ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 291 เซน (2) - 2
บทที่ 291 เซน (2)
“เช่นนั้นข้าก็มีหลายเรื่องที่ต้องการปรึกษาไต้ซือ” สวี่ชีอันจ้องมองเขาและยิ้มเยาะ “ท่านเคยเลี้ยงดูพ่อแม่หรือไม่ ท่านเคยทำงานหนักเพื่อดูแลครอบครัวหรือไม่ ท่านเคยแบกจอบทำการเกษตรหรือไม่ ศาสนาพุทธไม่ทำสิ่งใดให้เกิดผล ทั้งวันท่องพระคัมภีร์และต้องการฆราวาสมาเลี้ยงดู ข้าใคร่ถามท่านว่า ท่านท่องพระคัมภีร์อะไร สวดมนตร์อะไร เดินทางไปทั่วโลกฆราวาสด้วยสถานะผู้เฝ้ามอง ท่านนับว่าเข้าใจความทุกข์ยากของสรรพชีวิตได้หรือ ทุกข์แปดประการในชีวิต ท่านเคยสัมผัสเพียงแค่การเกิด ส่วนที่เหลือไม่มีเลย ท่านก็แค่ภิกษุจอมปลอมเท่านั้นเอง”
จิ้งซือครุ่นคิดอยู่นานและตอบว่า “พระพุทธเจ้ามองเห็นทุกสิ่งในโลก ย่อมเข้าใจความทุกข์ยากในโลก”
“ดี!”
สวี่ชีอันพยักหน้า หยิบดาบยาวสีดำทองออกมาและกรีดบาดแผลที่ชุ่มไปด้วยเลือดบนแขน เขาปิดบาดแผลและมองไปที่จิ้งซือ
“ไต้ซือรู้สึกถึงความเจ็บปวดของข้าหรือไม่”
“ใบมีดตกถึงร่างกายจะไม่เจ็บปวดได้อย่างไร” จิ้งซือพนมมือ
“เช่นนั้นท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเจ็บปวดเพียงใด” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง
จิ้งซือเงียบ เขามีระดับเพชรคุ้มกายา ใบมีดจึงไม่สามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ดังนั้นเขาตอบไม่ได้จริงๆ
“ไต้ซือยังไม่เข้าใจอีกหรือ” สวี่ชีอันถอนหายใจ “นี่คือสิ่งที่ท่านเรียกว่า มองเห็น ท่านรู้เพียงแค่ว่าข้าเจ็บปวด แต่ไม่รู้ว่าเจ็บปวดเพียงใด ท่านรู้เพียงแค่ความทุกข์ยากในโลก แต่ไม่รู้หรอกว่ามันทุกข์ยากเพียงใด แม้แต่ความทุกข์ยากของผู้คนท่านก็ไม่อาจเข้าใจได้ เช่นนั้นจะพูดถึงการทำให้มนุษย์พ้นทุกข์ได้อย่างไร นี่ไม่ใช่เรื่องขบขัน ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ท่านฟัง”
จิ้งซือไม่ได้พูดอะไร แต่ตั้งท่าฟัง
“มีอยู่ปีหนึ่ง ทั่วทั้งโลกเกิดความแห้งแล้งอย่างหนัก ประชาชนทุกข์ยากไร้ข้าวประทังชีพ ต้องอดตายนับไม่ถ้วน มีคุณชายคนหนึ่งที่มาจากครอบครัวร่ำรวยได้ยินเรื่องนี้ จึงเอ่ยด้วยความประหลาดใจ ไต้ซือรู้หรือไม่ว่าเขาเอ่ยว่าอย่างไร”
จิ้งซือจี้ถามว่า “เขาเอ่ยว่าอย่างไร”
สวี่ชีอันจ้องมองภิกษุน้อยจิ้งซือ เขาเผยรอยยิ้มเย้ยหยันออกมาและเอ่ยคำต่อคำ “เหตุ ใด ไม่ กิน เนื้อ แทน ล่ะ”
ภิกษุจิ้งซือราวกับถูกฟ้าผ่า รูม่านตาขยายเล็กน้อย ใบหน้าไร้ชีวิตชีวา
“พูดได้ดี!”
“ภิกษุน้อยรูปนั้นพูดไม่ออก มาดูเร็ว ภิกษุน้อยพูดไม่ออก”
ฝูงชนที่อยู่ข้างนอกโห่ร้องเสียงดัง
ภิกษุเชี่ยวชาญการโต้วาทีเรื่องเซนมากที่สุด ปากจะเบ่งบานได้และใครก็พูดไม่ได้ แต่คำพูดของสวี่ชีอันทำให้ภิกษุน้อยที่มาจากแดนประจิมพูดไม่ออก
ความรู้สึกนี้คือการเอาชนะพวกเขาในด้านที่สำนักพุทธเชี่ยวชาญมากที่สุด จากมุมมองของผู้สังเกตการณ์ ระดับความเจ็บแสบน่าสนุกกว่าดาบเดียวที่สวี่ชีอันฟันออกมามาก
ขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เหล่าขุนนางแห่งท้องพระโรงเฝ้าดูอย่างเงียบๆ การปะทะคารมไม่อาจทำลายค่ายกลระดับเพชรได้ พวกเขาจึงเฝ้าดูว่าสวี่ชีอันมีจุดประสงค์อะไร
เวลานี้ สวี่ชีอันโยนดาบยาวสีดำทองไปไว้ตรงหน้าภิกษุจิ้งซือและเอ่ยเสียงขรึม “ไต้ซือ หากท่านคิดว่าสิ่งที่ข้าพูดนั้นผิด หากท่านคิดว่าท่านสามารถสัมผัสความทุกข์ยากของประชาชนได้จริงๆ เหตุใดท่านถึงไม่ลองดูล่ะ”
จิ้งซือเงยหน้าขึ้นและพึมพำกับตัวเอง “สัมผัสเองหรือ”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ถอนระดับเพชรไร้พ่ายและเฉือนดาบที่แขน ท่านจะเข้าใจความเจ็บปวดของข้า เข้าใจพระธรรมที่แท้จริง ไม่ใช่กล่าวว่าเหตุใดจึงไม่กินเนื้อแทน”
“ไม่ ไม่…” จิ้งซือส่ายหน้า ราวกับกำลังโน้มน้าวตัวเองว่าอย่าได้ลิ้มลอง “หากถอนระดับเพชรไร้พ่าย ข้าก็จะแพ้”
“นักบวชนั้นว่างเปล่า แต่ไต้ซือกลับยึดติดผลแพ้ชนะเช่นนี้ ล้าหลังไปแล้ว” สวี่ชีอันคอยโน้มน้าว
“หลังจากแพ้การต่อสู้ ไต้ซือจะมองเห็นท้องฟ้าที่กว้างใหญ่ขึ้นและเข้าใจพระธรรมที่แท้จริง สิ่งใดสำคัญกว่า ไต้ซือก็พิจารณาเองเถิด”
นักบวชนั้นว่างเปล่า ไม่ควรยึดติดผลแพ้ชนะ…เหตุใดไม่กินเนื้อแทนล่ะ เหตุใดไม่กินเนื้อแทนล่ะ…สีหน้าของภิกษุจิ้งซือค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น เขาเผยสีหน้าที่ยุ่งเหยิงกับกระเสือกกระสนออกมา เขายื่นมือออกไปช้าๆ และจับดาบยาวสีดำทอง
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง” ฉู่หยวนเจิ่นเอ่ยชม “จิ้งซือฝึกตนที่สำนักพุทธตั้งแต่ยังเด็ก บางทีพระธรรมอาจจะลึกซึ้ง แต่ยังขาดประสบการณ์ที่ตกตะกอนได้ในโลกฆราวาส นี่คือจุดอ่อนของเขา สวี่หนิงเยี่ยนเฉลียวฉลาดจริงๆ”
จิ้งซือราวกับเด็กจากครอบครัวขุนนางที่มีพรสวรรค์และฝึกตนในตระกูลตั้งแต่เด็ก เขาแข็งแกร่ง แต่สภาพจิตใจกลับไม่สมบูรณ์แบบและยังขาดประสบการณ์กับการตกตะกอน
“อามิตตาพุทธ” เหิงหย่วนกล่าวอามิตตาพุทธและรู้สึกผิดหวังในใจ
เขานึกถึงศิษย์น้องเหิงฮุ่ยที่ตัวเองเลี้ยงดูมาจนโต ซึ่งก็เป็นลูกศิษย์ชาวพุทธที่มีพรสวรรค์มากคนหนึ่งเช่นกัน แต่เขาขาดประสบการณ์ทางโลกและเกิดจิตทางโลกจนนำไปสู่ภัยพิบัติ
‘ทำได้ดี!’ ดวงตาของเหล่าขุนนางบุ๋นเป็นประกาย พวกเขาแอบปรบมือให้
โจมตีเมือง มิสู้โจมตีทางใจ ขั้นตอนนี้สอดคล้องกับตำราพิชัยสงคราม ซึ่งยอดเยี่ยมมาก
เมื่อเทียบกับการรบราฆ่าฟัน การกระทำของสวี่ชีอันที่ทำลายค่ายกลระดับเพชรนี้ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นยิ่งยอมรับ
ความคิดนั้นผุดขึ้นมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ‘น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่เรียนหนังสือ!’
ความคิดต่อมาก็ผุดขึ้นตามสัญชาตญาณ ‘สวี่ผิงจื้อไม่ใช่คน’
สมุหราชเลขาธิการหวางลอบพยักหน้า การกระทำของสวี่ชีอันทำให้เขารู้สึกกระจ่างแจ้งขึ้นทันใด นี่เป็นแผนโต้ตอบที่เขาไม่นึกถึงมาก่อน
ตอนคดีเงินภาษี เขาไม่รู้ว่ามีบุคคลแบบสวี่ชีอันอยู่ เขามาสนใจอีกฝ่ายจริงๆ เป็นช่วงหลังจากคดีซังผอ ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า อนาคตข้างหน้าของเด็กคนนี้ไร้ซึ่งขีดจำกัด
น่าเสียดายที่เป็นคนของเว่ยเยวียน หลังจากนี้คงเป็นได้เพียงศัตรู ไม่ใช่พันธมิตร
ตอนนี้เอง พร้อมกับการกล่าวอามิตตาพุทธ เสียงหนึ่งดังก้องไปทั่วท้องฟ้า “จิ้งซือ เจ้าหมกมุ่นไปแล้ว”
ขณะเดียวกับที่คำพูดนี้ดังก้องอยู่ในหูของทุกคน มันก็เข้ามาในม้วนภาพเช่นกันและดังขึ้นในหูของภิกษุจิ้งซือ
ภิกษุหนุ่มรูปงามเหมือนตื่นจากฝัน เขาชักมือกลับราวกับถูกไฟฟ้าช็อตและรีบพนมมือกล่าวอามิตตาพุทธไม่หยุด
ดวงตาค่อยๆ กลับมากระจ่างชัด
“สารเลว!”
สมุหราชเลขาธิการหวางปาแก้วทิ้งและลุกขึ้น เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ สำนักพุทธแพ้ไม่ได้เชียวหรือ”
ด้านหลังเว่ยเยวียน ฆ้องทองคำเก้าคนลุกยืนขึ้นพร้อมกันและจับด้ามดาบไว้
ภิกษุจิ้งเฉินเอ่ยเรียบๆ “ท่านโหราจารย์ยังลอบช่วยได้ เหตุใดสำนักพุทธถึงทำไม่ได้”
เขายืนกรานว่าดาบเดียวของสวี่ชีอันเมื่อครู่นี้เป็นท่านโหราจารย์แอบช่วย หรือฝังวิธีที่เกี่ยวข้องไว้ภายในร่างกายของเขาล่วงหน้า
สมุหราชเลขาธิการหวางยิ้มเยาะ “ความจริงในใต้หล้านี้ สำนักพุทธเช่นเจ้าพูดแล้วคนอื่นต้องเชื่อฟังหรือ เจ้าบอกว่าท่านโหราจารย์จะยื่นมือเข้ามาช่วย ท่านโหราจารย์ก็ยื่นมือเข้ามาช่วย”
เหล่าขุนนางระดับสูงแสดงสีหน้าโกรธออกมา แต่ยังถือว่ายับยั้งชั่งใจได้ ทว่าประชาชนกับชาวยุทธภพแสนเย่อหยิ่งที่ล้อมวงดูไม่สนใจ เสียงด่าทอดังขึ้นถึงขั้นเกิดการปะทะกับทหารรักษาวังขึ้น
“ลาหัวโล้นไร้ยางอาย คิดจะโกงกันชัดๆ พวกเราไม่สนหรอก ค่ายกลระดับเพชรพังไปแล้ว”
“สำนักพุทธไร้ยางอายเช่นนี้ หากการต่อสู้ในวันนี้สำนักพุทธชนะ พวกเราจะไม่ยอมรับ”
“…”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ฟังการด่าทอที่ดังสนั่นแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา เขามองไปทางจิ้งเฉินและเอ่ยเรียบๆ “เหตุใดเจ้าถึงไม่หมกมุ่น”
“ศิษย์รู้ว่ามีความผิด” จิ้งเฉินก้มหน้า
…
ภิกษุที่อยู่ด้านนอกสนามได้ยินการสนทนาของข้ากับจิ้งซือ…ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ การต่อสู้มีทั้งด้านวาทศิลป์และด้านศิลปะการต่อสู้ ซึ่งอาศัยความสามารถทุกด้าน ด้านนอกสนามฝืนเข้ามาแทรกแซง นี่ก็เกินไป…สวี่ชีอันแอบหงุดหงิดในใจ
เขาหยุดพูดทันทีและนั่งขัดสมาธิฝึกลมหายใจ
หนึ่งเค่อต่อมา สวี่ชีอันลืมตาขึ้น หยิบดาบยาวสีดำทองและเก็บเข้าไปในฝักดาบ
สวี่ชีอันจับด้ามดาบและเอ่ยเสียงดัง “ข้าจะชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียว เมื่อดาบนี้พุ่งไป เป็นตายก็รับผิดชอบเอง”
เสียงดังผ่านม้วนภาพออกไปถึงข้างนอก
‘ชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียวหรือ?!’
ไม่ว่าจะมือสมัครเล่นหรือผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะสามัญชนหรือขุนนาง หลังจากได้ยินประโยคนี้ พวกเขาต่างก็รู้สึกคาดไม่ถึง
‘เป็นคำพูดโกรธเกรี้ยวหรือ’
สวี่ชีอันตกตะกอนอารมณ์ทั้งหมดและระงับพลังปราณทั้งหมด กลิ่นอายภายในร่างกายพังทลายลงภายใน จุดตันเถียนราวกับหลุมดำ นี่คือกระบวนการสะสมพลังที่จำเป็นอย่างยิ่งของดาบเดียวตัดฟ้าดิน
ในเมื่อพวกเจ้าโกง เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าโกงแล้วกัน…เขาหลับตาลง พลังวิญญาณพังทลายและลดลงไปพร้อมๆ กันเชื่อมเข้ากับพลังเลือดลมมหาศาลภายในร่างกาย
นั่นคือแก่นโลหิตของไต้ซือเสินซู
ระหว่างทางที่กลับจากอวิ๋นโจวมายังเมืองหลวง สวี่ชีอันดูดซับแก่นโลหิตหยดนี้และอาศัยแก่นโลหิตของทหารอมตะฟื้นจากความตาย แต่พลังบางส่วนยังคงตกตะกอนอยู่ภายในร่างกายของเขา
เมื่อเห็นพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ให้จิ้งซือเข้าสู่ค่ายกล สวี่ชีอันก็รู้ทันทีว่าไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยง ‘ระดับเพชร’ รูปนี้ได้และยังเป็นระดับเพชรไร้พ่ายที่มีพลังเสริมลึกลับของสำนักพุทธอีก อาศัยเพียงพลังของสวี่ชีอันไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจตัดได้
เวลานั้นเขาจึงซ่อนตัวอยู่ในสำนักโหราจารย์และสื่อสารกับไต้ซือเสินซู สำนักโหราจารย์เป็นอาณาเขตของโหร เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์จะสังเกตเห็น
คำแนะนำของไต้ซือเสินซูคือ ระดมแก่นโลหิตภายในร่างกาย เพื่อระบายพลังที่ไม่อาจย่อยสลายได้ที่หลงเหลืออยู่นี้ออกมา
พลังนี้ไม่ได้เปิดเผยการมีอยู่ของไต้ซือเสินซู เพื่อให้สวี่ชีอันดูดซับแก่นแท้ที่ไม่ย่อยสลายในเลือดได้ ไต้ซือเสินซูจึงบั่นทอน ‘คุณสมบัติ’ ของมันไว้ก่อนแล้ว
โดยพื้นฐานแล้ว มันเป็นเพียงแก่นแท้ที่ทหารควบแน่นออกมา
เมื่อพลังที่ตกตะกอนอยู่ภายในร่างกายฟื้นตัว มันก็กลายเป็นแขนขากับกระดูกของสวี่ชีอันและแปรเปลี่ยนเป็นพลังปราณบริสุทธิ์
แดนพุทธนั้นไร้ซึ่งลม ทว่าชุดคลุมของสวี่ชีอันกลับสะบัดพลิ้ว เขายังคงหลับตา ราวกับผู้ปกครองที่หลับใหลและกำลังค่อยๆ ตื่นขึ้น
โลกนี้กำลังสั่นสะเทือนเพราะการฟื้นตัวของเขา
“เกิดอะไรขึ้น ข้าเวียนหัวตาลายหรือ เหตุใดถึงรู้สึกว่าโลกกำลังสั่น”
“ฝอซาน ฝอซานกำลังสั่น ฝอซานกำลังสั่นสะเทือน…”
จู่ๆ ก็มีคนตะโกนเสียงดังด้วยความตกใจขึ้นข้างนอกสนาม “เป็นสวี่ชีอัน เขากำลังจะชักดาบ”
ไม่มีใครเป็นคนตาบอด ทุกคนล้วนเห็นว่าเป็นสวี่ชีอันที่ทำให้ฝอซานสั่นสะเทือน
“อามิตตาพุทธ!”
จิ้งซือร่ายคาถาและตั้งตระหง่านไม่ไหวติง แต่เมฆหมอกภายในแดนพุทธเคลื่อนไหว สาดแสงสีทองกระจัดกระจายลงมาและหลอมรวมเข้ากับร่างทอง
ด้วยเหตุนี้ร่างทองจึงสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ และปล่อยแสงนับหมื่นออกมาประดุจดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอย่างช้าๆ
ทัดเทียมกัน!
ฮว๋ายชิ่งลุกขึ้นทันที นางก้าวออกจากซุ้มไม้และเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาของนางเผชิญกับแสงสีทองอันเจิดจ้า นางจ้องมองอย่างเอาเป็นเอาตายและกลั้นลมหายใจไว้
ผู้คนมากมายลุกขึ้นยืนและเดินออกจากซุ้มไม้ พวกเขาเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้างและลืมแม้กระทั่งหายใจ
ในกลุ่มนั้นรวมถึงสมุหราชเลขาธิการหวางด้วย
เว่ยเยวียนค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเดินไปด้านนอกซุ้มไม้และกล่าวอย่างสบายๆ “วันหนึ่งพญานกจะโผบินตามลม พุ่งทะยานไกลเก้าหมื่นลี้”
‘นี่ก็อยู่ในการคาดการณ์ของท่านหรือ เว่ยกง!?’ เหล่าฆ้องทองคำมองไปที่แผ่นหลังของเขา
เคร้ง!
เสียงชักดาบราวกับเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องไปทั่วทั้งโลก
บนโลกไม่เคยมีกระบวนดาบแบบนี้ จึงเป็นจุดสนใจของผู้คนมากมาย ทั้งยังเขย่าหัวใจของผู้คนนับไม่ถ้วน บนโลกไม่เคยมีกระบวนดาบอันเด็ดเดี่ยวดังกล่าว ราวกับว่ามันกำลังจะตัดทุกสิ่งอย่างแล้วยอมเป็นหยกแหลกลาญ และแน่นอนว่าบนโลกก็ไม่มีกระบวนดาบที่รวดเร็วเช่นนั้น เร็วจนตาเปล่าไม่สามารถจับมันได้
แต่ดวงตาของทุกคนที่อยู่นอกสนามเห็นร่างทองรูปนั้นแตกสลายอย่างชัดเจน เห็นแสงสีทองกระจายไปทีละชั้นๆ ราวกับหมอก นั่นคือเพลงดาบขับไล่แสงสีทองที่หาใดเปรียบ
ระดับเพชรไร้พ่ายที่ประจำอยู่นอกหนานเฉิงมาเป็นเวลาสิบวันรูปนี้ ร่างทองที่ประชาชนในเมืองพะว้าพะวังอยู่ในใจมาตลอดห้าวันรูปนั้น ในที่สุดก็พ่ายแพ้แล้ว
บนสนาม สวี่ชีอันยืนหยัดอย่างภาคภูมิใจ
จิ้งซือทรุดลงไปนั่ง รอยดาบบนหน้าอกแทงเข้าสู่กระดูก เผยให้เห็นอวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหาย สีหน้าของเขาซีดขาว ไม่อาจรักษาท่านั่งสมาธิได้
แสงสีทองที่กระจัดกระจายมารวมตัวกันอีกครั้ง ผสานเข้ากับบาดแผลของเขาและซ่อมแซมเลือดเนื้อ
“ข้าบอกแล้ว ข้าจะชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียว!” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
เวลานี้ เสียงอื้ออึงของผู้คนนับหมื่นในเมืองหลวงเงียบสงัด
หลังจากเงียบไปประมาณสี่ถึงห้าวินาที ทันใดนั้นเสียงโห่ร้องก็ดังขึ้น
บางคนกรีดร้อง บางคนส่งเสียงเชียร์ บางคนถึงกับน้ำตาเอ่อล้น กวาดล้างความอึดอัดใจที่สะสมมาหลายวันออกไป
“ต้าฟ่งของข้าเป็นสายตรงของจิ่วโจว การเมืองการทหารเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า!” ปัญญาชนคนหนึ่งตะโกนเสียงดังกึกก้อง
“ยอดกวีสวี่เก่งกาจวิทยายุทธ์ เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า”
เวลานี้ ทุกคนต่างนึกถึงคำพูดที่ส่งออกมาจากในแดนลับเมื่อครู่นี้ ‘ข้าจะชักดาบเพียงแค่ครั้งเดียว!’
ตลอดจนถึงตอนนี้ พวกเขาถึงเข้าใจความมั่นใจในตัวเองกับความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญในประโยคนี้
จักรพรรดิหยวนจิ่งที่ยืนอยู่บนยอดหอดูดาว เผชิญหน้ากับเสียงโห่ร้องและเห็นเหล่าผู้คนที่อารมณ์เดือดพล่านระคนตื่นเต้น
“ค่ายกลระดับเพชรถูกทำลายแล้ว”
จักรพรรดิเฒ่าเผยรอยยิ้มจริงใจออกมา “ท่านโหราจารย์ ท่านช่างมั่นใจจริงๆ ดี ดีมาก สวี่ชีอันก็เยี่ยมมากเช่นกัน ไม่เสียแรงที่ราชสำนักฝึกฝนมา”
“เด็กหนุ่มวีรบุรุษตั้งแต่โบราณกาล…”
คุณหนูหวางได้ยินพ่อของนางพึมพำกับตัวเองเบาๆ
‘เป็นวีรบุรุษที่เก่งกาจจริงๆ…’ คุณหนูหวางคิดในใจ นางกวาดสายตามองไปรอบๆ และเห็นบุตรสาวของตระกูลมีชื่อเสียงที่รู้จักมากมาย ซึ่งมองไปทางชายหนุ่มที่ยืนอย่างภาคภูมิใจตรงขั้นบันไดฝอซานด้วยสายตาหลงใหล
ในกลุ่มนั้นมีสตรีสูงศักดิ์ที่ยังคงมีเสน่ห์อยู่จำนวนหนึ่ง สายตาของพวกนางดุดันและเป็นประกาย พวกนางจ้องมองชายหนุ่มคนนั้นตาไม่กะพริบ
‘แม้แต่จอหงวนก็ไม่ยิ่งใหญ่เช่นเขา’ คุณหนูหวางกล่าวเสริมในใจ
‘ตุบๆๆๆ…’ ยายตัวร้ายได้ยินเสียงหัวใจเต้นรัวดั่งตีกลองของตนเอง ซึ่งรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตลอดยี่สิบปีที่ผ่านมา
เมื่อมองพี่ใหญ่ที่ยิ่งใหญ่ไร้ข้อจำกัด สวี่หลิงเยวี่ยก็ทึมทื่อเล็กน้อย
อาสะใภ้ทำเสียง ‘จุ๊จุ๊’ “ท่านพี่ หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ ธรณีประตูบ้านของพวกเราคงจะถูกแม่สื่อเหยียบย่ำจนพัง…ท่านพี่”
สวี่ผิงจื้อน้ำตาไหล ใบหน้าเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
‘พี่ใหญ่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เขาก้าวหน้าในเส้นทางการทหาร ข้าก็ไม่อาจเดินตามอยู่เบื้องหลังมากเกินไปได้…’ สวี่ซินเหนียนกำหมัดแน่นเงียบๆ
‘แม้แต่ไหวอ๋องตอนยังเด็ก ก็ไม่แพรวพราวเช่นเขา…’ ป้าแก่คิดในใจ
…
“ไต้ซือตั้งใจฝึกตนเถิด”
สวี่ชีอันเก็บดาบเข้าไปในฝักและปีนเขาต่อ
เขาเทียวไปมาระหว่างป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก หลังจากเดินไปได้หนึ่งเค่อ เบื้องหน้าก็สว่างขึ้นทันใด มีหินขรุขระ ต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแซมเพียงเล็กน้อย ต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งยืนตระหง่าน ใต้ต้นไม้มีภิกษุเฒ่านั่งขัดสมาธิอยู่
สวี่ชีอันรู้ว่า นี่คือด่านที่สาม
และตอนนี้เขาก็ใกล้จะถึงยอดเขาแล้ว
หลังจากผ่านด่านนี้ บนยอดเขาน่าจะยังมีอีกด่านหนึ่ง ซึ่งเป็นด่านสุดท้าย…สวี่ชีอันพนมมือ “ไต้ซือ ด่านนี้ พวกเราจะเปรียบเทียบอะไรกันหรือ”
ภิกษุเฒ่ากล่าวอามิตตาพุทธและกล่าวเนิบๆ “จิตใจของประสกไม่สงบ”
ทันทีที่เปิดปาก เขาก็เป็นฉานซือเฒ่าแล้ว…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจและถามกลับว่า “เหตุใดถึงต้องสงบหรือ”
“เมื่อจิตใจสงบ ย่อมมีธรรม เมื่อมีธรรม ย่อมมีพระพุทธเจ้า เมื่อมีพระพุทธเจ้า ย่อมพ้นจากความทุกข์ได้” ภิกษุเฒ่าตอบ
“เหตุใดถึงต้องพ้นจากความทุกข์หรือ” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง
“เหตุใดถึงจะไม่พ้นเล่า” ภิกษุเฒ่าถามกลับเช่นกัน
“เหตุใดถึงต้องพ้นหรือ” สวี่ชีอันต่อปากต่อคำ
“เหตุใดถึงจะไม่พ้นเล่า” ภิกษุเฒ่ากล่าวเนิบๆ
…
“พวกเขากำลังพูดถึงอะไร”
“พูดถึงเซน ซึ่งข้าก็ฟังไม่เข้าใจ”
“เจ้าฟังเข้าใจหรือ เช่นนั้นเจ้าบอกข้าที”
“ไร้สาระ หากข้าฟังเข้าใจ ข้าก็คงเป็นภิกษุชั้นสูงแล้ว แต่ก็เพราะข้าฟังไม่เข้าใจ ดังนั้นมันจึงบ่งบอกถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ข้างใน”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง”
ประชาชนที่อยู่ด้านนอกต่างพากันกระซิบกระซาบ ปฏิกิริยาตอบสนองก็แตกต่างกันออกไป บางคนขมวดคิ้วเป็นปมและคิดทบทวนบทสนทนาของพวกเขาคำต่อคำ พยายามจะเข้าใจเจตจำนงของเซนจากในนั้น
บางคนพยักหน้าเล็กน้อยหรือส่ายหน้า ท่าทางราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง
หลังจากนั้น ทุกคนตั้งแต่ราชวงศ์จนถึงสามัญชนก็ได้ยินสวี่ชีอันพูดว่า
“ไต้ซือ พวกเรามาพูดภาษาคนกันเถิด เมื่อสักครู่นี้ข้าแค่พูดจาไร้สาระ”
……………………………………………