิผู้กุมอำนาจสูงสุดแล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจอย่างยิ่ง
เมื่อขึ้นมานั่งบนราชรถ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ตรัสสั่ง “เรียกตัวสวี่ชีอันเข้าวังมาพบข้า”
…
“ฝ่าบาทต้องการพบข้า?”
ตอนที่สวี่ชีอันได้รับข่าว เขากำลังกินแตงอยู่ที่นอกหอดูดาว แล้วมองดูพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ที่เดินนำเหล่าภิกษุอยู่กลางฝูงชนอยู่
“ขอรับ ทหารรักษาพระองค์จากในวังกำลังรออยู่ที่ที่ทำการ ใต้เท้าสวี่รีบไปเถิดขอรับ” ฆ้องทองแดงผู้มาส่งข้อความเอ่ยเร่ง
ข้าอยากไปช้าหน่อยจริงๆ ถึงยังไงเงินเดือนวันนี้ต้องถูกหักออกแล้ว…สวี่ชีอันไม่พูดอะไร เขาขี่แม่ม้าน้อยแล้วตีก้นเล็กๆ ของมัน พร้อมกับรีบกลับที่ทำการโดยเร็ว
หลังจากมาพบกับทหารรักษาพระองค์ที่รออยู่ที่ทำการแล้ว สวี่ชีอันก็เข้าไปในวัง ผ่านประตูตะวันออกเงียบๆ แล้วมาที่ห้องทรงพระอักษร
เสาสีแดงแข็งแรงหกเสารองรับหลังคาโค้งทรงสูง ไม่มีใครนั่งอยู่หลังโต๊ะขนาดใหญ่ที่ปูด้วยผ้าไหมสีเหลือง
สวี่ชีอันรอจักรพรรดิหยวนจิ่งในห้องเงียบๆ ประมาณหนึ่งเค่อ จักรพรรดิหยวนจิ่งผู้สวมชุดเต๋าและปักปิ่นเต๋าเอาไว้ก็มาถึง แต่เขาไม่ได้เดินไปนั่งบนเก้าอี้มังกรของตน ทว่ากลับเดินไปยืนอยู่หน้าสวี่ชีอันแล้วหรี่ตามองพิจารณาเขา
สีหน้านี้ดูคล้ายกับชายแก่ที่มองพินิจพิเคราะห์ลูกเขยด้วยความสับสนและไม่เป็นมิตรเลยนะ!
จักรพรรดิหยวนจิ่งหยุดอยู่ตรงหน้าเขาแล้วเอ่ยพูดกับฆ้องเงินผู้ทำตัวนอบน้อมไม่มีปากมีเสียง “เรื่องที่ท่านโหราจารย์จะประลองกับตู้เอ้อร์นั่นน่ะ เจ้ารู้หรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่ได้เห็นในพระราชโองการแล้วพ่ะย่ะค่ะ” สวี่ชีอันตอบกลับด้วยความเคารพ
“โดยปกติแล้ว การประลองจะแบ่งเป็นประลองความรู้และประลองยุทธ์ ตู้เอ้อร์และท่านโหราจารย์ล้วนเป็นยอดฝีมือหาตัวจับยากของโลกทั้งนั้น ย่อมไม่มีทางออกโรงเอง เรื่องนี้จึงมักจะเป็นเรื่องระหว่างศิษย์”
เรื่องนี้ก็พอจะอธิบายได้ พวกลูกพี่นั่งชี้นิ้วอยู่ด้านหลัง แล้วให้เหล่าศิษย์ไปสู้รบกันเอง…แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าล่ะ
เขาสงสัยอยู่ในใจ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเรียบของจักรพรรดิหยวนจิ่งเอ่ยว่า “ท่านโหราจารย์เพิ่งจะมาขอยืมคนจากข้า เขาต้องการให้เจ้าเข้าประลอง!”
“…?”
สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่จักรพรรดิหยวนจิ่งด้วยความประหลาดใจ
จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องหน้าเขา “เจ้าว่าอย่างไร”
ท่านโหราจารย์ เจ้าเฒ่าสารเลวนั่น ที่แท้คิดอะไรในใจกันแน่ รู้อยู่ว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในร่างของข้า แล้วเจ้ายังจะส่งข้าให้ไปเผชิญหน้ากับสำนักพุทธอีก…สวี่ชีอันพูดขึ้นทันที “กระหม่อมด้อยความสามารถ ขาดความรู้ เกรงว่าจะรับหน้าที่นี้มิได้ ขอฝ่าบาทโปรดทรงปฏิเสธให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแค่นเสียง “ในเมื่อท่านโหราจารย์ตัดสินใจแล้วก็ย่อมไม่เปลี่ยนใจ เราตามเจ้ามาไม่ใช่เพื่อจะฟังเรื่องพวกนี้ เราอยากจะบอกเจ้าว่าการประลองครั้งนี้เกี่ยวพันกับหน้าตาของต้าฟ่ง เจ้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะให้ได้”
แล้วเจ้าไม่คิดหน่อยล่ะว่าข้าจะเอาอะไรมาชนะ?
สวี่ชีอันคารวะด้วยใบหน้านิ่งเรียบ “รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”
…
อารามรัตนะ
ไม่นานหลังจากที่จักรพรรดิหยวนจิ่งจากไป สตรีสวมชุดสีขาวหลายชั้นพร้อมประโคมเครื่องประดับประณีตงดงาม และคลุมหน้าด้วยผ้าไหมบางๆ ผู้หนึ่งก็เข้าไปในอารามรัตนะภายใต้การคุ้มกันทหารรักษาพระองค์
ไม่จำเป็นต้องให้ประกาศบอก นางเดินตรงเข้าไปในส่วนลึกของอารามเต๋าแล้วนั่งลงในศาลาตรงๆ
บนสระน้ำข้างศาลา ลั่วอวี้เหิง ราชครูประจำแผ่นดินคนงามกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ
สตรีผู้ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าไหมหยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาโยนไปที่ลั่วอวี้เหิงอย่างไร้สุ้มเสียง เมื่อหินเข้าใกล้ลั่วอวี้เหิงสามฉื่อ มันก็ถูกกำบังปราณดีดกลับไปกระแทกเข้าที่หน้าผากของสตรีผู้ปิดบังใบหน้าคนนั้นแทน
นางร้อง ‘โอ๊ย’ ออกมาแล้วกุมหน้าผากหมอบลง ก่อนเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ยอดฝีมือระดับสามสู้ไม่ไหว ยอดฝีมือระดับสองจึงรังแกคนได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ”
ลั่วอวี้เหิงลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยอย่างจนใจ “เจ้ามาทำอะไร หากไม่มีธุระก็อย่ามารบกวนการฝึกตนของข้า”
สตรีผู้ปิดบังใบหน้ายกชายกระโปรงเดินไปอยู่ข้างสระน้ำแล้วกล่าวอย่างตื่นเต้น “สำนักพุทธจะประลองกับท่านโหราจารย์ พรุ่งนี้มีเรื่องน่าสนุกให้ดูน่ะสิ”
“ก็ไปดูเสียสิ”
“ข้าย่อมต้องไปดูอยู่แล้ว แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อนุญาตให้ข้าออกจากตำหนัก ถึงตอนนั้นคงทำได้เพียงเปลี่ยนรูปลักษณ์แล้วแอบออกไปดู แต่ข้าอยากเข้าไปดูใกล้ๆ นี่นา” สตรีผู้ปิดบังใบหน้าเอ่ยบ่น
“หลังจากปลอมตัว เจ้าก็ให้คนอื่นพาเจ้าเข้าไปได้นี่” ลั่วอวี้เหิงกล่าวยิ้มๆ
“หลังจากที่ข้าปลอมตัว ใครจะไปจำข้าได้ แล้วจะพาข้าออกไปได้อย่างไร” นางกล่าวอย่างหัวเสียราวกับท้อแท้ใจ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อ
“ข้าจะบอกให้ สวี่ชีอันผู้นั้นน่ารังเกียจจริงๆ ข้าได้เจอเขาหลายครั้งแล้ว เป็นพวกลามกไปวันๆ ของแท้เลย”
“ด้วยใบหน้าอย่างเจ้าแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ” ลั่วอวี้เหิงตอบ
“ดูเอาเถอะ เจ้าไม่ได้พูดกับข้าอย่างจริงใจเลยสักนิด พูดไม่คิดเลย…ข้าจะแสดงใบหน้าที่แท้จริงของข้าได้อย่างไรกันล่ะ หากเป็นเช่นนั้น เจ้าลามกนั่นคงได้ตกหลุมรักข้าแน่ๆ และข้าจะแปลงรูปลักษณ์ ถึงแม้ว่าข้าในสภาพที่ปลอมตัวแล้วจะมีหน้าตาธรรมดาสามัญ แต่ก็ยังเป็นสตรีผู้มีบุคลิกและท่วงท่าที่เลิศเลอที่สุดอยู่ดี…”
ลั่วอวี้เหิงขัดจังหวะอย่างอดรนทนไม่ไหว “บุคลิกและท่าทางยอดเยี่ยมน่ะ ข้าว่าการพูดได้ลื่นไหลแม้อยู่ต่อหน้าเจ้า น่าจะสอดคล้องกับประโยคนี้เหมือนกันนะ”
นางอึ้งไปครู่หนึ่ง ตะลึงลานอยู่นาน…
“ไม่ต้องพูดแล้ว!” สตรีผู้ปิดใบหน้าโมโหจนหันหน้าหนี
นางไม่เคยยอมรับตนเองในร่างปลอมแปลงที่เป็นเพียงสตรีบ้านๆ หน้าตาธรรมดาๆ
แต่สวี่ชีอันผู้นั้นกลับเกิดความรู้สึกล้ำลึกกับสตรีเช่นนี้เสียได้ บุรุษผู้นี้ช่างเป็นจอมลามกที่กินไม่เลือกเสียจริง
‘เจ้าคนต่ำต้อยสกปรก’
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ที่เป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ไปประลองกับสำนักพุทธในวันพรุ่งนี้คือผู้ใด” จู่ๆ ลั่วอวี้เหิงก็พูดขึ้นมา
หญิงสาวผู้ปิดบังใบหน้าหูตั้งทันที
“สวี่ชีอัน” ลั่วอวี้เหิงทำท่ามีเลศนัย
“หือ?”
สตรีผู้ปกปิดใบหน้าหันมาทันที ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง “เขาน่ะหรือ? เป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์?”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า
สตรีปิดหน้าโมโหขึ้นมาทันที นางเท้าเอวของตนอยู่ตรงนั้น “ทั้งต้าฟ่งของข้าไม่มีคนอื่นแล้วหรืออย่างไร กลับให้คนต่ำต้อยผู้หนึ่งเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ไปประลองเสียอย่างนั้น”
นางตัวสั่นเทาอยู่พักหนึ่ง แต่เมื่อเห็นลั่วอวี้เหิงนั่งหลับตาและกลับไปทำสมาธิอีกครั้ง นางจึงเงียบลง
นางนั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตากลอกกลิ้งไปมา ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร
…
ณ หอเฮ่าชี่ สวี่ชีอันถือถ้วยชาแล้วบอกข่าวที่รู้มาจากในวังให้กับเว่ยเยวียน เว่ยเยวียนกล่าวตอบราวกับไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน “ทำให้ดีที่สุดล่ะ”
“หากแพ้ขึ้นมา ข้าน้อยคงถูกฝ่าบาทลงทัณฑ์เป็นแน่” สวี่ชีอันกังวล
เว่ยเยวียนหัวเราะเบาๆ พลางกล่าว “วางใจเถอะ บางทีการประลองในวันพรุ่งนี้อาจมิได้ยากเย็นอย่างที่เจ้าคิดก็ได้”
สวี่ชีอันตาสว่างวาบ “เว่ยกง ท่านรู้ข้อมูลอะไรมาหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนเหลือบมองเขา “ใช้สมองของเจ้าสิ!”
ขันทีใหญ่เอ่ยชี้ให้เห็น “เดิมพันในการประลองคือสิ่งใด”
“คัมภีร์ระดับเพชรและแผ่นความลับสวรรค์ขอรับ”
“แผ่นความลับสวรรค์เป็นอาวุธเวทมนตร์ประจำตัวท่านโหราจารย์ บนโลกนี้มีเพียงหนึ่งเดียว หากประลองแพ้ เจ้าก็เพียงแค่ถูกฝ่าบาทลงโทษ แต่เขาน่ะ ต้องเสียสมบัติไปชิ้นหนึ่งเชียวนะ หากไม่มีความมั่นใจ ท่านโหราจารย์จะมาขอยืมตัวเจ้าจากฝ่าบาทหรือ”
ข้าเก่งกาจขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมตัวข้าเองถึงไม่รู้ล่ะ…สวี่ชีอันพึมพำในใจ
…
เมื่อฟ้าเริ่มมืด เขาก็กลับไปเล่าเรื่องที่ตนต้องเป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์ไปประลองกับสำนักพุทธให้กับครอบครัวฟัง แล้วกล่าวว่า “หากพวกท่านอยากไปรับชมความครึกครื้น ก็สามารถใช้ป้ายห้อยเอวของข้าจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้นะขอรับ”
สวี่ผิงจื้อขมวดคิ้วแน่น “เจ้าจะเป็นอันตรายหรือไม่”
“เพียงประลองกันเท่านั้น ก็น่าจะ…ไม่อันตรายกระมัง” สวี่ชีอันก็ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้รายละเอียดของการประลองวันพรุ่งนี้เสียหน่อย
“โอ้ พวกเราเข้าไปดูได้ด้วยหรือ” อาสะใภ้ที่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าไม่ยอมหืออืออะไร แต่กลับเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุข
“ข้าไปด้วย ข้าจะไปด้วย…”
สวี่หลิงอินใช้ประโยชน์ตอนที่ว่างจากการกลืนอาหารยกมือน้อยของตนขึ้นสูง
“เจ้าก็อยากไปดูเรื่องสนุกหรือ” สวี่ชีอันประหลาดใจนิดหน่อย น้องสาวโง่เง่าคนนี้จะไม่ค่อยพูดระหว่างทานข้าวนี่นา
“ที่ที่มีเรื่องสนุกก็ย่อมต้องมีของกิน” สวี่หลิงอินพูดจาด้วยท่าทางจริงจังน่าเชื่อถือ นี่คือปรัชญาชีวิตที่นางสรุปออกมาได้ตลอดช่วงชีวิตหกปีอันแสนสั้นของนาง
“เหตุใดท่านโหราจารย์ต้องเลือกพี่ใหญ่ด้วยล่ะ”
สวี่ฉือจิ้ว ปัญญาชนเพียงคนเดียวในบ้านผู้รับผิดชอบด้านสติปัญญาขมวดคิ้ว เขาพบว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
สวี่ชีอันทำได้เพียงเอ่ยอย่างจนปัญญาเพื่อตอบข้อสงสัยนี้ของน้องชาย “ใครจะรู้ล่ะว่าท่านโหราจารย์กำลังคิดอะไรอยู่ เจ้ารู้หรือ แต่ข้ากลับไม่รู้อะไรเลย”
น้องชายส่ายหัว แสดงท่าทีว่าตนก็ฉลาดพอๆ กัน เขาเดาไม่ออกเช่นกันว่าท่านโหราจารย์กำลังคิดอะไร
หลังอาหารเย็น สวี่ชีอันก็ไปฝึกลมหายใจ หลังจากที่เขาเข้าสู่สภาวะยอดเยี่ยมก็หยุดนั่งสมาธิและเตรียมตัวนอนหลับฝันดี เพื่อเตรียมพร้อมจิตใจรับศึกประลองในวันรุ่งขึ้น
“ดูท่าว่าการที่ไม่ได้ไปสำนักสังคีตในช่วงสองสามวันนี้คงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว บุรุษต้องรู้จักสะสมและบำรุงกำลังเอาไว้บ้าง”
เขาหลับตาลงและกำลังจะเข้าสู่ห้วงนิทรา แต่อาหารใจสั่นอันคุ้นเคยก็มาทักทายเสียก่อน
จำใจต้องควานหาชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาแล้วจุดตะเกียงเพื่ออ่านข้อความ
หมายเลขสี่ ‘พรุ่งนี้มีการประลองระหว่างท่านโหราจารย์และตู้เอ้อร์ ข้าได้ยินข่าวน่าตกใจจากราชครูมา’
‘ข่าวอันใด’
สมาชิกพรรคฟ้าดินพากันเอ่ยถาม
มีเพียงสวี่ชีอันที่สีหน้าเปลี่ยนไป ในใจลอบเอ่ยว่า เจ้าเงียบปากไปเลยนะ เงียบไปเลย!
ฉู่หยวนเจิ่นใช้นิ้วขีดเขียนข้อความ ‘สำนักโหราจารย์กลับเลือกส่งฆ้องเงินสวี่ชีอันออกไปประลองน่ะสิ’
พอส่งข้อความเสร็จ ฉู่หยวนเจิ่นก็รอที่จะได้เห็น ‘กลุ่มเพื่อน’ แสดงปฏิกิริยาตื่นตะลึงออกมา จากนั้นก็จะพากันแสดงความเห็นต่างๆ นานา แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าไม่มีการตอบกลับแม้แต่นิด
‘?’
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้ว ‘พวกเขารู้อยู่แล้วอย่างนั้นหรือ?’
หมายเลขสอง ‘หมายเลขสี่ เจ้าทำอะไร จงใจมายั่วกันหรือ?’
หมายเลขหก ‘หมายเลขสี่มิใช่คนเช่นนั้น ช่วงนี้เขาอาจมีปัญหาบางอย่างก็เป็นได้’
หมายเลขสี่มีปัญหา…ฮ่าๆๆ สวรรค์เมตตาไม่ให้พูดเรื่องของข้าออกไป ไม่อย่างนั้นหมายเลขสองที่ได้ยินว่าข้ายังไม่ตายจะต้องเปิดเผยตัวตนของข้าลงในกลุ่มนี้แน่ๆ…สวี่ชีอันโล่งใจนัก
ตอนนี้เอง เขาก็เห็นข้อความจากนักบวชเต๋าจินเหลียนบนหน้ากระจก หมายเลขเก้า ‘ข้าปิดกั้นพวกเขาชั่วคราวไปแล้ว หมายเลขสี่ก็ถูกข้าปิดกั้นไว้แล้วเช่นกัน’
นักบวชเต๋าปิดกั้นหมายเลขสี่?!
สวี่ชีอันตะลึงไปครู่หนึ่งก็ส่งข้อความ ‘ขอบคุณท่านนักบวชเต๋า’
หมายเลขเก้า ‘ไม่ต้องขอบคุณ’
คงอยากจะพูดว่า ‘ไม่ต้องขอบคุณ ถ้าตอนนี้ให้หลี่เมี่ยวเจินรู้ข่าวที่เจ้าฟื้นคืนชีพ หลังจากนางมาที่เมืองหลวง นางก็จะสามารถจดจ่อตั้งใจเตรียมต่อสู้ได้น่ะสิ’ เจ้ามันคนบัดซบ ไร้ประโยชน์สิ้นดี
หมายเลขเก้า ‘แต่กระดาษย่อมไม่อาจห่อไฟ เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ว่าข้าหมายถึงอะไร’
หมายเลขสาม ‘ข้ารู้ดีว่าอะไรควรไม่ควร’
สวี่ชีอันตั้งใจจะบอกต่อหน้าหลี่เมี่ยวเจิน แล้วพูดคุยเรื่องในอดีตที่เกี่ยวกับความอับอายทางสังคมของทุกคน แบบนี้หลี่เมี่ยวเจินก็จะยอมปกปิดตัวตนเป็นความลับให้เขาแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียน เจ้าคิดว่าข้าอยู่ชั้นสอง แต่ความจริงข้าอยู่ชั้นห้าต่างหาก
หมายเลขสาม ‘จริงสินักบวชเต๋า เหมือนว่าข้าจะได้เจอสตรีที่มีความสัมพันธ์กับข้าผู้นั้นแล้วนะ’
หมายเลขเก้า ‘ฮ่าๆ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องได้เจอ แสดงว่าชะตากรรมของพวกเจ้ามาถึงแล้ว’
ชะตากรรมมาถึงแล้ว…สวี่ชีอันกลืนน้ำลายแล้วส่งข้อความอย่างโศกเศร้า ‘ชะตากรรมที่ท่านพูดถึงนี้ เป็นชะตากรรมจริงๆ เลยหรือ อายุเช่นนางเป็นอาสะใภ้ของข้าได้เลยนะ’
อายุของท่านป้าผู้นั้นน่าจะน้อยกว่าอาสะใภ้แค่ไม่กี่ปี ส่วนปีนี้อาสะใภ้อายุสามสิบหกปีแล้ว
หมายเลขเก้า ‘ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้บอกเจ้าเรื่องความสามารถของกำไลลูกประคำเส้นนั้น อืม มันสามารถปกปิดปราณและปรับเปลี่ยนใบหน้าได้ สำนักพุทธเก่งกาจในการปกปิดปราณของตนที่สุดแล้ว กำไลลูกประคำเป็นของที่ข้าได้มาจากมือภิกษุชั้นสูงรูปหนึ่งตอนเอาชนะเขาได้สมัยที่ข้าท่องไปยังแดนประจิมเพื่อสะสมคุณธรรมเชียวนะ’
อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นหากป้าแก่ผู้นั้นเป็นอิสตรีสาวสวยมีเสน่ห์ ข้าก็ยังพอรับได้ อีกอย่าง ในสายตาและประสบการณ์จากชาติก่อนของข้า วัยสามสิบกว่าๆ นี่เป็นช่วงอายุที่ดีที่สุดของผู้หญิงเลยนะ…เฮ้ยๆๆ ความคิดจะลื่นไหลไปแบบนี้ไม่ได้ อย่างกับข้ายอมรับแล้วว่านางกับข้ามีวาสนาต่อกันอย่างนั้นล่ะ
ต้องเป็นผลจากคำพูดเปรยๆ ของนักบวชเต๋าจินเหลียนแน่
หมายเลขสาม ‘ท่านนักบวช สัมพันธ์กันคืออะไรหรือ’
หมายเลขเก้า ‘สัมพันธ์นี้มีอยู่มากมายหลายแบบ มิตรภาพที่เกิดระหว่างกันและกันก็นับว่าเป็นสัมพันธ์ แต่มิตรภาพนี้จะเป็นเพื่อน เป็นสหายรู้ใจ หรือว่าเป็นผู้มีพระคุณก็ได้’
เฮ้อ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ครั้นพูดคุยกันเสร็จ เขาก็กลับไปห่อตัวอยู่ในผ้าห่มผืนบางแล้วเข้าสู่ห้วงนิทรา
…
วันรุ่งขึ้นยามเช้าตรู่ สวี่ผิงจื้อกลับบ้านหลังจากไปลางานแล้วพาสตรีในบ้านทั้งหลายออกไปข้างนอก เขาเป็นผู้ขับรถม้าพาพวกนางไปชมดูความสนุกที่หอดูดาวด้วยตนเอง
ส่วนสวี่เอ้อร์หลางนั้นขี่ม้าตามรถม้ามา
เพิ่งขี่ออกมาจากถนนเล็กๆ หน้าประตูเพื่อเลี้ยวเข้าสู่ถนนสายหลัก พวกเขาก็ได้เห็นสตรีหน้าตาธรรมดาสามัญผู้หนึ่งอยู่บนรถม้าธรรมดาๆ ที่จอดอยู่ริมทาง นางยกมือขึ้นมาหยุดรถม้าของสวี่ผิงจื้อ
สวี่ผิงจื้อขมวดคิ้วมองพินิจดูสตรีผู้นั้นแล้วเอ่ย “เจ้าคือ?”
“เจ้าคืออารองของสวี่ชีอันใช่หรือไม่”
“ใช่!”
“จะไปหอดูดาวหรือ?”
“ใช่”
สตรีผู้นั้นพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้ามาแล้วปีนขึ้นรถม้าเสียเอง “พาข้าไปที่หอดูดาว แล้วบอกสวี่ชีอันว่าจะไม่เอาความเรื่องที่หยิบถุงหอมของข้าไป”
เดิมทีอารองสวี่ต้องการจะผลักผู้หญิงคนนั้นลงมา แต่เมื่อเขาได้ยินประโยคหลัง สีหน้าของเขาก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ฟังดูเหมือนสตรีผู้นี้จะมีบางอย่างเกี่ยวพันกับหลานชายของตนนะ
‘จากฐานะและหน้าตาของหนิงเยี่ยนแล้ว ไม่น่าจะมาพัวพันกับสตรีที่อายุมากกว่าเขาขนาดนี้นี่นา หรือข้าคิดมากไป จะต้องเป็นข้าที่คิดมากไปแน่ๆ…’
สวี่ผิงจื้อตั้งใจว่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้วจะลองถามสวี่หนิงเยี่ยนดู ตอนนี้คงต้องอดทนไม่พูดถึงไปก่อน
หลังจากที่ป้าแก่ขึ้นมาในรถ นางก็เห็นอาสะใภ้ผู้อิ่มเอิบเสน่ห์มากล้นและสวี่หลิงเยวี่ยผู้งามประณีต นางตะลึงไปพักหนึ่ง แล้วนึกได้ว่าด้านนอกยังมีชายหนุ่มรูปงามอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย จึงลอบพึมพำว่า
‘ดีกันทั้งครอบครัว’
จากนั้น นางก็เห็นสวี่หลิงอินผู้มีใบหน้าธรรมดาสามัญเหมือนตนในขณะนี้ สวี่หลิงอินทำผมทรงเด็กน้อยและนั่งอยู่บนเก้าอี้ยาว ขาสั้นๆ สองข้างห้อยอยู่กลางอากาศ
นางไม่ได้สนใจการมาถึงของตนเลย เอาแต่กินเนื้อแห้งในแขนของตนเท่านั้น
อาสะใภ้พิจารณามองป้าแก่อย่างละเอียดแล้วเอ่ยด้วยท่าทีสงวนตัว “ท่านเป็นฮูหยินจากบ้านใดหรือเจ้าคะ”
ป้าแก่เผยรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน “เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น คิดอยากไปดูเรื่องสนุกที่สำนักโหราจารย์สักหน่อย แต่เข้าไปไม่ได้ ประจวบเหมาะกับ…รู้จักหลานชายของใต้เท้าสวี่อยู่บ้าง จึงมาขอติดรถไปด้วยเจ้าค่ะ”
อาสะใภ้พยักหน้า ตราบใดที่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสามีของนาง นางก็ไม่สนใจ
สตรีวัยไล่เลี่ยกันสองคนสนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง อาสะใภ้ก็พบว่าเรื่องที่อีกฝ่ายเรียกตัวเองว่า ‘คนธรรมดา’ น่าจะเป็นการหลอกกันเล่นแล้ว
ผู้หญิงคนนี้พูดด้วยท่าทีสง่างามและยิ้มอย่างสงวนตัว นางไม่มีทางเป็นฮูหยินจากครอบครัวธรรมดาแน่นอน
‘น่าจะเป็นฮูหยินในบ้านของขุนนางที่รู้จักมักจี่กับหนิงเยี่ยนสักคน… ว่าแต่เหตุใดถึงไม่เห็นผู้ชายจากบ้านของนางเลย?’
ตอนนี้เองป้าแก่ก็มองไปที่สวี่หลิงอินแล้วเอ่ยถามขึ้น “นี่เป็นลูกของญาติหรือเจ้าคะ”
…………………………………………….