ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 314 วิธีการ
บทที่ 314 วิธีการ
จักรพรรดิหยวนจิ่งโยนฎีกาหลังจากอนุมัติแล้วให้ขันทีชราเบาๆ แย้มพระสรวล “เจ้าบอกข้าทีซิว่า สรุปแล้วฮุ่ยหยวนสวี่ซินเหนียนได้ฉ้อโกงหรือไม่”
ขันทีชรารับฎีกาไปและกวาดตาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดว่า “ข้าน้อยนั้นโง่เขลา แต่ข้าน้อยก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างแปลกๆ พ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่งและสั่งว่า “สั่งให้ที่ว่าการเมืองกับกรมอาญาจัดการคดีนี้ ต้องสืบหาความจริงมาให้ได้”
เมื่อขันทีชราน้อมรับคำสั่งและถอยออกไป จักรพรรดิหยวนจิ่งก็นั่งบนบัลลังก์ มองท้องฟ้าสีครามด้านนอกห้องทรงพระอักษร พลันยิ้มออกมา “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว”
ขันทีชราในชุดคลุมงูเหลือมออกจากห้องทรงพระอักษรและก้มหน้าเดินเร็วๆ หลังจากเดินออกมาได้ร้อยเมตร เขาก็ตบหน้าอกด้วยความตกใจ สีหน้าอึมครึม
“อนุมัติแล้วยังจะถามข้าอีก…เว่ยเยวียนหนอเว่ยเยวียน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า แต่ชีวิตของข้าสำคัญที่สุด”
หลังจากนั้นไม่นาน คำสั่งจากในวังก็ถูกส่งไปยังกรมอาญากับที่ว่าการเมือง
ดูเหมือนเจ้ากรมซุนแห่งกรมอาญาจะคาดการณ์ไว้นานแล้ว หลังจากได้รับคำสั่ง เขาก็ส่งคนไปจับกุมสวี่ซินเหนียนทันที
เมื่อข้าหลวงเฉินได้รับคำสั่งที่ส่งมาจากในวังก็ถอนหายใจและส่ายหน้า “จักทะยานผ่านลมคลื่นไปสักวัน…เกรงว่าคลื่นลูกใหญ่จะซัดเข้ามาและกระทบเรือของเจ้าสิ้นคนสิ้น”
เขาเรียกเจ้าเมืองเซ่ามาทันทีและเอ่ยเสียงขรึม “ส่งคนไปจับกุมสวี่ซินเหนียนทันที พากลับมาสอบปากคำที่ที่ทำการปกครอง ต้องรีบจับกุมเขาก่อนกรมอาญา…ส่งคนไปแจ้งฆ้องเงินสวี่ด้วย”
…
จวนสกุลสวี่
ในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น สวี่ซินเหนียนให้คนวางโต๊ะไว้ใต้ร่มไม้ แสงแดดส่องผ่านกิ่งก้านและใบกระทบโต๊ะ หนังสือและใบหน้าอันหล่อเหลาของเขาอย่างกระดำกระด่าง
ข้างมือมีถ้วยชากับขนม
อาสะใภ้กำลังจะพาสวี่หลิงเยวี่ยกับสวี่หลิงอินและลี่น่าที่พักอาศัยอยู่ที่บ้านออกไปเที่ยวเล่น
ลี่น่าเห็นสวี่ซินเหนียนที่อยู่ใต้ต้นไม้และเอ่ยชมอย่างเปิดเผย “สวี่เอ้อร์หลางช่างหล่อเหลาจริงๆ หากอยู่ในเผ่าของพวกข้า พวกผู้หญิงคงตบตีกันจนเลือดตกยางออกเพื่อแย่งเขา”
อาสะใภ้ตื่นตัวทันที ราวกับเห็นหมูตัวเมียที่พยายามมารุมล้อมผักกาดขาวของบ้านตัวเอง
‘สาวน้อยผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้คนนี้กำลังบอกใบ้ว่านางสนใจเอ้อร์หลางหรือ ถุย คิดเพ้อฝัน คางคกอยากกินเนื้อหงส์’
ดวงตาคู่งามของอาสะใภ้ตวัดมองลี่น่าและเร่งรัด “สายแล้ว รีบไปเถิด”
การออกเดินทางครั้งนี้นางไม่ได้พาผู้ติดตามไปด้วย ผู้ติดตามร้อยคนก็ไม่เท่ากับกับสาวน้อยผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้คนเดียว ความแข็งแกร่งของสาวน้อยผิวคล้ำได้อารองสวี่กับสวี่ต้าหลางรับรองไว้
อาสะใภ้ก็เห็นด้วยตาตัวเองแล้วว่าสาวน้อยผิวคล้ำบีบก้อนหินที่ใหญ่เท่ากำปั้นแหลกเป็นผุยผงได้อย่างง่ายดาย
ลี่น่าทิ้งสวี่เอ้อร์หลางผู้หล่อเหลาไว้เบื้องหลังและเดินออกไปข้างนอกอย่างมีความสุข เธออดใจอยากจะเดินเล่นในเมืองหลวงของต้าฟ่งแทบไม่ไหว
ตอนอยู่ซินเจียงตอนใต้เมื่อก่อน นางมักจะได้ยินเหล่าผู้อาวุโสในเผ่าพูดถึงเมืองหลวงของต้าฟ่งว่า เป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดในโลก
‘นังตัวดีนี่กินเยอะและยังมีความคิดไม่เหมาะสมกับเอ้อร์หลางของข้าอีก ข้าต้องคิดหาวิธีขับไล่นางออกไป…’ อาสะใภ้ลอบคิดในใจ
หญิงสาวเผ่าอื่นที่ตกลงมาจากฟ้าคนนี้กระตุ้นความคิดกีดกันคนต่างแดนของอาสะใภ้
นางกำลังวางแผนว่าจะขับไล่หญิงสาวเผ่าอื่นออกไปอย่างไร ในสายตา นางก็เห็นทหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามา ผลักเหล่าจางคนเฝ้าประตูล้มลงกับพื้นและตรงไปที่ลานด้านใน
หัวหน้ามือปราบที่เป็นผู้นำถือภาพเหมือนไว้ในมือและเปรียบเทียบครู่หนึ่ง เขาชี้สวี่ซินเหนียนที่อ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้และตะโกนว่า “คนนี้คือสวี่ซินเหนียน กุมตัวไป”
“พวกเจ้าเป็นใครกัน เหตุใดจึงมาจับเอ้อร์หลางของข้า” อาสะใภ้ตกใจจนหน้าซีด ด้วยความที่เป็นวัวแก่ปกป้องลูกวัว นางเลิกคิ้วขึ้นและขวางอยู่ด้านหน้าทหารอย่างไม่ลังเล
“เจ้ากล้าขัดขวางกรมอาญาจับกุมคนหรือ นำตัวไปด้วย!” หัวหน้ามือปราบคนนั้นสะบัดมือและสั่งให้ลูกน้องจับกุมอาสะใภ้
ทหารสองนายก้าวไปข้างหน้าทันที พวกเขาหยิบเชือกออกมาเพื่อคล้องหัวอาสะใภ้
‘ปัง!’
ลี่น่าก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวและผลักหน้าอกของทหารสองนายเบาๆ “อ๊าก…” เสียงกรีดร้องดังขึ้นสองเสียง ทหารกระเด็นออกไปและล้มลงด้วยความสับสน
‘ชิ้ง!’
เหล่าทหารชักอาวุธออกมาทีละคน คมมีดชี้ไปที่ลี่น่า สาวน้อยตัวแสบจากซินเจียงตอนใต้เลียริมฝีปาก นางตื่นเต้นเล็กน้อย นางสามารถสังหารคนเหล่านี้ได้ทั้งหมดภายในสิบลมหายใจ
อาสะใภ้ซึ่งตกใจจนตัวสั่นหลบไปอยู่ข้างหลังลี่น่า ทันใดนั้นนางก็พบว่าสาวน้อยผิวคล้ำคนนี้เชื่อถือได้และควรค่าแก่การพึ่งพา
“หยุด”
สวี่ซินเหนียนตำหนิ เขาวางม้วนตำราลงและเดินเข้ามา ดวงตากวาดมองคณะทหารอย่างเย็นชาและเอ่ยเสียงขรึม
“ข้าเป็นถึงฮุ่ยหยวนผู้มีชื่อเสียง พวกเจ้าบุกเข้ามาในตำหนักของข้าและบุ่มบ่ามใช้ดาบ นี่ถือเป็นโทษมหันต์”
เวลานี้ ทหารที่ถูกผลักจนกระเด็นออกไปสองนายก็ลูบหน้าอกและลุกขึ้น เมื่อหัวหน้ามือปราบเห็นว่าพวกเขาไม่มีอะไรผิดปกติก็ครุ่นคิดเล็กน้อยและเก็บดาบ เขาหยิบหนังสือคำสั่งออกมาและกล่าวว่า
“พวกข้าได้รับคำสั่งจากกรมอาญาให้นำตัวฮุ่ยหยวนสวี่กลับไปสอบปากคำที่ที่ทำการปกครอง”
สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้ว “ข้าทำอะไรผิดหรือ”
“ฮุ่ยหยวนสวี่จะได้รู้เมื่อตามพวกข้าไป” หัวหน้ามือปราบสะบัดมือและตะโกนว่า “นำตัวไป”
ลี่น่ากำลังจะลงมือ แต่ถูกสวี่ซินเหนียนหยุดไว้ เขาเดินไปหาทหารของกรมอาญา “ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
อาสะใภ้กับสวี่หลิงเยวี่ยตามไปถึงด้านนอกจวน จนกระทั่งทหารคุ้มกันสวี่ซินเหนียนหายไปที่มุมถนน
ลี่น่ากระซิบ “สวี่เอ้อร์หลางก็ขโมยตำลึงเงินหรือ”
นางรู้ว่าการขโมยตำลึงเงินจะต้องถูกทหารจับกุม
เวลานี้เอง เหล่าจางคนเฝ้าประตูก็จูงม้าขอสวี่ซินเหนียนมาและกล่าวว่า “นายหญิง คุณหนู ข้าน้อยจะให้คนไปแจ้งนายท่านทันที”
อาสะใภ้กับสวี่หลิงเยวี่ยหันหลังพร้อมกันและตะโกนว่า “ไปหาต้าหลาง/พี่ใหญ่เร็วเข้า”
…
“อะไรนะ ทหารของกรมอาญามาจับกุมเอ้อร์หลางที่จวนหรือ”
ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันที่ได้รับข่าวจึงตกตะลึงโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเล็กน้อย
“ต้าหลาง ท่านรีบคิดหาวิธีเถิด นายหญิงกับคุณหนูต่างก็ร้องไห้ด้วยความกังวล” ลูกชายของเหล่าจางคนเฝ้าประตูมีสีหน้าวิตกกังวล
“จับกุมด้วยเหตุใด”
ลูกชายของเหล่าจางส่ายหน้าและพูดว่า “จู่ๆ ก็มีทหารกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้ามาและยังผลักท่านพ่อของข้าจนล้มหกคะเมน เมื่อจับตัวเอ้อร์หลางได้ก็จากไป”
“ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ากลับไปก่อน” สวี่ชีอันสั่งว่า “บอกอาสะใภ้กับหลิงเยวี่ยว่า ให้พวกนางอย่ากังวล ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง”
“ต้าหลาง ท่านต้องกลับไปบอกกับพวกนางด้วยตัวเอง” ลูกชายของเหล่าจางคนเฝ้าประตูพูด
สวี่ชีอันพยักหน้า โบกมือไล่เขาไป นั่งลงที่โต๊ะและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาลุกขึ้นและออกจากโถงไป เขาวางแผนจะไปกรมอาญาเพื่อรู้สาเหตุที่กรมอาญาจับกุมสวี่เอ้อร์หลางอย่างแน่ชัดก่อน
คงไม่ใช่ว่าเจ้ากรมกรมอาญาตั้งใจจะจับผิดเพื่อระบายความโกรธให้หลานสาวหรอกนะ หากเป็นเช่นนั้นก็แก้ไขได้ง่ายๆ เอ้อร์หลางมีชื่อเสียงโด่งดัง เรื่องเล็กน้อยธรรมดาไม่อาจทำอะไรเขาได้…แต่วิธีการทำงานของเหล่าลูกพี่ในท้องพระโรง แม้ว่าจะเป็นการระบายความโกรธเพื่อหลานสาวก็ไม่อาจจับกุมคนโดยไม่มีเหตุผลได้ แน่นอนว่าจับได้ แต่ต้องมั่นใจก่อนถึงจะลงมือ ดังนั้น เอ้อร์หลางต้องก่อเรื่องอะไรมาแน่ๆ เพียงแต่ข้ายังไม่รู้…
ขณะที่คิดในใจ เขาก็ออกจากลานและกำลังจะเปลี่ยนทิศไปทางคอกม้าเพื่อจูงแม่ม้าน้อย แล้วเขาก็เห็นหัวหน้ามือปราบหลี่ว์ชิงแห่งที่ว่าการเมืองนำมือปราบสองคนเข้ามาในลานอย่างเร่งรีบ
“ใต้เท้าสวี่”
เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน หลี่ว์ชิงก็เผยสีหน้ามีความสุขออกมา จากนั้นก็ถูกแทนที่ด้วยความวิตกกังวลและพูดซ้ำๆ “ท่านข้าหลวงให้ข้าแจ้งใต้เท้าว่า ฮุ่ยหยวนสวี่มีปัญหา”
“ข้ารู้แล้ว เขาถูกคนของกรมอาญาพาตัวไปเมื่อไม่นานมานี้” สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง
“ดูเหมือนคนของกรมอาญาจะเร็วกว่าก้าวหนึ่ง” หลี่ว์ชิงถอนหายใจ
“หัวหน้ามือปราบหลี่ว์เชิญด้านในก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษา”
สวี่ชีอันล้มเลิกความคิดที่จะไปคอกม้าและพาหลี่ว์ชิงกลับไปที่โถง
หลี่ว์ชิงรับน้ำชาที่เจ้าพนักงานมาเสิร์ฟ จิบพอเป็นพิธีและพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาทออกฎีกาให้ตรวจสอบการฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการของฮุ่ยหยวนสวี่”
คำว่า ‘การฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ’ ทำให้สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
บทกวี ‘การเดินทางอันยากลำบาก’ ของเอ้อร์หลางเป็นบทกวีที่ข้ามอบให้เขาจริง แต่นี่ถือเป็นการฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการหรือ ข้าเป็นคนเก็งข้อสอบเอง เรื่องเก็งข้อสอบ ราชสำนักไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่เคยห้าม กลุ่มนักปราชญ์มักจะมีธรรมเนียมเก็งข้อสอบ พูดอย่างเฉียบขาดเลยคือไม่ถือเป็นการฉ้อโกง…ไม่ ปัญหาไม่ใช่การฉ้อโกง
สวี่ชีอันได้กลิ่นอายสมรู้ร่วมคิดและเอ่ยเสียงขรึม “ฝ่าบาทให้ตรวจสอบหรือ”
หลี่ว์ชิงมองเจ้าพนักงานภายในโถงและกระซิบ “ข้าก็ไม่รู้ ใต้เท้าสวี่อย่าคาดเดาเลยจะดีกว่า”
“ข้าไม่รอบคอบเอง”
แต่จุดนี้สำคัญมาก หากจักรพรรดิหยวนจิ่งอยากจับเอ้อร์หลาง เช่นนั้นคงจัดการไม่ได้ง่ายๆ อนาคตของเอ้อร์หลางแทบจะพังทลายในคราวเดียว อุทิศให้กับองค์จักรพรรดิ องค์จักรพรรดิไม่ต้องการ ปัญญาชนก็จะถูกกำจัด…สวี่ชีอันคิดในใจ
“ขอบคุณหัวหน้ามือปราบหลี่ว์ที่เตือน ข้าจะรีบไปจัดการเรื่องนี้ จึงไม่สะดวกอยู่กับเจ้า”
“ใต้เท้าสวี่มอบให้ข้าด้วยเถิด” หลี่ว์ชิงพูดเป็นนัย
ทั้งสองคนออกจากโถงและเดินออกไปนอกที่ว่าการเคียงข้างกัน หลี่ว์ชิงลดเสียงลงและพูดว่า
“ใต้เท้าสวี่ไปที่กรมอาญาดีกว่า คนถึงมือกรมอาญาแล้ว พวกเขาจะถูกทิ้งให้อยู่ตามลำพัง หากสายเกินไป ข้าเกรงว่าอะไรก็รับสารภาพ พูดออกมาหมด”
หลี่ว์ชิงฝึกวิทยายุทธ์ตั้งแต่เด็กและดำรงตำแหน่งในที่ว่าการเมืองมาหลายปี เคยเห็นคดีที่คล้ายกันไม่น้อย จึงเข้าใจเรื่องภายในแวดวงราชการอย่างแจ่มชัด
หลังจากส่งหลี่ว์ชิง สวี่ชีอันก็หันกลับเข้าไปในหอเฮ่าชี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากเว่ยเยวียน
สัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายเช่นนั้น การปัดแข้งปัดขาในแวดวงราชการมีทุกวิถีทาง เขาขาดประสบการณ์ ตำแหน่งก็ไม่เพียงพอ แต่โชคดีที่ยังมีขาใหญ่ให้กอด
เมื่อเข้าไปในหอเฮ่าชี่ ในห้องน้ำชา สวี่ชีอันเล่าเรื่องให้เว่ยเยวียนฟังและขอความช่วยเหลือ “เว่ยกง โปรดช่วยข้าด้วยเถิด”
เว่ยเยวียนถือถ้วยน้ำชาและพึมพำ “ข้าไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากในวัง นี่หมายความว่าฝ่าบาทไม่อยากให้ข้ารู้ อย่างน้อยก็ไม่อยากให้ข้ารู้ในทันที”
สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไป “ฝ่าบาทต้องการผูกมัดข้าหรือ”
“คำว่า ผูกมัด ช่างหยาบคายยิ่งนัก” เว่ยเยวียนเอ่ยอย่างรังเกียจ จากนั้นก็ส่ายหน้า “พวกเจ้าพี่น้องบ้านสกุลสวี่ยังไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะให้ฝ่าบาทลงสนามด้วยตนเอง น่าจะถูกคนกล่าวหา ส่วนจุดประสงค์ ประการแรก จากตัวอย่างคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการก่อนหน้านี้ ในเมื่อเป็นการฉ้อโกง ฉะนั้นต้องมีผู้คุมการสอบแพร่งพรายคำถาม การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ครั้งนี้มีผู้คุมการสอบหลักสามคนคือราชบัณฑิตวิทยาลัยตงเก๋อ จ้าวถิงฟาง ผู้ตรวจสอบฝ่ายขวา หลิวหงและราชบัณฑิตวิทยาลัยอู่อิงเตี้ยน เฉียนชิงซู ปลาซิวปลาสร้อยที่เหลือเพิกเฉยไปชั่วคราว ในบรรดาผู้คุมการสอบที่สามารถแพร่งพรายคำถามได้สามคน เฉียนชิงซูตัดออกไปก่อน”
สวี่ชีอันขมวดคิ้ว “ทำไมหรือขอรับ”
เว่ยเยวียนตอบว่า “หนังสือกล่าวโทษต้องผ่านสำนักราชเลขาธิการก่อน สำนักราชเลขาธิการเป็นอาณาเขตของหวางเจินเหวินและเฉียนชิงซูเป็นคนของหวางเจินเหวิน เจ้าเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ได้ตีหนังสือกลับ นั่นแสดงว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเฉียนชิงซู…สวี่ชีอันพยักหน้า “เข้าใจแล้วขอรับ”
เว่ยเยวียนพูดต่อ “ต่อมา ญาติผู้น้องของเจ้า สวี่ซินเหนียนเป็นคนของสำนักอวิ๋นลู่ แม้ว่าท้องพระโรงจะมีพรรคการเมืองมากมาย แต่การร่วมมือกันขัดขวางคนหนุ่มของสำนักอวิ๋นลู่เป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยายของขุนนางบุ๋นทั้งหมด นี่คือเหตุผลหลักของการฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการครั้งนี้”
“ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักอวิ๋นลู่…ไม่ได้เตือนข้าหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“การถูกขัดขวางเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว แต่ไม่แน่ว่าจะใช้การฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นราชการมาเป็นเหตุผล แม้ว่าสวี่ซินเหนียนจะเป็นจอหงวน แต่ก็ยังสามารถกวาดเขาไปที่มุมลับตาได้ ไม่มีสูตรตายตัว วิธีการก็เยอะเกินไป แล้วจะป้องกันอย่างไร” เว่ยเยวียนส่ายหน้า
“สุดท้าย สวี่ซินเหนียนเป็นญาติผู้น้องของเจ้า เจ้าเป็นคนสนิทของข้า เมื่อเจอเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับอนาคต เจ้าจะขอความช่วยเหลือจากข้าหรือไม่ หากข้าไม่ตกลง ระหว่างพวกเราก็จะเกิดความบาดหมางขึ้นในใจ หากข้าตกลง กลอุบายที่ตามมาก็จะมา” เว่ยเยวียนยิ้มเย็น
“ฝ่าบาทของพวกเรามีความสุขที่เห็นข้ากับเหล่าขุนนางบุ๋นสู้รบกัน ดังนั้นจึงไม่มีข่าวจากในวังส่งมา”
ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว…ไม่ หากยังมีผู้คุมการสอบที่แพร่งพรายคำถามคนนั้นอีก คนที่อยู่เบื้องหลังยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว ส่วนเอ้อร์หลาง เกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ หนีไม่พ้นบทสรุปสามแบบ หนึ่ง หลักฐานชี้ชัด เนรเทศหรือตัดหัว สอง หลักฐานชี้ชัด แต่ความผิดค่อนข้างเบา ถอดยศและห้ามเข้าทำงานตลอดชีวิต สาม หลังจากสอบสวนแล้วไม่มีความผิด แต่พลาดการสอบเข้ารับราชการในวัง ชื่อเสียงก็พังทลาย
สวี่ชีอันสูดหายใจเข้าลึกๆ และรู้สึกไม่สบายใจ
ปัญญาชนช่างน่าขยะแขยงจริงๆ เมื่อเกิดความขัดแย้งอะไรขึ้น พวกเราจะชักดาบสู้กันให้เห็นดำเห็นแดงและตรงไปตรงมา
ไม่วางกลอุบายร้ายกาจลับๆ ล่อๆ เหล่านี้
“เว่ยกง ข้าควรทำอย่างไรดีขอรับ” สวี่ชีอันขอคำแนะนำอย่างนอบน้อม ในแง่การแก้ไขคดี เขามั่นใจในตัวเองมาก ในแง่การต่อสู้ระหว่างข้าราชการ เช่นนั้นเขาก็เป็นเครื่องเงินเผชิญหน้ากับกลุ่มจักรพรรดิ
โชคดีที่เบื้องหลังข้าก็มีลูกพี่ที่ระดับจุดสุดยอดของจักรพรรดิเช่นกัน
“ข้าสามารถลงสนามได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ สวี่ซินเหนียนก็จะเป็นคนของข้าและฉลากบนร่างของเขาก็จะล้างไม่ออกไปชั่วชีวิต” เว่ยเยวียนจิบชาและมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยน
เรื่องนี้เป็นปัญหามาก แม้ว่าเว่ยกงจะลงมือเพื่อช่วยเอ้อร์หลางหลบหนี เกรงว่าก็ยังคงจะเสียหายอย่างหนัก สุดท้ายแล้วฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่พรรคการเมืองพรรคเดียว เป็นไปได้ว่าจะเป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยายระหว่างพรรคการเมืองมากมาย…
แต่หากเอ้อร์หลางกลายเป็นพรรคขันทีเหมือนกับเขา นั่นก็ยังดีกว่าปล่อยให้เขาระหกระเหเร่ร่อนและออกจากเมืองหลวงไป…
สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่น เขานั่งเงียบอยู่นานและเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันขมขื่น “เว่ยกง ยังมีวิธีอื่นอีกหรือไม่ขอรับ”
“มี!”
คำตอบนี้ทำให้สวี่ชีอันทั้งประหลาดใจและคาดไม่ถึง
แต่เว่ยเยวียนก็เปลี่ยนเรื่องและส่ายหน้า “แต่เจ้าทำไม่ได้”
…………………………………………………