ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 298 การเข้าร่วมประชุม
บทที่ 298 การเข้าร่วมประชุม
เมื่อเข้าไปในห้องหนังสือแล้วปิดประตู สวี่ซินเหนียนจ้องไปที่พี่ชายของตนเองด้วยท่าทางแปลกๆ
สีหน้าที่ดูเเปลกๆ แต่ไม่กระวนกระวาย ไม่รีบร้อน…สวี่ชีอันตัดสินใจนั่งลงที่โต๊ะกลม เทน้ำหนึ่งแก้ว เพื่อบรรเทาความกระหายของเขาหลังจากกินผงชูรสมากเกินไป ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้มสบายๆ
“เอ้อร์หลาง ลูกผู้ชายเขาไม่มายืนอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่หรอก มีอะไรจะพูดก็พูดมาเลย”
เอ้อร์หลางเดินไปที่โต๊ะ วางคำเชิญลงบนโต๊ะด้วยเสียง ‘ตุบ’ อย่างนุ่มนวล จนตกลงมาตรงหน้าสวี่ชีอันพอดี
สวี่ชีอันเปิดคำเชิญ เหลือบมอง รู้แล้วว่าเหตุใดสวี่เอ้อร์หลางถึงมีท่าทางแปลกๆ
เนื้อหาของคำเชิญนี้คือต้องการเชิญสวี่เอ้อร์หลางเข้าร่วมการประชุมวรรณกรรม แต่มีประโยคหนึ่งที่น่าสนใจมาก คือ ให้พาหญิงสาวมาด้วย
ผู้เชิญคือหวางเจินเหวิน สมุหราชเลขาธิการคนแรกของราชวงศ์
“เจ้าเป็นสมาชิกของการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ สมเหตุสมผลแล้วที่เขาเชิญให้เจ้าเข้าร่วมในครั้งนี้” สวี่ชีอันวิเคราะห์
สวี่ซินเหนียนมีน้องสาวสองคนเท่านั้น อีกทั้งงานเช่นนี้ไม่ควรเชิญเด็กสาวเข้าร่วม ท่านไม่รู้กฎข้อนี้หรอกหรือ?
สำหรับการที่ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมเข้าร่วมการประชุมวรรณกรรม แม้ว่าต้าฟ่งจะยังคงเป็นหนึ่งในสามของการเชื่อฟังและเจ้าธรรมสี่ประการ แต่เนื่องจากการมีอยู่ของระบบนี้ ก็มีผู้หญิงบางคนที่โดดเด่นเช่นกัน
ดังนั้น แม้ว่าสถานภาพของหญิงจะต่ำกว่าชาย แต่ก็ไม่ได้ต่ำต้อยนัก ไม่จำเป็นต้องมัดเท้า ไม่จำเป็นต้องสวมผ้าคลุมเมื่อออกไปข้างนอก และสามารถออกไปเล่นได้เมื่อต้องการ
ตัวอย่างเช่น อาสะใภ้กับหลิงเยวี่ยที่มักจะพาลูกน้องออกไปร้านเครื่องประดับทุกๆ สามหรือห้าครั้ง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ญาติผู้หญิงจะเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย
“บ้าไปแล้ว!”
สวี่ซินเหนียนยิ้มเยาะเย้ย “การประชุมก็เป็นเหมือนสนามรบ อาจมีคนโง่จำนวนมากที่อยู่ในตำแหน่งสูง สมุหราชเลขาธิการหวางโดดเด่นในหมู่คนพวกนั้น ทุกการเคลื่อนไหว คำพูดและการแสดงออกของเขา ทำให้พวกเราต้องกลับไปไตร่ตรองให้มาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าเขาตายอย่างไร”
“พี่ใหญ่เป็นคนของเว่ยเยวียน หวางเจินเหวินและเว่ยเยวียนเป็นเสือสองตัวที่ดุร้ายในท้องพระโรง เหมือนน้ำและไฟที่เข้ากันไม่ได้ เขาเชิญข้าไปที่คฤหาสน์เพื่อเข้าร่วมการประชุมวรรณกรรม มันต้องไม่ใช่เรื่องแค่นี้แน่”
สวี่เอ้อร์หลางคิดพลางขณะเดินไปที่ห้อง “ข้า สวี่ซินเหนียน เป็นลำดับหนึ่งในการสอบ มีอนาคตที่สดใส สมุหราชเลขาธิการหวางเกรงกลัวข้า จึงต้องการฆ่าข้าก่อนที่ข้าจะใหญ่โตไปมากกว่านี้…”
“ไม่ใช่สิ แม้ว่าข้าจะมีชื่ออยู่ในรายชื่อทองคำและอยู่ในอันดับแรก มันก็ง่ายสำหรับสมุหราชเลขาธิการหวางที่จะจัดการกับข้า ช่องว่างระหว่างสถานะของข้ากับสถานะของเขานั้นห่างกันมาก เขาคงไม่ต้องการที่จะมีการสมรู้ร่วมคิดหรือมีกลอุบายใดๆ กับข้า”
“ถ้าอย่างนั้น คำเชิญของเขาเป็นเพียงการประชุมทางวรรณกรรมธรรมดาๆ เท่านั้นงั้นหรือ?” ในกรณีนี้ ฝั่งตรงข้ามอาจคาดเดาได้ง่ายเกินไป หวางเจินเหวินเองก็เช่นกัน…
สวี่เอ้อร์หลางที่กำลังทุกข์ใจมองไปที่สวี่ต้าหลาง พร้อมกับขมวดคิ้ว “พี่ใหญ่ พูดอะไรหน่อยสิ”
ข้าคิดว่าความคิดของเจ้ายังไม่รอบคอบนัก…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น เจ้าไปถามเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ของจงกงซื่อดูสิ ว่าพวกเขาได้รับคำเชิญหรือไม่”
“หากได้รับคำเชิญ แสดงว่านี่เป็นเพียงการประชุมวรรณกรรมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่ถ้าไม่ มีแค่เจ้าคนเดียวที่มาจากบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ ก็ต้องมีบางอย่างแปลกๆ แล้ว”
“นี่เป็นวิธีที่ข้านึกขึ้นได้เช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลามากพอ” สวี่เอ้อร์หลางเป็นกังวลเล็กน้อย ชี้ไปที่คำเชิญ “พี่ใหญ่ ท่านดูเวลาสิ การประชุมวรรณกรรมจะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ช่วงบ่าย และข้าเองก็ไม่มีเวลาตรวจสอบ…ข้าเข้าใจแล้ว”
“เข้าใจอะไร?” สวี่ต้าหลางถาม
“สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ให้โอกาสข้าโต้ตอบ หากข้าไม่ไป เขาจะโอ้อวดความภาคภูมิใจในตนเอง และพูดถึงพฤติกรรมที่เย่อหยิ่งของข้า ทำให้ชื่อเสียงของข้าเสียหาย แต่หากข้าไป จะต้องมีเรื่องน่าสนใจรอข้าอยู่ที่การประชุมอย่างแน่นอน” สวี่เอ้อร์หลางสูดลมหายใจเข้าลึก
“ผู้ใหญ่อาบน้ำร้อนมาก่อน ย่อมมีประสบการณ์มากกว่า”
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ตื่นตัวเช่นกัน โดยคิดว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่ครอบครัวสวี่ของเขาจะมีหนอนหนังสือ ส่วนสมุหราชเลขาธิการคนนั้นก็ไม่ใช่คนที่เหมาะสม
จากนั้นเขาก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงขมวดคิ้ว “ที่เจ้าเพิ่งกล่าวว่าสมุหราชเลขาธิการหวางไม่ต้องการการสมคบคิดเพื่อจัดการเจ้า ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นบัณฑิตขั้นสูง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเข้าสู่สนามการแข่งขัน ในขณะที่คนอื่นๆ แทบจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว”
สวี่ซินเหนียนเอ่ยด้วยสีหน้าว่างเปล่า “สนามการแข่งขันครั้งแรกคืออะไร และระดับสูงสุดคืออะไร?”
“หากเจ้าไม่ไป ชื่อเสียงเรื่องความหยิ่งยโสจะถูกประณามออกไปทั่ว แต่หากเจ้าไป อาจมีการสมรู้ร่วมคิดเกิดขึ้น…เอ้อร์หลาง เจ้าตัดสินใจด้วยตัวเองเถอะ” สวี่ชีอันตบไหล่และปลอบโยนเขา
“พี่ใหญ่โง่เขลาเหมือนหลิงอินตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
สวี่เอ้อร์หลางไม่พอใจ “ข้าพูดไปตั้งมากมาย พี่ใหญ่ยังไม่เข้าใจความหมายที่ข้าจะสื่ออีกหรือ? ข้าต้องการให้พี่ใหญ่ไปด้วย”
“ไม่ เจ้าไปกับข้าไม่ได้ เจ้าเป็นพี่น้องของข้าก็จริง แต่ในทางราชการ เจ้ากับข้าไม่เหมือนกัน เอ้อร์หลาง เจ้าต้องจำสิ่งนี้ไว้” สีหน้าของสวี่ชีอันเริ่มจริงจัง เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม
“เจ้ามีแนวทางและทิศทางของเจ้าเอง ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า”
สวี่เอ้อร์หลางเป็นคนฉลาด เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนตอบกลับว่า “อืม”
พี่ใหญ่กำลังตักเตือนเขา ห้ามไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเว่ยเยวียน แม้ว่าในอนาคตข้างหน้า เว่ยเยวียนจะล้มลง พี่ใหญ่ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่การล่มสลายของเว่ยเยวียนไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขา สวี่ซินเหนียน ตัวตนของเขาเป็นเพียงพี่น้องของสวี่ชีอัน ไม่ใช่ลูกน้องของเว่ยเยวียนเสียหน่อย
ความคิดนี้สวี่ซินเหนียนเองก็เห็นด้วย
ในบรรดาตระกูลที่มั่งคั่งในประวัติศาสตร์ ลูกหลานของแต่ละครอบครัวไม่ได้มีความคิดเหมือนกัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังที่แตกต่างกัน ข้อดีของสิ่งนี้คือแม้ว่าปีกจะหัก ครอบครัวเพียงได้รับบาดเจ็บเท่านั้น แต่จะไม่ถูกทำลายลง
…
วันรุ่งขึ้น สวี่ชีอันขี่แม่ม้าน้อยที่รักของเขา รีบควบตะบึงตรงไปยังหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลภายใต้ท้องฟ้าแจ่มใส
หลังจากประชุมศาล คนรู้จักของซ่งถิงเฟิงหลายคนก็มาหาเขา ทุกคนนั่งดื่มชา กินถั่วลิสง และพูดคุยกัน ทุกคนเริ่มสนับสนุนสวี่ชีอันให้เดินทางไปยังสำนักสังคีต
“ถุย ถุย ถุย…”
สวี่ชีอันถ่มน้ำลายใส่พวกเขาและต่อว่า “ตลอดทั้งวันรู้แต่จะไปสำนักสังคีต ไม่เห็นพิธีต้าวฮวดเมื่อวานนี้หรอกหรือ ภิกษุเฒ่าใต้ต้นโพธิ์เอ่ยกับข้าว่าอะไร? ความงามเป็นสิ่งที่ทำลายชีวิต พวกเจ้ารู้จักแต่การเที่ยวคณิกาทุกวัน คุ้มหรือไม่กับการทำให้ภาพลักษณ์ของตนเองตกต่ำลง? เจ้าจะเที่ยวเตร่สำนักสังคีตอย่างไรก็ช่างเถิด แต่อย่าได้ดึงข้าลงไปเสื่อมเสียด้วย!”
ทุกคนต่างรู้ว่าเนื้อแท้เขาเป็นคนเช่นไร จึงไม่เกรงกลัวเลยสักนิด กล่าวต่อไปว่า “พวกเราในที่ทำการปกครอง มีใครบ้างที่เที่ยวคณิกาบ่อยครั้งเท่าเจ้า?”
สวี่ชีอันกล่าวด้วยน้ำเสียงน่าเชื่อถือ “ข้าไม่ได้ให้เงินพวกนางเสียหน่อย จะเรียกว่าเป็นคณิกาได้อย่างไร? ทุกคนยังไม่คุ้นเคยอีกหรือ หากเจ้ายังพล่ามเรื่องไร้สาระเช่นนี้ ข้าจะไปฟ้องเว่ยกงให้ลงโทษพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
“ถุย!” ผู้คนถ่มน้ำลายใส่เขา
อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังคงชื่นชมสวี่ชีอัน สำหรับหญิงสาวเหล่านั้นแล้ว ใช่ว่าเป็นเพียงคณิกาที่เขาหลับนอนด้วยแล้วไม่ต้องจ่ายเงินให้เพียงอย่างเดียว แต่คณิกาเหล่านี้ต่างต้องการใช้เงินเพื่อหลับนอนกับเขา
“หนิงเยี่ยน ข้าได้ยินจากเหล่าซ่งว่าสมัยที่เจ้ายังเป็นฆ้องทองแดง เพิ่งเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนครั้งแรก เจ้าตกลงคบหากับแม่นางฝูเซียงใช่หรือไม่? นอกจากบทกวีแล้ว เจ้ายังมีเคล็ดลับใดเพื่อมัดใจนางอีกหรือ?” ฆ้องทองแดงท่านนี้เอ่ยถามด้วยความนอบน้อมถ่อมตน
ดวงตาของเหล่าฆ้องทองแดงและฆ้องเงินเป็นประกายขึ้นมา ผู้ใดบ้างไม่อยากเป็นที่รักของเหล่าคณิกาในสำนักสังคีต?
“เรื่องนี้จริงๆ ก็มีเคล็ดลับอยู่” สวี่ชีอันให้คำตอบในเชิงบวก
“เคล็ดลับอะไร” ทหารหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต่างหายใจกระชั้นถี่กว่าปกติ
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังมาจากประตู “พูดคุยเรื่องไร้สาระในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ในสายตาของพวกเจ้ายังหลงเหลือจรรยาบรรณอยู่หรือไม่?”
ทุกคนมองย้อนกลับไป พบว่าฆ้องทองคำท่านหนึ่งยืนอยู่ตรงประตู ดวงตานกอินทรีที่แหลมคมราวกับมีดและริ้วรอยจางๆ ที่มุมดวงตาของเขา นั่นคือเจียงลวี่จง
“ฆ้องทองคำเจียง…”
ทุกคนกลั้นรอยยิ้มพลางแสดงความเคารพ “สวี่หนิงเยี่ยนกำลังชี้แนะพวกเราถึงวิธีการหลับนอนกับคณิกาโดยไม่ต้องใช้เงินขอรับ”
“?”
เจียงลวี่จงกวาดสายตาไปทั่วกลุ่มชนแล้วเยาะเย้ย “มองดูทีละคนก็รู้แล้วว่าพวกเจ้ากำลังฝันกลางวัน…อืม พวกเจ้าพูดคุยกันต่อไปเถอะ อย่าลืมเสียว่าพวกเจ้าจับกลุ่มกันนานเกินไป”
หลังจากกล่าวจบเขาก็เดินออกไป เดินไปกลางสนาม พิงกำแพง และกระตุ้นการต่อสู้ระดับสี่ให้แก่ทหาร
ในห้องโถง คนอื่นๆ ผลักสวี่ชีอัน “หนิงเยี่ยน เจ้าพูดต่อสิ”
สวี่ชีอันกระแอม “หิวน้ำ”
ซ่งถิงเฟิงรีบยกชามาให้เขา
หลังจากจิบเพื่อให้ชุ่มคอ สวี่ชีอันก็พูดจาฉะฉาน “เป็นความจริงที่แม่นางฝูเซียงชื่นชอบข้าเพราะบทกวี แต่ที่นางไปจากข้าไม่ได้นั้นไม่ใช่เพราะบทกวี”
“แล้วเป็นเพราะอะไรกัน” ทุกคนต่างถาม
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสตรีรังเกียจสิ่งใดในตัวบุรุษมากที่สุด” สวี่ชีอันถามกลับ
พวกหน่วยลาดตระเวนทุกคนก็แสดงความคิดเห็นของตัวเอง คิดว่าเป็นเพราะ ‘ไม่มีเงิน’ หรือ ‘ไม่มีโอกาส’ เป็นต้น
สวี่ชีอันส่ายหน้า หันมองไปยังใบหน้าของเพื่อนร่วมงานทีละคน ก่อนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “บทสนทนาที่อ้อมค้อมต่างหากล่ะ”
มันหมายความว่าอย่างไรกันล่ะ? เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
“สิ่งนี้น่ะหรือที่ทำให้แม่นางฝูเซียงไม่สามารถแยกจากเจ้าได้ มันเกี่ยวกันตรงไหน” จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้ว
“เมื่อข้าพบนางครั้งแรก ข้าก็ปิดประตูและถามนางไปตามตรง” สวี่ชีอันวางถ้วยในมือลง ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดระคนสงบนิ่ง เอ่ยเน้นทีละคำ “ถึงขั้นนี้แล้ว จะยินยอมหรือไม่?”
“หลังจากที่ข้าเอ่ยเช่นนั้นไป นางก็ไปจากข้าไม่ได้อีก”
ท่ามกลางความเงียบ ซ่งถิงเฟิงเอ่ยถาม “ข้าสงสัยว่าเจ้ากำลังโกหก แต่พวกเราไม่มีหลักฐาน”
“เรื่องธรรมดา นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ โดยเฉพาะชายที่ไม่มีความเป็นชายมากพอ” สวี่ชีอันตบไหล่เขา ก่อนเอ่ยกับคนอื่นๆ ต่อไป
“ข้าได้บอกเคล็ดลับไปแล้ว พวกเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ อืม ก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล”
‘บทสนทนาที่อ้อมค้อม ถึงขั้นนี้แล้ว จะยินยอมหรือไม่’…เจียงลวี่จงครุ่นคิด ‘เมื่อมองแวบแรกสองประโยคนี้ดูเหมือนไม่ซับซ้อน แต่รู้สึกว่ามีความหมายลึกซึ้งกว่านั้นซ่อนอยู่ ไปถามเว่ยกงดีกว่า ด้วยสติปัญญาของเว่ยกง เคล็ดลับเล็กน้อยนี้ เขาน่าจะเข้าใจได้ทันที’
…
หลังจากส่งเพื่อนร่วมงานทุกคนออกไป ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เข้ามา กล่าวว่า “ฆ้องเงินสวี่ ฆ้องทองคำเจียงให้ข้ามาถามท่านว่ายังต้องเตรียมสมุนไพรสำหรับปรุงยาเพื่อเสริมสร้างฐานการฝึกตนอยู่หรือไม่?”
เหล่าเจียงมาที่นี่ แท้ก็เพื่อถามถึงเรื่องนี้เองหรือ? แค่สั่งเจ้าพนักงานมาก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมาด้วยตนเองเสียหน่อย…ต่อให้บรรลุระดับเพชรไร้พ่าย แต่ถึงอย่างไรข้าก็รู้สึกอับอายนะ…
สวี่ชีอันตอบกลับ “ไม่ต้องแล้ว”
“รับทราบขอรับ” แล้วเจ้าพนักงานก็เดินออกไป
ไม่นาน ‘บทสนทนาที่อ้อมค้อม’ และ ‘ถึงขั้นนี้แล้ว ยินยอมหรือไม่?’ สองประโยคนี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ว่ากันว่าตราบใดที่สามารถทำความเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของทั้งสองวลีนี้ ก็จะได้อยู่ในสำนักสังคีตกับนางคณิกาโดยที่ไม่ต้องเสียเงิน
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ต้องเป็นวลีที่ฆ้องเงินสวี่กล่าว
ชั่วขณะหนึ่ง การอภิปรายอย่างเผ็ดร้อนจึงเกิดขึ้นตรงทางเข้าห้องโถง
ในขณะนี้ สวี่ชีอันมีทหารรักษาพระองค์ของสวนเส้าอินมาเข้าพบ
ทหารรักษาพระองค์กล่าวว่า “องค์หญิงรองทรงรับสั่งให้หาท่านขอรับ”
“เข้าใจแล้ว ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำ ไว้ข้าจะตามไปทีหลัง” สวี่ชีอันที่กำลังอ่านสำนวนคดี ยังคงนั่งทำงานอยู่ที่โต๊ะ ไม่ขยับไปไหน
ทหารรักษาพระองค์จึงเดินออกไป
ประมาณหนึ่งในสี่ของชั่วยามต่อมา สวี่ชีอันวางสำนวนคดีลง แล้วถอนหายใจออกด้วยความโล่งอก
“ผู้คนจากยุทธภพหลั่งไหลเข้ามาในเมืองหลวงมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อข่าวพิธีต้าวฮวดแพร่กระจายออกไป ข้ายิ่งกลัวว่าทหารจะเข้ามาวุ่นวายในเมืองหลวงมากขึ้น…แม้ว่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของเมืองหลวงอย่างมาก แต่ก็มีกรณีการลักพาตัว แม้กระทั่งการโจรกรรมบ่อยครั้ง ในการแก้ปัญหานี้ ควรได้รับการร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย…”
สวี่ชีอันกวักมือเรียกเจ้าพนักงานและสั่ง “เจ้าเขียนรายงาน…”
หน้าทางเข้าประตูห้องของฆ้องเงินทุกห้องจะต้องมีเจ้าพนักงานอย่างน้อยสามคนทำหน้าที่เป็นเสมียนตรา อย่างไรก็ตาม ฆ้องเงินสามารถลดจำนวนเสมียนตราหน้าห้องลงได้…แต่ฆ้องเงินสวี่ต้องการเฉลี่ยงานให้กับพวกเขา
สวี่ชีอันเสนอคำแนะนำสามประการแก่เว่ยเยวียน ขั้นแรกให้ส่งกองกำลังจากสิบสามมณฑลภายใต้เขตอำนาจของเมืองหลวงเพื่อรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยในเมืองชั้นนอก ประการที่สอง ส่งที่ประกาศแด่ฝ่าบาท ขอให้ทหารรักษาวังเข้าร่วมในการลาดตระเวนของเมืองชั้นใน ประการที่สาม ในช่วงเวลานี้ การลักทรัพย์และขโมย หากพบเจอเข้า ให้รีบจัดการ! โจรข้างถนน จัดการ! ทะเลาะวิวาท ก่อปัญหาบนท้องถนน ทำให้คนสัญจรไปมาบาดเจ็บ ทรัพย์สินของเจ้าของแผงลอยเสียหาย จัดการ!
สองประการแรกเป็นการปูทางไปสู่กลุ่มที่สาม ภายใต้การลงโทษอันรุนแรง เหล่าโจรจะต้องต่อต้านอย่างสุดโต่งเป็นแน่ ดังนั้น จำเป็นต้องมีกองกำลังและยอดฝีมือจำนวนมากที่พร้อมปราบปรามพวกเขา
นี่อาจทำให้พวกโจรยอมเสี่ยงและก่อเหตุฆาตกรรมอย่างไม่มีทางเลือก แต่ถ้าพวกเขาต้องการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เพื่อฟื้นฟูความมั่นคงสาธารณะ จำเป็นจะต้องใช้การลงโทษอย่างรุนแรงเพื่อยับยั้งการกระทำของคนเหล่านั้น
หลังจากเขียนรายงานแล้ว ทหารรักษาพระองค์อีกคนเดินเข้ามา คราวนี้เป็นทหารรักษาพระองค์ของสวนเต๋อซิน
“องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเชิญท่านใต้เท้าสวี่ให้เข้าวังเพื่อสนทนา”
…
จวนสกุลสวี่
สวี่เอ้อร์หลางสวมเสื้อคลุมสีขาว สว่าง สง่างาม มัดผมด้วยมงกุฎหยก มีเข็มขัดหยกสวยงามคาดพันไว้รอบเอว เป็นสมบัติของเขา ของบิดา และของพี่ใหญ่…กล่าวโดยย่อคือเป็นเข็มขัดหยกที่มีมูลค่าสูงสุดสำหรับผู้ชายในครอบครัว
“พี่ใหญ่และท่านพ่อเป็นทหาร วันๆ ไม่เห็นได้หยิบออกมาใช้ ปล่อยไว้ก็เสียเปล่า” นั่นคือสิ่งที่สวี่เอ้อร์หลางบอกมารดาของเขาและสวี่หลิงเยวี่ย
การประชุมวรรณกรรมที่จัดโดยสมุหราชเลขาธิการหวางจะต้องเต็มไปด้วยคนที่มากพรสวรรค์ มันคือการรวมตัวของคนที่อยู่ในอันดับต้นๆ ของยุคนี้ สวี่เอ้อร์หลางรู้สึกว่าเขาต้องแต่งตัวให้เหมาะสมที่สุด
อาสะใภ้เงยหน้าขึ้นมองอย่างพึงพอใจ คิดว่าบุตรชายของตนต้องดูดีที่สุดในงานประชุมวรรณกรรมอย่างแน่นอน
“เหตุใดเจ้าไม่พาหลิงเยวี่ยไปด้วยล่ะ?” อาสะใภ้ถาม
สวี่หลิงอินได้ยินคำว่า ‘งานประชุมวรรณกรรม’ ก็เงยหน้าขึ้นทันที
“ที่จริงคำเชิญก็เขียนอนุญาตไว้ พาหลิงเยวี่ยไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อยก็ไม่เสียหาย” สวี่เอ้อร์หลางเห็นด้วย
อาสะใภ้จับมือลูกสาวของตนทันที เอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“ไปถึงงานประชุมวรรณกรรมแล้ว ลูกต้องกวาดตามองให้ทั่วเลยนะ ชอบชายคนไหนให้รีบกลับมาบอกแม่ ด้วยสถานะของพวกเราตระกูลสวี่ ลูกย่อมได้ตบแต่งกับตระกูลร่ำรวยอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ท่านแม่พูดไร้สาระใหญ่แล้ว ข้าไม่ไป” สวี่หลิงเยวี่ยหันหนีไปด้านข้างอย่างไม่พอใจ
สวี่หลิงอินรีบพุ่งตัวไปหาสวี่ซินเหนียนเมื่อมองเห็นโอกาส “หากพี่หลิงเยวี่ยไม่ไป เช่นนั้นข้าจะไปเอง พี่รอง พาข้าไปด้วย พาข้าไปด้วย”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งหมดจึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของสวี่เอ้อร์หลาง
สวี่ซินเหนียนถูกเขย่าเสื้อสองสามครั้ง ถึงแม้ม่ใช่การเขย่าที่จริงจัง แต่เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้กลับมีพละกำลังอย่างน่าเหลือเชื่อ
“ได้ แต่เจ้าต้องเปลี่ยนไปสวมชุดสวยๆ มิฉะนั้น พี่รองจะไม่พาเจ้าไปที่นั่น” สวี่เอ้อร์หลางกล่าว
“อื้ม!” สวี่หลิงอินพยักหน้ารับอย่างยินดี
จากนั้นนางก็วิ่งกลับเข้าไปภายในเรือนด้วยการนำของอาสะใภ้ หลังจากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อ เสี่ยวโต้วติงก็จัดการจัดแต่งทรงผมสวยงามประหนึ่งหญิงสาว พร้อมกับสวมชุดงดงามยิ่ง…แต่พี่รองและพี่สาวได้จากไปเสียแล้ว
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊า…”
เสียงร้องราวกับหมูที่กำลังจะโดนเชือดดังก้องไปทั่วทั้งลานบ้าน
…
ท่ามกลางแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ รถม้าเคลื่อนมาถึงหน้าพระราชวัง
………………………………………….