ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 324 ตัวตนของศพ
บทที่ 324 ตัวตนของศพ
“ผู้ชายเฮงซวย เด็กน้อยบ้านเจ้าสมองเพี้ยนหรือเปล่า”
ซูซูวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องหนังสือ และความรู้สึกที่กระสับกระส่ายเหมือนมีหนามทิ่มแทงหลังของนางก็พลันหายไป เป็นเรื่องแปลกมากจริงๆ ที่นางรู้สึกไม่สบายใจเมื่อถูกเด็กอายุห้าหกขวบจ้องมอง
“เจ้าต่างหากที่สมองเพี้ยน ครอบครัวของเจ้าป่วยเหมือนกันหมด อ้อ ลืมไปว่าคนในครอบครัวของเจ้าตายไปหมดแล้ว”
สวี่ชีอันตอบอย่างไร้ความปรานี เขาลืมเรื่องตลกจากอาสะใภ้ของเขา คิดว่าซูซูกำลังพูดเสียดสีเสี่ยวโต้วติง
‘กึก…’
สวี่ชีอันปิดประตูห้องหนังสือ เขาคิดอยากจะรินชาให้กับหลี่เมี่ยวเจิน แต่เมื่อพิจารณาว่าอาจมีการชันสูตรพลิกศพต่อ เวลานี้จึงไม่เหมาะที่จะดื่มชา ดังนั้นเขาจึงไม่รินชาให้กับแขก
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้พูดมาก นางหยิบหนังสือปฐพีออกมา เขย่าเบาๆ และเงาสีดำก็ตกลงมาบนพื้นห้องหนังสือ ‘ตุบ’
สวี่ชีอันผู้มีประสาทสัมผัสที่ว่องไวได้กลิ่นเลือดเข้มข้น
เขาจ้องไปที่ศพที่ไร้หัวครู่หนึ่งแล้วถามว่า “วิญญาณของเขาอยู่ที่ไหน”
ศพไร้หัวไม่สามารถอธิบายอะไรได้ เนื่องจากหลี่เมี่ยวเจินกล่าวว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เขาจึงต้องใช้วิธีของลัทธิเต๋าเพื่อเรียกวิญญาณมาสอบสวน
หลี่เมี่ยวเจินตบถุงเครื่องหอม และควันสีเทาลอยอ้อยอิ่ง บิดตัวไปมากลางอากาศก็กลายเป็นชายวัยกลางคนที่มีดวงตาหมองคล้ำ ใบหน้าพร่ามัวล่องลอยในอากาศพลางกล่าวพึมพำ “สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนักโปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”
สีหน้าของเทพธิดานิกายสวรรค์เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “วิญญาณของเขาได้รับความเสียหาย หากต้องการทราบเนื้อหาหลังจากนี้ ก็ทำได้แค่เลี้ยงดูวิญญาณของเขา แต่เมื่อดูจากความเว้าแหว่งของวิญญาณแล้ว ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองเดือน”
สวี่ชีอันเหลือบมองนาง แล้วส่งเสียง “เหอะ” ออกมา “ผ่านไปสองเดือนก็ไม่ทันการเสียแล้ว”
หลี่เมี่ยวเจินจ้องมอง “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็บอกมาสิว่าต้องทำอย่างไร”
นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร มีแต่เพียงเบาะแสนี้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ข้อมูลไม่ชัดเจน จับต้นชนปลายไม่ถูก แล้วจะเสาะหาความจริงได้อย่างไร
ลูกตาดำขลับตัดกับตาขาวชัดเจนของซูซูจ้องมองแต่ละคน นางรู้ดีถึงความสามารถในการไขคดีของสวี่ชีอัน เขาไม่มีทางสับสนเหมือนนายท่านอย่างแน่นอน
สำหรับคดีนี้ ซูซูทั้งคาดหวังทั้งสงสัยว่าเขาจะวิเคราะห์จากแง่มุมใด
สวี่ชีอันครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะโน้มตัวลงถอดเสื้อผ้าของศพออก และหลังจากตรวจสอบแล้ว เขาก็พูดว่า “ว่าแล้วเชียว เขาเป็นคนจากทางเหนืออย่างแน่นอน”
ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินเบิกกว้างขึ้นทันทีและถามว่า “ดูจากอะไร”
นางเฝ้ามองกระบวนการชันสูตรศพของหมายเลขสามผู้ไร้ยางอายตั้งแต่ต้นจนจบ แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับเขา
“คนจากภูมิภาคต่างกัน จะมีลักษณะที่ต่างกัน ดูจากหน้าตาผิวพรรณก็บอกได้แล้วว่าผู้ตายเป็นคนจากที่ใด แต่นี่ไม่มีหัว หน้าของวิญญาณจึงเห็นไม่ชัด…ดังนั้น หากต้องการตัดสินว่าศพไร้หัวเป็นคนที่ใด ก็ต้องตรวจสอบจากรูปพรรณสัณฐานของร่างกาย”
สวี่ชีอันยกมือขวาของศพขึ้นและพูดว่า “พวกเจ้าดูสิ คนผู้นี้นอกจากจะฝ่ามือด้านแล้ว นิ้วชี้ยังมีผิวหนังหนาเช่นกัน คนที่ใช้ดาบหรือกระบี่เป็นอาวุธไม่มีทางมีผิวหนังด้านในลักษณะนี้อย่างแน่นอน”
ซูซูและหลี่เมี่ยวเจินมองใกล้ๆ แล้วก็เป็นจริงดั่งคำของเขา
วิญญาณสาวกะพริบตาคู่สวยของนางและพูดเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นใช้อาวุธอะไร อย่าปล่อยให้คนเขาอยากรู้สิ”
หลี่เมี่ยวเจินทำสีหน้าตะลึง “คันธนู”
สมแล้วที่เป็นแม่ทัพหญิงผู้คลุกคลีในกองทัพ ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วจริงๆ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ถูกต้อง ผู้ชายคนนี้ยิงธนูเก่ง”
ซูซูเอียงศีรษะแล้วโต้กลับ “แค่นี้ก็พิสูจน์ว่าเขาเป็นคนทางเหนือได้เลยหรือ ข้าว่าเจ้าพูดจามั่วซั่วมากกว่า คนที่ยิงธนูเก่งๆ มีตั้งมากมาย อาจจะเป็นคนในกองทัพก็ได้ไม่ใช่หรือ”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าเห็นด้วย
“ถูก ที่แม่นางซูซูพูดมาก็มีเหตุผล ตัวอย่างเช่น มีคนที่เก่งด้านการยิงธนูอยู่ข้างกายเจ้าและก็ไม่ได้อยู่ในกองทัพ”
สวี่ชีอันขยิบตา ส่วนมือก็ยังเคลื่อนไหวไม่หยุด เขาแยกขาของศพที่ไร้หัวออกและพูดว่า
“พวกเจ้าสังเกตดีๆ สิ โคนต้นขาของเขาไม่มีหนังด้าน หากเป็นทหารที่ขี่ม้ามานาน ผิวหนังส่วนต้นขานี้ย่อมด้านเป็นแน่ ไม่ใช่คนที่อยู่ในกองทัพและยิงธนูเก่ง สอดคล้องกับลักษณะของคนทางเหนือ คนในยุทธภพต้าฟ่งไม่สันทัดการยิงธนู”
คนทางเหนือเก่งเรื่องการยิงธนู แม้แต่ชายในวัยผู้ใหญ่ทั่วไปก็สามารถยิงธนูได้ ตามความเข้าใจของสวี่ชีอัน ผู้คนจากยุทธภพทางเหนือหลายแห่งมีมีดและธนูเป็นอาวุธพื้นฐานของพวกเขา
บางครั้งหากไม่มีมีด ก็จะใช้กริชหรือมีดสั้นแทน แต่ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีธนูเป็นอาวุธหลัก
ในเวลานี้ซูซูก็โต้แย้งอีกว่า “หรือว่าเป็นพลธนู”
สวี่ชีอันเยาะเย้ย “ใครเขาใช้พลธนูมาส่งสาส์นกันเล่า หากเดาไม่ผิดคนผู้นี้น่าจะเป็นชาวยุทธ์จากทางตอนเหนือ ส่วนสิ่งที่เขาพยายามจะสื่อ เขาได้รับมอบหมายภารกิจจากใคร หรือใครสังหารเขา เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้”
หลี่เมี่ยวเจินพ่นลมหายใจอันขุ่นมัวเงียบๆ และกล่าวด้วยความโล่งใจ “ถ้าอย่างนั้นเรื่องของเขาฝากให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน ในฐานะที่เป็นฆ้องเงินของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เจ้าจัดการเรื่องเหล่านี้จะดีกว่า”
ซูซูถอนหายใจด้วยความโล่งอก รู้สึกว่าแม้ว่าผู้ชายเฮงซวยคนนี้จะมากตัณหาและน่ารำคาญ แต่เรื่องนี้เขาทำได้ดีจริงๆ
หลังจากการวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลแล้ว นางก็มั่นใจมากทีเดียว
‘ข้าและนายท่านต่างมืดแปดด้าน ไม่รู้ว่าจะสืบสวนอย่างไร แต่เมื่อมอบหมายให้ชายผู้นี้ ก็พบเบาะแสในทันที’
แม้ว่าซูซูมักจะบ่นว่าหลี่เมี่ยวเจินชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน และถึงแม้ว่าตัวนางเองชื่นชอบที่จะซึมซับจิตวิญญาณของผู้ชาย แต่นางก็รู้ว่าตนเองเป็นวิญญาณสาวที่มีจิตใจดี
หากไม่สามารถจัดการเรื่องศพหัวขาดได้อย่างเหมาะสม นางและหลี่เมี่ยวเจินคงต้องมีบ่วงติดค้างในใจเป็นแน่ สิ่งนี้จึงขับเน้นความดีของสวี่ชีอันที่สามารถสร้างความอุ่นใจได้
…
หลังจากจัดห้องพักสำหรับหลี่เมี่ยวเจินและซูซูและสั่งคนครัวเตรียมของว่างแล้ว สวี่ชีอันก็กลับมาที่ห้องหนังสืออีกครั้ง นำศพเก็บไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี ขอวิญญาณที่เหลือ จากนั้นก็ขี่แม่ม้าน้อยตรงไปที่ทำการปกครอง
ข้าจำได้ว่าเว่ยกงบอกว่าทางเหนือมีสงครามบ่อยครั้ง และต้าฟ่งก็พ่ายแพ้ทุกครั้งไป ขุนนางบุ๋นเขียนหนังสือกล่าวหาอ๋องสยบแดนเหนือ แต่ถูกจักรพรรดิหยวนจิ่งโยนความผิดให้เว่ยเยวียน และถอดถอนออกจากตำแหน่งเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้าย
สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องใหญ่โตขนาดนี้…เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ จำเป็นต้องรายงานเว่ยกงให้ทันท่วงที
แม่ม้าน้อยมุ่งหน้าไปยังที่ทำการปกครอง สวี่ชีอันมอบบังเหียนม้าให้กับเจ้าพนักงานหน้าประตูและรีบไปที่หอเฮ่าชี่
“ฆ้องเงินสวี่ เว่ยกงเพิ่งสั่งให้เตรียมรถม้าเข้าวัง” ทหารยามข้างล่างรายงาน
เข้าวังหรือ…เข้าวังไปต่อล้อต่อเถียงกับจักรพรรดิหยวนจิ่งและขุนนางบุ๋นพวกนั้นน่ะหรือ… เสียเวลานัก…สวี่ชีอันปั้นหน้าเคร่งขรึม “อย่าพูดมาก เข้าไปรายงานซะ”
“ขอรับ…” ทหารยามวิ่งเข้าไปในอาคารอย่างรู้ความ
หลังจากได้รับคำตอบที่แน่ชัดจากทหารยาม สวี่ชีอันใช้มือข้างหนึ่งกระชับดาบ ปีนบันไดขึ้นไป เห็นเว่ยเยวียนนั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ ดวงตาที่ผ่านกาลเวลาผกผันแรมปี จ้องมองเขาอย่างอ่อนโยนและสงบ
เขายังคงสวมเสื้อที่มีสีเขียวเช่นเดิม ทว่ามีลายเมฆที่สลับซับซ้อนและปักมังกรฟ้าบนหน้าอก
นี่คือชุดที่เว่ยเยวียนสวมใส่เมื่อไปเข้าประชุมหรือเวลาที่เขาเข้าไปในวัง
“เจ้ามีเวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น มีเรื่องอะไรเร่งด่วน รีบว่ามา” เว่ยเยวียนกล่าวกับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา น้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก
“เนื่องจากเว่ยกงดูรีบร้อน ข้าจะเล่าเรื่องแบบรวบรัดก็แล้วกันขอรับ” ในใจของสวี่ชีอันก็กังวลเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงหยิบชิ้นส่วนหยกออกมาแล้วเขย่าเบาๆ
‘ตุบ’…ศพหัวขาดหล่นลงบนพื้นห้องน้ำชาที่สะอาดและเป็นระเบียบ ทำให้พื้นที่เคยสะอาดนั้นสกปรกทันที
เว่ยเยวียนรู้สึกประหลาดใจ ดวงตาของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “เกิดอะไรขึ้น”
“วันนี้หลี่เมี่ยวเจินเดินทางมาถึงเมืองหลวงและพักอยู่ที่จวนของข้า” สวี่ชีอันกล่าว
“อืม”
เว่ยเยวียนพยักหน้าและไม่สนใจ เขาจ้องไปที่ศพที่ไม่มีหัวและพูดเบาๆ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับศพนี่”
สวี่ชีอันยิ้ม “เกี่ยวข้องอย่างยิ่ง นางพบศพนี้ห่างจากเมืองหลวงแปดสิบลี้ ถูกตัดศีรษะด้วยมีด เรียบง่ายธรรมดา แต่หลี่เมี่ยวเจินนั้นเป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น จึงเรียกวิญญาณที่เหลืออยู่ของผู้ตายมาสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ใครเล่าจะรู้ว่า…”
เขาจงใจเว้นจังหวะ อยากให้อีกฝ่ายเกิดความสงสัยขึ้นมา แต่เมื่อเห็นหน้าเว่ยเยวียนที่ดูไม่น่าชมเท่าไรนัก เขาก็กลัวว่าเดือนหน้าจะโดนหักเงินเดือนเพราะก้าวเท้าผิดข้าง จึงพูดต่อทันที
“วิญญาณได้พูดอะไรบางอย่างออกมา อืม เว่ยกง ท่านดูด้วยตาตนเองจะดีกว่า”
เขานำถุงเครื่องหอมที่หลี่เมี่ยวเจินมอบให้เขาออกมา ปลดเชือกสีแดง กลุ่มควันขาวพลันลอยคลุ้งขึ้นในอากาศ กลายเป็นชายที่มีใบหน้าพร่ามัวและดวงตาหมองคล้ำ พูดซ้ำไปซ้ำมาว่า
“สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ราชสำนักโปรดส่งกำลังพลไปปราบปราม…”
ตาของเว่ยเยวียนหรี่ลงทันที จ้องมองไปยังวิญญาณที่เหลืออยู่ด้วยดวงตาที่เฉียบคม
เขาเงียบไปสองสามวินาทีแล้วพูดว่า “เจ้ามีเบาะแสอะไร”
นี่ไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่เป็นประโยคเพื่อยืนยัน ดูเหมือนว่าสวี่ชีอันน่าจะค้นพบอะไรบางอย่างแล้วแน่นอน
ฆ้องเงินผู้น้อยที่เขาชื่นชมไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง สวี่ชีอันรายงานกลับ “ในขั้นต้นข้าน้อยขอสรุปว่าเขาเป็นคนทางเหนือและถูกฆ่าตายระหว่างทางมาแจ้งสาส์นนี้”
เขาอธิบายข้ออนุมานของตนอย่างละเอียด
“ช่วงนี้ไม่มีสงครามเข้ามาในต้าฟ่ง ยกเว้นแต่ทางตอนเหนือ เว่ยกง สถานการณ์ทางเหนืออาจเลวร้ายกว่าที่เราคิด แต่ราชสำนักไม่ได้รับรายงานข่าวกรองที่สอดคล้องกันเลยหรือขอรับ”
“ไม่มี”
เว่ยเยวียนส่ายหัวขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าสงสัยว่าอ๋องสยบแดนเหนือปลอมแปลงรายงานข่าวกรองอย่างนั้นหรือ”
สวี่ชีอันเหลือบมองเว่ยเยวียน “เรื่องนี้ไม่น่าแปลกใจ ข้าน้อยคิดว่าที่แปลกคือหากอ๋องสยบแดนเหนือปลอมแปลงรายงานข่าวกรอง แต่เหตุใดที่ทำการปกครองถึงไม่ได้รับรายงานอะไรเลย”
เรื่องใหญ่แบบสังหารเลือดหมู่สามพันลี้นี้ บุตรในเงามืดฝั่งจิ่วโจวของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ได้รับข้อมูลใดๆ เลยหรือ
“เมื่อต้นปี ข้าส่งบุตรในเงามืดไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ จึงเหลือมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ทางเหนือ ดังนั้นข่าวสารจึงถูกปิดกั้นไปโดยปริยาย” เว่ยเยวียนกล่าวอย่างจนใจ
บุตรในเงามืดถูกส่งไปยังทางตะวันออกเฉียงเหนือหมดเลยหรือ? เว่ยกงต้องการทำอะไร ต่อสู้กับสำนักพ่อมดอย่างนั้นรึ…
สวี่ชีอันตกตะลึง และถามต่อไม่หยุด “ถ้าอย่างนั้น เว่ยกงคิดว่า ควรทำเช่นไรกับเรื่องนี้ดีขอรับ”
เว่ยเยวียนเหลือบมองไปยังนาฬิกาน้ำที่มุมห้อง กล่าวว่า “ข้าจะเข้าวังก่อน ศพและวิญญาณชายคนนี้ ข้าจะเอาไปเอง เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องเป็นกังวล”
หลังจากที่สวี่ชีอันพยักหน้า เขาก็พูดอีกครั้ง “เนื่องจากหลี่เมี่ยวเจินมาถึงเมืองหลวง พันธสัญญาระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์จะสิ้นสุดลงในไม่ช้า การอารักขาเมืองหลวงน่าจะดีขึ้นมาก
“ช่วงนี้ไม่รู้ว่ามีสายลับแอบเข้ามาสืบข่าวกี่คน โชคดีมีท่านโหราจารย์คอยจับตามอง จึงไม่เกิดเรื่องร้ายขึ้น
“เจ้าบอกหลี่เมี่ยวเจินให้ระวังตัวมากขึ้น ในช่วงเวลาไม่ปกติเช่นนี้ อย่าให้นางออกจากเมืองตามใจชอบ อย่าสร้างปัญหา และเตรียมพร้อมสำหรับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น”
“อันตรายที่อาจเกิดขึ้น?” สวี่ชีอันถามกลับ
เว่ยเยวียนเหลือบมองนาฬิกาน้ำอีกครั้งและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ข้าจะบอกเจ้าถึงอันตรายที่นางอาจต้องเผชิญ ประการแรก อันตรายที่มาจากราชสำนัก ประการที่สอง อันตรายจากสายลับของแว่นแคว้นอื่น ส่วนต้นสายปลายเหตุเจ้าลองคิดเอาเอง ข้าต้องเข้าวังแล้ว”
เขาคว้าถุงเครื่องหอมมาจากมือสวี่ชีอัน เดินออกจากห้องน้ำชาอย่างรวดเร็ว และสั่งเจ้าพนักงานขณะที่เขาเดินไป “นำศพเข้าไปในวังพร้อมกับข้า”
…
ห้องทรงพระอักษร
นอกจากจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว สมุหราชเลขาธิการหวางเจินเหวิน เจ้ากรมการคลังและเจ้าหน้าที่สามระดับ ขุนนางบรรดาศักดิ์กง และขุนนางใกล้ชิด รวมทั้งหมดแล้วเป็นสิบหกคน
ฉู่เซียงหลงยืนหน้าซีดท่ามกลางข้าราชการทั้งหลาย ก้มศีรษะลงเล็กน้อยและนิ่งเงียบ
เขากินยาที่ได้รับจากโหรแห่งสำนักโหราจารย์ ทำให้สามารถลุกจากเตียงและเดินได้ในไม่ช้า แต่อาการบาดเจ็บภายในไม่สามารถฟื้นตัวได้ในเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตาม ขอแค่ไม่โคจรปราณ ดูแลตัวเองให้ดี ก็จะสามารถฟื้นตัวได้หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือน
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วและพูดว่า “เว่ยเยวียนยังไม่มาอีกหรือ ไม่ต้องรอแล้ว!”
จากนั้นเขาก็กวาดสายตาไปที่สุภาพชนทั้งหลายและพูดว่า “อ๋องสยบแดนเหนือแจ้งราชสำนักว่าต้องการทหารสามแสนนาย เสบียงอาหารสองแสนห้าหมื่นชิ้น พวกท่านทั้งหลายคิดว่าเป็นเพราะอะไร”
เจ้ากรมการคลังเป็นคนแรกที่ออกมาพูดว่า “ปีหยวนจิ่งที่สามสิบหก เกิดอุทกภัยในเจียงโจว เกิดภัยแล้งรุนแรงในจิงโจว ตั๊กแตนระบาดในเมือง ราชสำนักได้จัดสรรธัญพืชหลายครั้งเพื่อบรรเทาภัยพิบัติ ยุ้งฉางใหญ่ของต้าฟ่งในอวี้โจว จางโจวเหลือธัญพืชไม่มากนัก ไม่สามารถจัดสรรปันส่วนได้”
จักรพรรดิหยวนจิ่งไตร่ตรอง “หากจัดสรรจากหลายๆ เมืองล่ะ”
เจ้ากรมการคลังตอบว่า “แม้ว่าจะมีการขนส่งทางน้ำ แต่ก็ต้องใช้เวลาและแรงงานมหาศาลในการรวบรวมพืชพรรณธัญญาหารจากเมืองต่างๆ อีกทั้งคนและม้าก็ต้องบริโภค กว่าจะขนส่งไปถึงชายแดนฉู่โจว เกรงว่าจะเหลือน้อยไม่ถึงครึ่ง นี่ไม่ใช่วิธีที่ดีพ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่เขากำลังพูด ขันทีก็เดินมาหยุดอยู่ที่ประตูห้องทรงพระอักษร
จักรพรรดิหยวนจิ่งยกมือขึ้นขัดจังหวะเจ้ากรมการคลังและมองไปที่ขันทีที่ประตู “มีเรื่องอันใด”
“เว่ยกงมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีกล่าว
จักรพรรดิหยวนจิ่งตอบด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย “ให้เขาเข้ามา”
ขันทีก้าวถอยหลัง หลังจากผ่านไปสิบวินาที เว่ยเยวียนก็ก้าวเข้าสู่ห้องทรงพระอักษร มายืนอยู่ในตำแหน่งของตนเองโดยไม่ปริปากใดๆ
จักรพรรดิหยวนจิ่งกล่าวขึ้นอย่างไม่พอใจนัก “นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ พวกเจ้าดีแต่คัดค้านข้าหรือไร”
เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายคว้าโอกาสก้าวออกมาและกล่าวว่า “กระหม่อมมีแผนการพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ท่านหยวนจงบอกแผนของท่านมา”
หยวนสยงกล่าวว่า “ราชสำนักสามารถเพิ่มแรงงานเกณฑ์ชั่วคราวที่เรียกว่าแรงงานการขนส่งธัญญาหาร ออกคำสั่งให้ประชาชนรับผิดชอบในการส่งและคุ้มกันข้าวและหญ้า”
ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งฉายแววออกมา นี่สิแผนการที่เข้าท่า
สิ่งที่เรียกกันว่าแรงงานเกณฑ์ หมายถึง การที่ราชสำนักคัดเลือกและเกณฑ์คนจากทุกสาขาอาชีพมาใช้แรงงาน หากมอบหมายให้ประชาชนคุ้มกันธัญพืช เจ้าหน้าที่และทหารมีหน้าที่กำกับควบคุม ราชสำนักก็จะแบกรับภาระเรื่องอาหารการกินของเจ้าหน้าที่และทหารเท่านั้น ส่วนประชาชนให้รับผิดชอบปากท้องกันเอง
ด้วยวิธีนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการรับประกันได้ว่าธัญพืชทั้งหลายจะไม่ถูกบริโภคก่อนถึงชายแดน แต่ยังช่วยประหยัดค่าขนส่งธัญพืชได้มากอีกด้วย
“เป็นความคิดที่ดี!” จักรพรรดิหยวนจิ่งหัวเราะ
หยวนสยงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตราบใดที่ฝ่าบาททรงใช้แผนของเขา ฝ่าบาทก็มีความสุข แล้วผลสืบเนื่องในคดีโกงข้อสอบเคอจวี่ก็จะลดลง
หลังจากการสอบต่อหน้าพระที่นั่ง สวี่ซินเหนียนได้คะแนนยอดเยี่ยม ก็สามารถจินตนาการต่อได้ว่าเขาต้องเผชิญกับการตอบโต้จากจ้าวถิงเฟิงปราชญ์มหาสำนักตงเก๋อ และเว่ยเยวียนที่ทุ่มหินซ้ำเติม
ตำแหน่งของเขาในฐานะผู้ตรวจสอบของเจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายยังไม่ได้แต่งตั้งอย่างเป็นทางการ ทำให้เขาอาจถูกแทนที่ได้ ดังนั้นจึงต้องช่วยเหลือตัวเองให้รอด
สมุหราชเลขาธิการหวางก้าวออกมาและโค้งคำนับ “แผนนี้นำหายนะมาสู่ประเทศและประชาชน หยวนสยงสมควรถูกลงโทษ!
“ฝ่าบาท ถึงเวลาทำนาในฤดูใบไม้ผลิแล้วพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ประชาชนยุ่งกับการทำนา ไม่ต้องการมาเป็นแรงงานเกณฑ์ ตั้งแต่สมัยโบราณ อาหารถือเป็นรากฐานของความอยู่รอดของประชาชน ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ก็อย่ารบกวนประชาชนช่วงทำนาฤดูใบไม้ผลิเลยพ่ะย่ะค่ะ
“นอกจากนี้ ปีที่แล้วเกิดภัยธรรมชาติซ้ำซาก ประชาชนมีอาหารเหลือไม่มาก แผนนี้เท่ากับเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ ส่งประชาชนไปตายพ่ะย่ะค่ะ”
หยวนสยง เจ้ากรมการตรวจตราฝ่ายซ้ายขมวดคิ้ว คิดที่จะโต้กลับ แต่ได้ยินฉู่เซียงหลงหัวเราะเยาะขึ้นมาก่อน “สมุหราชเลขาธิการหวางได้รับการสรรเสริญมาโดยตลอดว่ารักประชาชนเหมือนลูก ทว่าประชาชนในฉู่โจวไม่ใช่คนของต้าฟ่งหรอกหรือ สมุหราชเลขาธิการหวาง ท่านไม่แยแสต่อความเป็นความตายของพวกเขาเลยหรือ”
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวเรียบๆ “มีข้าราชการประจำการอยู่ทางเหนือกว่าแปดหมื่นหกพันครัวเรือน แต่ละครัวเรือนได้รับที่ดินหกหมู่ ที่ดินกองทัพมากถึงห้าพันฉิ่งต่อปี…
“ชายแดนไม่มีสงครามมาเป็นเวลานาน ทุกส่วนของฉู่โจวมีสภาพอากาศที่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะไม่มีการเรียกร้องธัญพืช แต่ดูจากปริมาณธัญพืชสำรองของฉู่โจว ก็ยังสามารถอยู่ได้นานหลายเดือน เหตุใดจู่ๆ เงินและอาหารถึงหายไปจนหมดสิ้นในเวลาอันสั้นเล่า
“ข้าเกรงว่าที่ดินกองทัพเหล่านั้นอาจถูกยึดครองโดยใครบางคน”
ฉู่โจวเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดในต้าฟ่ง ติดกับอาณาเขตของเผ่าอนารยชนทางตอนเหนือ
ฉู่เซียงหลงอาศัยการที่ฝ่าบาทเห็นด้วย กล่าวออกมาอย่างเย็นชา ไม่เกรงกลัว “ปัญญาชนนอกจากเก่งแต่ปากแล้ว เคยต่อสู้ในสงครามหรือนำทัพบ้างหรือไม่ ท่านเสวยสุขอยู่ในเมืองหลวงอย่างสำราญใจ หารู้ไม่ว่าทหารชายแดนนั้นต้องลำบากยากเข็ญเพียงไร
“ฝ่าบาท คราวนี้พวกอนารยชนมันกำลังรุกรานอย่างหนัก เกิดสงครามขึ้นหลายครั้งตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไหวอ๋องผู้กล้าหาญยังมีชีวิตรอด ชนะการต่อสู้มาหลายครั้ง แต่หากขาดแคลนเสบียงอาหารเนื่องจากขนส่งไปไม่ทัน เหล่าทหารก็จะอ่อนกำลัง และหายนะจะตามมาพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งพยักหน้า “ไหวอ๋องกล้าหาญเพียงไรข้ารู้ดีอยู่แล้ว แต่สถานการณ์ศึกทางเหนือตอนนี้เป็นอย่างไร”
ฉู่เซียงหลงกอบหมัดของเขาและกล่าวรายงานว่า “ไหวอ๋องนำกองทัพเฉกเช่นเทพเซียน กล้าหาญชาญชัยไร้ที่เปรียบ หลังจากที่พวกอนารยชนประสบความพ่ายแพ้ไปหลายครั้ง พวกมันก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับกองทัพของเราซึ่งๆ หน้า
“ฝ่ายเราได้แต่พึ่งพาทหารม้าเร็วเข้าปล้นสะดมจากหลายๆ ที่แม้ว่ากองทัพของเราจะมีความได้เปรียบ แต่ก็อ่อนล้าเต็มที ฝ่าบาท ได้โปรดทรงแจกจ่ายเงินเดือนและเสบียงอาหาร เพื่อให้พลทหารเหล่านั้นทราบว่า ราชสำนักไม่เคยลืมคุณงามความดีของพวกเขาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
สมุหราชเลขาธิการหวางขมวดคิ้ว
นับตั้งแต่การฟ้องร้องกล่าวหาว่าอ๋องสยบแดนเหนือล้มเหลวในการปกป้องเมืองเมื่อปลายปีที่แล้ว หน่วยข่าวกรองจากทางเหนือรายงานว่าอ๋องสยบแดนเหนือชนะการต่อสู้หลายครั้ง การรุกรานของคนป่าเถื่อนที่ชายแดนได้รับการควบคุมแล้ว
เฉากั๋วกงกล่าวทันที “อ๋องสยบแดนเหนือสร้างคุณูปการใหญ่หลวง พวกเราไม่อาจเป็นตัวถ่วงของเขาได้ ฝ่าบาท การเกณฑ์ไพร่พลขนส่งธัญพืชเป็นวิธีที่ดีที่สุดต่อทั้งสองฝ่าย ยิ่งกว่านั้น หากไม่จ่ายเงินตอบแทนให้แก่พลทหาร เกรงว่าจะนำไปสู่การลุกฮือก่อกบฏ ทำให้เสียการใหญ่เพราะเรื่องเล็กน้อยได้พ่ะย่ะค่ะ”
“แม้ว่าจะมีเรื่องที่ไม่เป็นดั่งใจแต่หลังจากช่วงฤดูใบไม้ร่วงค่อยว่ากันใหม่ก็ยังไม่สาย อาหารและเงินเดือนทหารไม่ควรถูกระงับด้วยเหตุนี้”
ขุนนางหลายคนเห็นด้วย
ในเรื่องของสนามรบ พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นมากกว่าขุนนางบุ๋น
สมุหราชเลขาธิการหวางกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท เรื่องนี้จะต้องมีการหารือในระยะยาว”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเมินเขาและกล่าวว่า “พวกท่านคิดเห็นเช่นไร”
เมื่อเห็นเช่นนั้น เหล่าขุนนางตอบว่า “พวกกระหม่อมสนับสนุนอ๋องสยบแดนเหนืออย่างเต็มที่”
ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ที่ชัดเจน ไม่มีประโยชน์ที่พวกเขาจะทัดทาน
คนของพรรคหวางหลายคนส่งเสียงและขยิบตาให้สมุหราชเลขาธิการหวางอย่างเงียบๆ เป็นเชิงบอกให้เขาระวังคำพูด ฝ่าบาททรงไว้วางใจอ๋องสยบแดนเหนือมากเพียงใด ทุกคนในท้องพระโรงต่างรู้ดีแก่ใจ ไม่เช่นนั้น ในตอนนั้นคงไม่ให้ดาบสยบดินแดนแก่อ๋องสยบแดนเหนือ
จักรพรรดิหยวนจิ่งมองเว่ยเยวียน “ท่านเว่ย ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการทหาร ท่านคิดเห็นอย่างไร”
สมุหราชเลขาธิการหวางมองไปที่เว่ยเยวียนทันที
………………………………………………