ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 310 มนุษย์ที่เหมือนเทพเซียน (1)
บทที่ 310 มนุษย์ที่เหมือนเทพเซียน! (1)
พลบค่ำ ตะวันบ่ายคล้อย
ภายในหลุม สมาชิกของกลุ่มโฮ่วถู่โผล่ออกมาคนแล้วคนเล่า ทั้งหมดสิบสามคน ร่วมกับสมาชิกพรรคฟ้าดิน เป็นสิบหกคน
“ในที่สุดก็ออกมาได้แล้ว!”
“คล้ายผ่านไปชั่วกัปกัลป์ คิดว่าเกือบต้องมาตายที่นี่เสียแล้ว…น่าเสียดาย สิ่งของที่นำขึ้นมาได้มีจำกัด”
เหล่าโจรปล้นสุสานรู้สึกตื่นเต้น บางคนทรุดนั่งลงกับพื้น บางคนเพลิดเพลินไปกับความสุขของผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ บางคนคร่ำครวญว่าราคาในการเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างต่ำ ของมีค่าที่นำออกจากสุสานค่อนข้างน้อย
ทุกคนในพรรคฟ้าดินต่างก็มีความรู้สึกที่หนักอึ้ง ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า
เหิงหย่วนวางลี่น่าลงกับพื้นเบาๆ จ้องไปยังสุสานอย่างไร้ความรู้สึก กล่าวเสียงต่ำ “แม้แต่สตรีนางหนึ่ง อาตมายังปกป้องไว้ไม่ได้”
เขานั่งเงียบไม่กี่เสี้ยววินาที สิบมือประสานกัน และร้องไห้ด้วยความเศร้า
ระดับความเศร้า ไม่ได้อ่อนแอไปกว่าการตายของเหิงฮุ่ยที่ถูกเลี้ยงดูมากับมือ
เหิงหย่วนกลัวว่าหากผูกใจเจ็บแล้ว จะไปถึงระดับขั้นสูงได้ในภายหลัง นี่จึงเป็นข้อบกพร่องที่ใหญ่ที่สุดในสภาวะอารมณ์ของเขา…ฉู่หยวนเจิ่นอ้าปาก เดิมอยากจะปลอบใจ กลับพูดอะไรไม่ออก
เขาก็ต้องการความสงบ ต้องการเวลาอีกนิดเพื่อบรรเทาความเศร้าโศก
เหิงหย่วนได้รับการโปรดปรานจากสวี่หนิงเยี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า การหลบหนีอย่าง ‘ขลาดกลัว’ ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การต่อสู้ของเหิงหย่วนสำหรับเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อ
แม้เขาไม่เคยได้รับการโปรดปรานจากสวี่หนิงเยี่ยน แต่กลับปฏิบัติต่อเขาในฐานะเพื่อนที่ดี สวี่หนิงเยี่ยนต้องมาจบชีวิตอยู่ในสุสานใต้ดิน ในใจของเขาโศกเศร้ายิ่งนัก
‘ไม่น่าเลย ไม่น่าเลย…เขาเป็นคนที่มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ติดตัว ไม่ควรต้องมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่’…นักบวชเต๋าจินเหลียนไม่ค่อยเผยรูปลักษณ์ที่เสื่อมโทรมออกมา ซึ่งตรงกันข้ามกับความสดใสอย่างคนชั้นสูงที่เขารักษาไว้
แม้ในใจจะคิดเช่นนี้ แต่เขาก็ทราบอันที่กล่าวว่าคนที่มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ ความเป็นอมตะไม่มีอยู่จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่มีความสัมพันธ์กับชนชั้นสูง
‘เช่นนั้นผู้ที่มีโชคชะตาอันยิ่งใหญ่ติดตัวหนึ่งท่านต้องมาสูญเสียอยู่ที่นี่ มันเป็นลางสังหรณ์บ่งบอกว่าข้าต้องตายอย่างนั้นหรือ’…นักบวชเต๋าจินเหลียนหมดอาลัยตายอยากจากการสูญเสีย
“ท่านนักบวช!”
เวลานี้ หัวหน้าที่ป่วยของกลุ่มโฮ่วถู่เดินเข้ามา เขาดูผอมแห้งลงเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด เบ้าตาลึก ขาดเลือดฝาด ดวงตาขุ่นมัวคู่หนึ่งพลันส่องแสงเปล่งประกายออกมา
“ท่านนักบวชช่วยบอกชื่อผู้มีพระคุณให้แก่พวกเราด้วย แม้กลุ่มโฮ่วถู่จะเป็นโจรปล้นขุดสุสาน และเป็นคนต่ำช้าในยุทธภพ แต่พวกเราก็รู้จักบุญคุณคนเหมือนกัน
“ผู้มีพระคุณได้เสียชีวิตไปแล้ว ชีวิตนี้พวกเราคงตอบแทนไม่ได้ เพียงแค่อยากตั้งแผ่นป้ายระลึกถึงผู้มีพระคุณเท่านั้น นับจากวันนี้ สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่ทุกคน จะเซ่นไหว้ทุกวัน และไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน”
เฉียนโหย่วน้ำตาเอ่อล้นที่ดวงตา เช็ดล้างดวงตา กล่าวพลางร่ำไห้ “ท่านนักบวชได้โปรดบอกชื่อผู้มีพระคุณด้วย”
“ท่านนักบวชได้โปรดบอกชื่อผู้มีพระคุณด้วย” สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่กล่าวอย่างกระตือรือร้น
“สวี่ชีอัน เขาชื่อสวี่ชีอัน เป็นฆ้องเงินของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจากเมืองหลวง” นักบวชกล่าวอย่างถอดทอนใจ และบอกพวกเขาว่าชื่อเขียนอย่างไร
สวี่ชีอัน…ทุกคนในกลุ่มโฮ่วถู่ลอบจำชื่อนี้อย่างเงียบๆ
เวลานี้เอง ทันใดนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียน เหิงหย่วน และฉู่หยวนเจิ่นตัวแข็งทื่อ พวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้าที่เบามากดังออกมาจากปากหลุม
นิ่งเงียบไปไม่กี่วินาที หลังจากนั้น เหิงหย่วนทิ้งลี่น่าไปทางกลุ่มคนโฮ่วถู่ ตะคอกเสียต่ำ “ไป รีบไป!”
นักบวชเต๋าจินเหลียน ฉู่หยวนเจิ่น พร้อมด้วยเหิงหย่วนก้าวถอยหลังไประยะหนึ่ง ยืนอยู่เป็นตำแหน่งรูป ‘สามเหลี่ยม’ หันหน้าไปยังปากสุสาน
โหรเฒ่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ออกไปจากที่นี่เร็วเข้า ไปไกลแค่ไหนยิ่งดี สัตว์ประหลาดที่อยู่ในสุสาน…ออกมาแล้ว”
เหิงหย่วนไม่หวาดกลัว กลับเผยสีหน้าที่ปลดปล่อยก็มิปาน น้ำเสียงผ่อนคลายอย่างหาที่เปรียบมิได้ “อมิตตาพุทธ ครั้งนี้ อาตมาจะไม่หนีอีกต่อไปแล้ว”
‘ข้ายังไม่ได้เข้าร่วมการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์เลย’…ฉู่หยวนเจิ่นส่งเสียงพึมพำ ยื่นมือไปข้างหลัง จับกระบี่ที่ยังไม่ได้ชักออกมาเล่มนั้นแน่น
ใบหน้าของคนกลุ่มโฮ่วถู่ปลี่ยนไปมาก ตกใจจนวิญญาณหนีออกจากร่าง หลบหนีอย่างตื่นตระหนก
ในเวลาอันสั้น ไม่มีผู้ใดสนใจลี่น่าที่สลบไสลเลย
‘ไอ้พวกขี้ขลาดเอ๋ย’…หัวหน้าที่ป่วยแอบก่นด่าอยู่ในใจ สะกดความกลัวอย่างแรงกล้าเพื่อย้อนกลับมา พยายามพาตัวลี่น่าไป
เขาจับสองมือของลี่น่าแน่น ทั้งโค้งตัวลงอุ้มลี่น่าพาดไหล่ไปด้วย ทั้งเงยหน้ามองไปยังปากหลุมไปด้วย ภาวนาอย่าให้ซากศพชั่วร้ายนั้นออกมาในเวลานี้อย่างเด็ดขาด จากนั้น…เขามองเห็นไข่พะโล้ขนาดใหญ่ที่โล่งโจ้งหนึ่งหัว
ไข่พะโล้ใบใหญ่ใบนี้ก้มต่ำ เดินออกมาอย่างช้าๆ บนหลังมีแม่นางสวมชุดผ้าป่านผมสยายนางหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ ทั้งสองเปรียบเสมือนความสว่าง จนทำให้ผู้คนอดคิดไม่ได้ว่า เหตุใดจึงไม่แบ่งเส้นผมให้เขาเสียนิดหนึ่ง
หัวหน้าที่ป่วยยังคงไว้ที่ท่าโค้งตัว ในมือยังดึงข้อมือของลี่น่าอยู่ มองหนึ่งบุรุษหนึ่งสตรีที่ออกมาอย่างตะลึงงัน
สามคนที่หันหน้าเข้าหาหลุมก็เหมือนกับเขา แข็งทื่อดังหุ่นไก่ก็มิปาน
สถานการณ์เข้าสู่ความเงียบชั่วขณะหนึ่ง
ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวพึมพำ “เป็นเขาจริงๆหรือ”
‘ยิ่งความโชคดีเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายและซื่อสัตย์ วิชาปิดกั้นความลับสวรรค์ของท่านโหราจารย์ไม่ล้มเหลวหรอกหรือ? เขา เขาหลบหนีจากเงื้อมมือของมัมมี่ได้อย่างไร’…ความคิดอย่างหนึ่งแวบเข้ามาในสมองของนักบวชเต๋าจินเหลียน ท่าทีพูดคุยกลับเชื่องช้ามากทีเดียว
“น่าจะเป็นเขา”
เวลานี้สวี่ชีอันยกยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ทุกคนออกมากันหมดแล้วหรือ ช่างดีเหลือเกิน”
ขณะที่พูดก็ดันก้นของจงหลีเพื่อกระชับร่างให้มั่นคงขึ้น
ทางเดินค่อนข้างแคบ ไม่มีช่องว่างให้อุ้มท่าเจ้าหญิงตามที่ต้องการ ทำได้เพียงเปลี่ยนเป็นแบกไว้บนหลังแทน
“ไต้เท้าสวี่…”
ราวกับเขากำลังชำระร่างกายอยู่ท่ามกลางแสงแดดโพล้เพล้ เหิงหย่วนคิดว่าช่วงเวลาที่งดงามเช่นนี้ ความดีย่อมได้รับความดีตอบแทน พระพุทธธรรมนั้นไร้ขอบเขต
เขาพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองอย่างสุดความสามารถ สิบมือที่ประสานกันสั่นเล็กน้อย ก้มศีรษะพลางสวดมนต์
“ผู้มีพระคุณ ผู้มีพระคุณ…ที่แท้ท่านยังมีชีวิตอยู่ ช่างดียิ่งนัก” ฝ่าเท้าของเฉียนโหย่วชะโลมไปด้วยหยดเหงื่อ แต่เมื่อเห็นสวี่ชีอันออกมาอย่างปลอดภัยไม่มีอาการบาดเจ็บ เขาพลันปีติยินดีในทันที ฝ่าเท้าชะโลมไปด้วยหยดเหงื่ออีกครั้ง วิ่งกลับมาอย่างบ้าคลั่ง
แม้ชายคนนี้จะระมัดระวังทั้งกลัวความตาย แต่นิสัยถือว่าใช้ได้อยู่
“ผู้มีพระคุณช่างโชคดี ดียิ่งนัก ดีเหลือเกิน” สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่ย้อนกลับมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสุข
สวี่ชีอันถูกพวกเขาชื่นชมจนรู้สึกเขินอายเล็กน้อย กล่าวในใจ หากไม่ใช่ได้รับการกระตุ้นของโชคชะตาจนไต้ซือเสินซูตื่นขึ้น ตอนนั้นข้าอาจจะหลบหนีไปแล้วจริงๆ…
ผนึกหยกแปรเปลี่ยนกลายเป็นฝุ่นผงสีขาว จากนั้นโชคชะตาก็แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา ขณะนั้นสวี่ชีอันสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างตื่นขึ้นภายในร่างกายของเขา มันคือมือที่ถูกตัดขาดของไต้ซือเสินซูซึ่งดำรงอยู่แต่เดิม ทว่าทำให้สวี่ชีอันสัมผัสถึงการมีอยู่ของมันเป็นครั้งแรก
เมื่อมีความมั่นใจแล้ว เขาถึงกล้าที่จะอยู่เบื้องหลังต่อไป มิฉะนั้น ก็คงทำได้เพียงภาวนาให้ตนเองวิ่งหนีได้ไวกว่าสหายคนอื่น
ถึงอย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เผชิญหน้ากับ ‘หมี’ ผู้ที่ต่อสู้กับหมีไม่ใช่เขา แต่เป็นสหายร่สมร่างของเขาต่างหาก
…
นอกเมือง ในหุบเขาที่ห่างไกลจากภูเขาทางทิศใต้ ข้างลำธาร สวี่ชีอันรับน้ำที่เฉียนโหย่วมอบให้
น้ำจากลำธารแบบนี้…ไม่รู้ว่าหากดื่มเข้าไปแล้วจะท้องเสียหรือไม่ เพราะมันเต็มไปด้วยแบคทีเรีย…สวี่ชีอันคิดในใจ แต่กลับยกดื่มจนหมดในอึกเดียว
หลังใช้เวลาทั้งวันในการสำรวจสุสาน สุดท้ายพลังงานก็อ่อนล้าลงอย่างมาก ยิ่งหลังผ่านการต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจ ยิ่งจำเป็นต้องดื่มน้ำอย่างเร่งด่วน
ลี่น่าถูกทิ้งอยู่ข้างกาย ยังคงนอนหลับอยู่ จงหลีนั่งอยู่ริมลำธารคนเดียว จัดการกับอาการบาดเจ็บของตัวเอง
ระบบโหรไม่เชี่ยวชาญด้านการสู้รบ ร่างกายและพลังไม่อาจเปรียบได้กับระบบจัดการตนเองอย่างสมบูรณ์แบบเยี่ยงนักรบได้ ยังดีที่โหรแต่ละคนต่างมีความสามารถระดับยุทธภพ เป็นกลุ่มแรกของคนที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับการแพทย์และการรักษารุ่นที่หก
อาการบาดเจ็บเช่นนี้จงหลีสามารถจัดการเองได้ ไม่ขัดการคุยโม้ของสวี่ชีอันที่อยู่ข้างๆ
“ตอนนั้นข้าไม่คิดอะไร แค่อยากให้ทุกคนรีบหนีไป ความอันตรายทุกอย่างข้าจะรับไว้เอง…” สวี่ชีอันพูดจนน้ำลายกระเซ็น
ทำให้สมาชิกกลุ่มโฮ่วถู่รู้สึกซาบซึ้งอย่างสุดขีด เมื่อนึกย้อนถึงท่าทางวิ่งหนีเอาชีวิตของตนเองอีกครั้ง แต่ละคนละอายใจจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
เมื่ออยู่ด้วยกันสองต่อสอง สวี่ชีอันอธิบายกับนักบวชเต๋าจินเหลียนและคนอื่นๆ ผ่านกระแสจิต “ท่านโหราจารย์ทิ้งแนวรับไว้ในร่างกายข้า ส่วนมันคืออะไรนั้น ข้าไม่อาจบอกได้”
‘ท่านโหราจารย์ทิ้งแนวรับไว้กับร่างกายเขาจริงๆด้วย…หมายความว่าสิ่งที่ข้าคาดการณ์ไว้ถูกต้อง สวี่ซินเหนียนเป็นหมากรุกตัวสำคัญของท่านโหราจารย์ ดูเหมือนว่าตอนนี้ ความสำคัญของหมากรุกตัวนี้ไม่ธรรมดา’
นักบวชเต๋าจินเหลียนพยักหน้าอย่างปล่อยวางในฉับพลัน
‘ไม่แปลกเลย มิน่าเล่าแม่นางจงหลีจากสำนักโหราจารย์ถึงได้ติดตามเขา’…ฉู่หยวนเจิ่นชำเลืองมองอีกฝ่ายจากระยะไกล เห็นแผ่นหลังผอมบางของจงหลีโผล่พ้นจากนอกร่มผ้า
นอกจากนี้ เขายังนึกถึงรายละเอียดเพิ่มเติมอีกมากมาย เช่น เหตุใดท่านโหราจารย์จึงแต่งตั้งให้สวี่ชีอันเป็นตัวแทนในพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ อีกอย่างหนึ่งคือ เหตุใดนักบวชเต๋าจินเหลียนถึงให้ความสำคัญและยกย่องสวี่ชีอันเช่นนี้
อีกอย่าง ตอนให้เขานำทางเข้าไปยังเขาวงกต รายละเอียดที่เผยให้เห็น ทุกอย่างต่างบ่งบอกว่าคนอย่างสวี่ชีอันไม่ธรรมดา เบื้องหลังต้องมีความลับที่ยากจะหยั่งถึงเป็นแน่
น่าสนใจ
ความคิดของเหิงหย่วนค่อนข้างบริสุทธิ์ ในความเห็นของเขา สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนดี หนิงเยี่ยนยังไม่เสียชีวิต ดังนั้นตอนนี้โลกใบนี้จึงงดงามอยู่
‘น่าเสียดายที่ข้าไม่มีโอกาสฝึกตนระดับเพชรไร้พ่าย ไกลห่างจากระดับสามจนมองไม่เห็น’ เหิงหย่วนถอนหายใจในใจ
หลังจากคุยโม้เสร็จ สายตาของสวี่ชีอันมุ่งไปทางโหรป่าที่อยู่ในกลุ่มโฮ่วถู่ท่านนั้น เรือนผมขาว อายุราวๆ ห้าสิบปี เป็นคนชราที่สวมชุดคลุมสกปรก
“ท่านอาวุโสท่านนี้มีนามว่าอะไรหรือ”
“ผู้อาวุโส สองคำนี้มิบังอาจน้อมรับ ข้าน้อยแซ่กงหยาง นามว่าซู่ขอรับ” โหรป่าเฒ่าโบกมือ
“ผู้อาวุโสพบเห็นสุสานแห่งนี้ได้อย่างไรหรือ” สวี่ชีอันถาม
ตามที่เฉียนโหย่วบอก สุสานใต้ดินของภูเขาหนานซานแห่งนี้มีลักษณะเป็นสมบัติฮวงจุ้ยที่ดีเยี่ยม และผู้ที่ค้นพบก็คือรองหัวหน้ากลุ่มกงหยางซู่
เรื่องนี้เป็นที่น่าประหลาดใจยิ่ง สุสานนี้ถูกฝังอยู่ที่นั่นเป็นพันๆ ปี ไม่สิ หลายหมื่นปี เหตุใดเพิ่งจะถูกขุดค้นพบในเวลานี้เล่า
“สุสานแห่งนี้ข้าไม่ได้เป็นผู้ค้นพบ แต่เป็นอาจารย์ของข้าเอง โหรเชื้อสายอย่างพวกเรานั้น ล้วนล้มเหลวในการบรรลุระดับขั้น ส่วนใหญ่จะหยุดอยู่ที่ระดับห้า ส่วนเหตุผลนั้น…”
กงหยางซู่ส่ายหน้ากล่าว “เป็นความลับในระบบ ไม่สะดวกจะเปิดเผย”
ไม่ใช่ว่าต้องการใกล้ชิดกับราชวงศ์หรอกหรือ ข้ารู้มาตั้งนานแล้ว…สวี่ชีอันลอบเบ้ปาก ไม่ได้ขัดจังหวะเขา และฟังต่อไป
“คนก็ต้องกินข้าวใช่หรือไม่ วิธีการหาเลี้ยงชีพมีเยอะแยะ การค้าขายถือเป็นการหาเงินได้เยอะที่สุด เหอะๆ คงหนีไม่พ้นไปกว่าการใช้เงินของคนเสียชีวิต ข้าเดินทางท่องเที่ยวจิ่วโจวกับอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก เดินทางไปทั่วใต้หล้า และทุกครั้งที่พบสมบัติฮวงจุ้ย พวกเราจะบันทึกและหาโอกาสที่จะขุดมันอีกครั้งในอนาคต
“มีสุสานก็จะเจอลาภลอย หากไม่มี ก็จะแนะนำให้แก่ครอบครัวที่ร่ำรวย สุสานแห่งนี้อาจารย์ของข้าพบเจอเมื่อตอนเป็นหนุ่ม และได้บันทึกเอาไว้ แต่อาจารย์ของข้าไม่มีความกระตือรือร้นในการขุด กล่าวว่าเรื่องนี้เป็นการขัดต่อสวรรค์ สักวันจะถูกสวรรค์ลงโทษ
“ใครจะคิด จะเป็นเหมือนที่คนแก่เขาพูดกัน ครั้งนี้หากไม่มีผู้มีพระคุณลงมือ เกรงว่าข้าน้อยคงต้องหลับใหลอยู่ใต้ดินตลอดไปเสียแล้ว”
ข้าก็ไม่มีความสามารถตัดสินคำที่เจ้ากล่าวมามันจริงหรือไม่ ในฐานะโหร วิชามองปราณไม่ได้ผลกับเจ้า..การตัดสินใจเรื่องนี้คือหมายเลขห้า ไม่ใช่ข้า คนที่รู้ว่าข้าเป็นสมาชิกของพรรคฟ้าดินมีน้อยนัก อีกอย่าง ยังมีเงื่อนไขอีกประการหนึ่งที่ต้องปฏิบัติตาม นั่นคือการรู้ความเคลื่อนไหวของหมายเลขห้า นั่นคือตัดความเป็นไปได้ว่าจะมีคนวางแผนนั้นออกไป…เฮ้อ ข้าใกล้จะติดโรคเครียดจากท่านโหราจารย์แล้ว
สวี่ชีอันถอนหายใจในใจหลังนึกเชื่อมโยงถึงโหรลึกลับที่เจอในอวิ๋นโจว อดไม่ได้ที่จะแอบก่นด่า มารดามันเถอะ โหรพวกนี้ช่างเป็นเหรียญเงินเก่าเสียจริง
อืม โหรระดับสูง
……………………………………………….