ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 327 จดหมายท้าประลอง
บทที่ 327 จดหมายท้าประลอง
วันรุ่งขึ้น เช้าตรู่
หออิ่งเหมย ตั่งอันหรูหรากว้างขวาง ฝูเซียงส่งเสียง ‘อืม’ ระหว่างที่นอนหลับปุ๋ยจนเกิดเสียงครวญครางที่หวานหยดย้อยและเกียจคร้าน
แพขนตางอนหนาสั่นระริก เมื่อลืมตาขึ้นในสายตาของนาง สิ่งที่ปรากฏให้เห็นเป็นสิ่งแรกคือสันจมูกโด่งและใบหน้าด้านข้างรูปงามของสวี่ชีอัน
เขาตื่นแล้ว ทอดมองหลังคาอย่างเงียบๆ
“อรุณสวัสดิ์สวี่หลาง”
ฝูเซียงยื่นสองมือออกมาจากผ้าห่ม คล้องต้นคอของสวี่ชีอันขณะเดียวกันก็กดมือรุ่มร่ามของเขาเอาไว้
“มาอรุณสวัสดิ์อะไร ตอนเช้าต้องพูดว่า เมื่อคืนเจ้ายอดเยี่ยมมาก!” สวี่ชีอันหาวพร้อมเอ่ยถาม “ว่าแต่กี่ยามแล้วหรือ”
“น่าเกลียด ข้าพูดไม่ได้หรอก”
ฝูเซียงก็หาวขึ้นเช่นกัน พวงแก้มถูใบหน้าของสวี่ชีอันพร้อมพูดออดอ้อน “น้ำรั่วที่ขาเตียง สวี่หลางดูเอาเองสิ”
สวี่ชีอันยื่นท่อนบนออกจากเตียงและมองไปที่ขาเตียง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็เด้งออกจากเตียง “เช้าแล้วนี่ แม่เทพธิดาน้อยยั่วสวาท ข้าต้องรีบไปที่ทำการปกครอง มิเช่นนั้นค่าจ้างครึ่งปีหลังก็จะหายสิ้น”
ฝูเซียงมือหนุนศีรษะ หัวเราะร่าพร้อมเอ่ย “เมื่อวานมีแต่สวี่หลางกวนข้าและเล่นงานกลับทั้งนั้น ถุย”
สวี่ชีอันออกจากหออิ่งเหมยตรงไปที่คอกม้า แล้วจูงแม่ม้าน้อยของตน ตามคาด ม้าของเอ้อร์หลางไม่อยู่แล้ว นี่หมายความว่าเขาออกจากสำนักสังคีตไปแล้ว
เขาขี่แม่ม้าน้อยกลับไปยังจวนสกุลสวี่ ระหว่างทางมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นจะมีส้มเขียวขายแม้แต่น้อย
“เหมือนจงหลีจะยังอยู่ที่สำนักโหราจารย์ ข้าควรไปรับนางได้แล้ว” สวี่ชีอันพึมพำแล้วหันหลังวิ่งไปทางสำนักโหราจารย์
…
‘ซ่าๆๆ…’
สวี่ชีอันดึงวาล์วน้ำลง ประตูหินที่ทะลุไปใต้ดินของสำนักโหราจารย์เปิดขึ้น เขาตะโกนสุดเสียง “จงหลี ข้ามารับเจ้าแล้ว”
เสียงดังก้องที่ใต้ดินกว้างกังวาน
ผ่านไปสักพักก็มีเสียงฝีเท้าดังตรงขึ้นมาจากแท่นบันไดใต้ดิน ตะเกียงน้ำมันลุกโชน แสงสว่างสีเพลิงส่องสะท้อนร่างเงาคนและค่อยๆ ชัดเจนขึ้น
จงหลีที่ผมยาวกระเซิงขึ้นบันไดมา เสียงใสกังวานดังออกมาจากในหัวอย่างลิงโลดเล็กน้อย “เจ้ามาแล้ว”
“ไปกันเถอะ ตามข้ากลับบ้าน” สวี่ชีอันหันหลังคิดจะเดิน
จงหลีกลับหันหลังและตะโกนไปทางใต้ดินอันมืดมิด “ศิษย์พี่หยาง ปิดประตูทบทวนความผิดของตนเองดีๆ อย่ายั่วให้ท่านอาจารย์โมโหอีกล่ะ”
เมื่อพูดจบนางก็ดึงด้ามจับลงปิดประตูหิน
สวี่ชีอันเดินไปข้างนอกพลางถามอย่างแปลกใจ “ศิษย์พี่หยางทำอะไรผิดรึ”
จงหลีมองเขาแล้วพูดเสียงเบา “เมื่อวานศิษย์พี่หยางไปที่ประตูอู่เหมิน ขวางทางไปของเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารจำนวนมากเอาไว้ แล้วอ่านกลอนบทนั้นของเจ้า เหล่าท่านทั้งหลายและฝ่าบาทบันดาลโทสะ จึงส่งคนไปประณามท่านอาจารย์และลงโทษศิษย์พี่หยาง ท่านอาจารย์แขวนศิษย์พี่หยางขึ้นและเฆี่ยนตีอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ขังไว้ที่ใต้ดินให้ทบทวนความผิดเป็นเวลาสิบปี ท่านทั้งหลายและฝ่าบาทจึงจะยอมเลิกรา”
…สวี่ชีอันตกตะลึง ใบหน้างุนงง ยากจะเชื่อว่ามีคนทำถึงขั้นนี้เพื่อแสร้งทำ
หยางเชียนฮ่วนถูกท่านอาจารย์แขวนและเฆี่ยนตีงั้นหรือ น่าเสียดายเสียจริงที่ข้าไม่ได้เห็นเวลานั้น!!
ถึงในใจจะรู้สึกเสียดายเขาก็ไม่ลืมที่จะเข้าเรื่อง มองไปรอบๆ ภายในห้องโถง เนื่องจากเหล่าหมอขั้นเก้าหนีไปหมดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงถามจงหลีที่อยู่ข้างกาย
“มีผงยากลบกลิ่นบนตัวหรือไม่ เมื่อคืนข้าดื่มมาเล็กน้อย เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าอาสะใภ้กับน้องสาวของข้าไม่ชอบให้ข้าดื่มสุรายิ่ง…”
“โอ้” จงหลีพยักหน้าพร้อมเอ่ยอย่างรู้ความ “วิธีกลบด้วยเครื่องหอมง่ายดายมาก เจ้ารอประเดี๋ยว ข้าจะหาเทียนหอมให้เจ้า”
นี่ก็น่าอึดอัดเล็กน้อยแหะ…สวี่ชีอันกระตุกมุมปาก
เมื่อกลับถึงจวนสกุลสวี่ ยามที่เขาอยู่ที่โต๊ะหินในลานบ้านก็มองเห็นลี่น่ากับซูซูกำลังเล่นหมากรุก สวี่หลิงอินกำลังนั่งเก้าอี้ลมอยู่ไม่ไกล
“พี่หย่าย…”
เสี่ยวโต้วติงแสร้งทำเป็นดีใจพุ่งเข้ามา ฉวยโอกาสแอบอู้
เห็นได้ชัดว่าลี่น่าเป็นอาจารย์ที่ไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง จ้องกระดานหมากรุกอย่างใจจดใจจ่อ ใบหน้างามเต็มไปด้วยความจริงจังและใคร่ครวญ
นี่มันแปลก…รู้สึกเหมือนเห็นพวกเรียนห่วยกำลังถกเถียงกันเรื่องแคลคูลัส…สวี่ชีอันเดินไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมจ้องเขม็ง
ที่แท้พวกเจ้าก็กำลังเล่นหมากเรียงห้าตัว
ไปดีกว่า…
เนื่องจากเคยเตือนจงหลีระหว่างทางแล้ว ดังนั้นศิษย์พี่ห้าจากสำนักโหราจารย์จึงไม่รู้สึกแปลกใจที่เห็นผีตนหนึ่งนั่งเล่นหมากรุกอยู่ในลานบ้าน เพียงมองดูซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“นี่เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ซึ่งพบเห็นได้ยาก” นางเอ่ยเสียงเบา
ข้ารู้ว่าจุดเด่นของเสน่ห์ก็คือความงาม ชอบยั่วยวนคนสัญจรไปมาในป่าหุบเขาลึก จากนั้นก็สูบสารจำเป็นของพวกเขา อืม สารจำเป็นที่ว่านี้มันคือสารจำเป็นจริงๆ…สวี่ชีอันพยักหน้า บ่งบอกว่าในใจตนกระจ่างแจ้ง
เมื่อจงหลีเห็นเช่นนี้ก็ไม่เอื้อนเอ่ยอะไรอีก
จากนั้นสวี่ชีอันก็พบว่าหลี่เมี่ยวเจินไม่อยู่แล้ว ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งไปถามซูซูที่ลาน “นายของเจ้าล่ะ”
ซูซูจ้องมองกระดานหมากรุกอย่างใจจดใจจ่อไม่แม้แต่จะมองหน้า ก่อนจะตอบเสียงหวาน “ไปอารามรัตนะแล้ว”
…
นอกประตูเขตพระราชฐาน หลี่เมี่ยวเจินที่สวมชุดคลุมเต๋าถูกกองทหารพยัคฆ์ทะยานสกัดไว้
นางไม่ตื่นตระหนก หันหลังเดินกลับไประยะหนึ่ง จากนั้นก็ตบที่หลัง เสียง ‘เช้ง’ กระบี่บินออกจากฝัก
เมื่อกองทหารพยัคฆ์ทะยานที่อยู่ไม่ไกลเห็นเช่นนี้ เข้าใจว่านางจะบุกเขตพระราชฐานก็หน้าถอดสี ค่อยๆ ยกอาวุธขึ้น
หลี่เมี่ยวเจินกระโดดขึ้นไปบนสันดาบอย่างปราดเปรียว กระบี่บินพานางพุ่งพรวดพราดขึ้นไป ความสูงหยุดที่ราวยี่สิบจั้ง ด้วยความสูงนี้สามารถมองเห็นอารามรัตนะที่อยู่ห่างไกลได้แล้ว
กองทหารพยัคฆ์ทะยานบนกำแพงเมืองง้างสายธนู หันเครื่องยิงหน้าไม้และปืนใหญ่เล็งไปที่หลี่เมี่ยวเจิน ขอเพียงหัวหน้าทัพออกคำสั่ง ลูกธนูนับหมื่นก็จะทะยานพุ่งทันที
ผู้บังคับกองพันของกองทหารพยัคฆ์ทะยานไม่ได้ออกคำสั่งโจมตี เขาหรี่ตาจ้องมองหลี่เมี่ยวเจิน ในใจประกายความคิด
‘ชุดคลุมเต๋า อิสตรี ต้องการเข้าเขตพระราชฐาน…หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์? หนึ่งในตัวละครสำคัญของสงครามสวรรค์กับมนุษย์ผู้นั้น?’
ทว่าหากหลี่เมี่ยวเจินยืนกรานจะขี่กระบี่บุกเข้าเขตพระราชฐาน เช่นนั้นสิ่งที่นางรอคอยจะต้องเป็นการโต้กลับจากยอดฝีมือของทหารรักษาวังและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
หลี่เมี่ยวเจินย่อมรู้ตัวว่าตนถูกตรึงไว้แล้ว ทว่ามิใช่ปัญหาใหญ่ นางก็มิได้มีความคิดที่จะดึงดันบุกเข้าเขตพระราชฐาน
จับจ้องอารามรัตนะที่อยู่ไกลออกไป ทำให้ปราณจมลงสู่ตันเถียน แล้วเอ่ยเสียงดังแผ่วโผย “ศิษย์จากนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน ได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ให้มาศึกษาแลกเปลี่ยนหลักเต๋ากับศิษย์ของนิกายมนุษย์ เวลาและสถานที่ นิกายมนุษย์เป็นคนกำหนด”
เสียงทะลุทะลวงยิ่ง ไม่ได้ดังก้องจนหูหนวก แต่กลับส่งไปไกล ทั้งนอกและในเขตพระราชฐานก็ได้ยินแจ่มชัด
บัดนี้ขุนนางชั้นสูงเรืองอำนาจ ราชวงศ์ และขุนนางของที่ทำการปกครองที่อาศัยอยู่ในเขตพระราชฐานล้วนได้ยิน ‘จดหมายท้าประลอง’ ของหลี่เมี่ยวเจินทั้งสิ้น
นอกเขตพระราชฐาน ประชาชนเมืองชั้นในที่อยู่ติดกับกำแพงเมืองสีแดงก็ตื่นตระหนกกับเสียงเฉกเช่นเดียวกัน ผู้สัญจรทางหยุดฝีเท้า เจ้าของร้านแผงลอยหยุดตะโกน แล้วหันหน้ามองไปทางเขตพระราชฐานอย่างช้าๆ
ตำหนักของหลินอัน
หลินอันที่อยู่ในชุดฝ่ายในสีแดงซ้อนกันเป็นชั้นกำลังเล่นลูกบอลแพรปักกับเหล่าสาวใช้พลันหยุดฝีเท้าลง เมื่อเงี่ยหูฟังก็เอ่ยถาม
“พวกเจ้าได้ยินเสียงอะไรหรือไม่”
เหล่าสาวใช้ต่างพยักหน้า แล้วทอดมองไปทางเขตพระราชฐานอย่างเงียบๆ
“ได้ยินเพคะ คล้ายจะเป็นหลี่เมี่ยวเจินศิษย์จากนิกายสวรรค์อะไรนี่…” สาวใช้ที่เคยถูกสวี่ชีอันตบบั้นท้ายผู้นั้นตอบกลับ
เมื่อสิ้นเสียงคำพูด เสียงอันไพเราะเยือกเย็นก็ดังขึ้นมาจากทิศทางตรงข้าม “สามวันหลังจากนี้ ยามเหม่าสามเค่อ[1] ริมแม่น้ำเว่ยชานเมืองหลวง นิกายมนุษย์ลงชื่อศิษย์ฉู่หยวนเจิ่นลงสนาม”
ปากเล็กของยายตัวร้ายอ้ากว้างเล็กน้อย ในใจพลันปรากฏเรื่องแปลกน่าขบขันที่สวี่ชีอันบอกกับนาง หนึ่งในนั้นคือ…สงครามสวรรค์กับมนุษย์!
“สามวันหลังจากนี้ข้าจะไปดู ข้าจะให้สุนัขรับใช้พาข้าไปดู” ยายตัวร้ายในใจร้อนระอุ แทบอยากจะให้ทหารรักษาพระองค์เรียกตัวสุนัขรับใช้ของตนมาในทันที
จวนไหวอ๋อง
สวนดอกไม้หลังจวนที่สะพรั่งไปด้วยมวลบุปผา หญิงสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงยาวสีบัวยืนอยู่ในดงดอกไม้ทอดมองไปทางประตูเมือง แล้วเอ่ยเสียงเบา “สามวันหลังจากนี้ ยามเหม่าสามเค่อ ริมแม่น้ำเว่ยชานเมืองหลวง…”
นางหลิ่วตาพร้อมเอ่ยอย่างสำราญใจ “มีเรื่องสนุกให้ดูอีกแล้ว”
ไร้สายลมทว่าดอกไม้ที่อยู่เต็มลานพลิ้วไหวน้อยๆ ราวกับกำลังตอบนางอยู่
…
หลี่เมี่ยวเจินมาถึงเมืองหลวงเพื่อทำศึกตัดสินกับฉู่หยวนเจิ่นศิษย์ของนิกายมนุษย์ที่ริมแม่น้ำเว่ยในสามวันหลังจากนี้
ข่าวนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ภายในครึ่งวันสั้นๆ ก็แทบจะกระจายไปทั่วทั้งเมืองหลวง
ผู้ที่เดือดพล่านที่สุดคนแรกคือชาวยุทธภพที่ได้ยินข่าวตั้งแต่เข้าเมืองหลวงมาแรกๆ เหล่านั้น พวกเขารออยู่หนึ่งเดือนเต็มๆ ในที่สุดก็รอถึงสงครามสวรรค์กับมนุษย์
รอศึกตัดสินระหว่างลัทธิเต๋านิกายมนุษย์และศิษย์อัจฉริยะที่สุดของนิกายสวรรค์
แม้คนมากมายจะล้วนเผชิญกับความอึดอัดใจที่ค่าเดินทางหมดไป ทว่าก็ไม่มีใครโทษ ถึงขั้นคิดว่าการมาถึงเมืองหลวงก่อนเวลานั้นเป็นการตัดสินใจที่น่ายินดีและถูกต้องเป็นอย่างยิ่ง
เพราะก่อนสงครามสวรรค์กับมนุษย์ พวกเขาก็เห็นพิธีต้าวฮวดที่ยากจะพบเจอในรอบร้อยปีมาแล้ว
สิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้เพียงพอแล้วจากท่าทีเสียใจของเหล่าชาวยุทธ์แห่งยุทธภพที่พลาดพิธีต้าวฮวดเพราะมาช้าไป
แม้จะไม่มีสงครามสวรรค์กับมนุษย์ตามมา สำหรับชาวยุทธภพส่วนใหญ่ก็คุ้มค่ากับการเดินทางนี้แล้ว
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงกับสาวงาม ยังมีคุณชายหลิ่วและท่านอาจารย์ของคุณชายหลิ่ว คนทั้งสี่หาที่ว่างข้างหน้าต่าง ทานอาหารกลางวันพลางเอ่ยถึงสงครามสวรรค์กับมนุษย์
ตัวละครสำคัญทั้งสองย่อมต้องกลายเป็นจุดสายตาอย่างไม่ต้องสัย
หรงหรงรินเหล้าให้สาวงาม แต่กลับหันหน้ามองจอมยุทธ์วัยกลางคน พร้อมเอ่ยเสียงแข็ง “ข้าเคยได้ยินท่านผู้อาวุโสกล่าวว่าฉู่หยวนเจิ่นผู้นี้คล้ายจะเป็นบุรุษจอหงวนแห่งรัชศกหยวนจิ่งปีที่ยี่สิบเจ็ด”
เมื่อจอมยุทธ์วัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ จึงเผยสีหน้าเหนื่อยใจเล็กน้อย “ใช่ ปีนั้นข้าทัศนาจรอยู่ที่เมืองหลวง ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการประกาศผลการสอบคัดเลือกขุนนางและเห็นเขากลายเป็นบัณฑิตฮุ่ยหยวนพอดี ภายหลังก็เป็นบัณฑิตจอหงวน…คาดไม่ถึงว่าเขาจะออกจากราชการและกลายเป็นศิษย์ลงนามของนิกายมนุษย์ กระทั่งตัวแทนนิกายมนุษย์ลงสนามในวันนี้”
“ท่านอาจารย์ ข้าได้ยินว่าหลี่เมี่ยวเจินผู้นั้นเป็นเทพที่งดงามที่สุดในใต้หล้า เจ้าว่านางเป็นลัทธิเต๋าขั้นที่เท่าไร”
ยามที่คุณชายหลิ่วเอ่ยประโยคนี้ ความสนใจทั้งหมดตกอยู่ที่คำว่า ‘งดงามที่สุดในใต้หล้า’
จอมยุทธ์วัยกลางคนส่ายหน้ากับคำถามของลูกศิษย์ “ในวันนั้นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เกือบจะไม่ได้ท่องยุทธภพ ชื่อเสียงไม่ชัดเจน อาจารย์ก็ไม่รู้ว่านางขั้นที่เท่าไร ทว่ายุทธภพยังมีข่าวลืออีกว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินที่ปรากฏตัวบนฟากฟ้าเมื่อปีก่อนก็คือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์”
“จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินคือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์งั้นหรือ” หรงหรงตกตะลึง
ชื่อเสียงอันโด่งดังของจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินนางพอได้ยินมาบ้าง หญิงผู้นี้ปล้นคนรวยช่วยคนจน ยึดมั่นความเป็นธรรม ไม่ทำเรื่องดีก็อยู่บนเส้นทางที่ทำเรื่องดี
การกระทำได้รับการสรรเสริญและชื่นชมจากจอมยุทธ์พเนจรในยุทธภพ
ทว่าเมื่อหนึ่งปีก่อน จู่ๆ นางก็หายตัวไปจากยุทธภพ ไม่รู้ว่าไปที่แห่งหนใด
จอมยุทธ์วัยกลางคนเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “เป็นข่าวลือยุทธภพทั้งสิ้น ไม่รู้จริงเท็จ ทว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินหายตัวไปเมื่อหนึ่งปีก่อน ไม่รู้ไปที่แห่งหนใด”
บัดนี้ ชาวยุทธ์ในชุดคลุมสีฟ้าโต๊ะใกล้เคียงก็พูดสอดขึ้นพร้อมเอ่ยเหน็บแนม “ช่างไม่รู้อะไรบ้างเลย ที่จอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินหายตัวไปหนึ่งปีก็เพื่อไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว”
ไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว?
ไม่รอให้จอมยุทธ์วัยกลางคนถาม ชาวยุทธภพรอบข้างก็มองมาอย่างช้าๆ
“ท่านรู้ได้อย่างไรว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว”
“ข้าไม่เพียงรู้ว่าไปปราบโจรที่อวิ๋นโจว ยังรู้ด้วยว่านางก็คือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจิน” ชาวยุทธ์เสื้อคลุมสีฟ้าจิบสุราพร้อมพูดจาฉะฉาน
“ข้ามีพี่น้องเป็นชาวอวิ๋นโจว จู่ๆ ก็กลับบ้านเกิดเมื่อต้นปี บอกว่าอยู่ที่อวิ๋นโจวหนึ่งปีมานี้ ติดตามจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินไปปราบโจรทุกหนแห่ง เขายังบอกข้าอีกว่าจอมยุทธหญิงนกนางแอ่นเหินก็คือเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์”
สายตาของจอมยุทธ์วัยกลางคนเป็นประกาย เต็มไปด้วยความสงสัยในคำพูดของชายชุดคลุมฟ้าพร้อมเอ่ยถาม “ปราบโจรที่อวิ๋นโจวไฉนจู่ๆ ก็กลับบ้านเสียล่ะ”
ชาวยุทธ์ชุดคลุมฟ้าเย้ยหยัน “แน่นอนว่าการปราบโจรสิ้นสุดลงแล้ว เมื่อปลายปีของปีที่แล้วราชสำนักส่งสองฆ้องทองคำและกลุ่มฆ้องเงินไปอวิ๋นโจวด้วยตนเอง ขุดรากถอนโคนโจรภูเขาที่อวิ๋นโจว ตอนนั้นฆ้องเงินสวี่จากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นั้นก็อยู่ในนั้นด้วย ว่ากันว่าเกือบตายงั้นหรือ”
ชาวยุทธ์ที่ทราบเหตุการณ์ก็เปิดปากเอ่ยขึ้นในบัดดล “ไม่ใช่เกือบแต่ตายจริงๆ “
“ไร้สาระ ตายแล้วยังฟื้นได้อีกหรือ”
“เฮ้อ พอเห็นพวกไส้แห้งคร่ำครึแบบพวกเจ้าก็รู้เลยว่าไม่มีปัญญาไปสำนักสังคีต ฆ้องเงินสวี่ผู้นั้นเป็นแขกประจำของสำนักสังคีต สุ่มเลือกสักลานและลองถามหญิงสาวในนั้นก็จะได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับฆ้องเงินสวี่มากมาย” ชาวยุทธ์ที่ทราบเหตุการณ์ผู้นั้นเอ่ย
“ว่ากันว่าตอนนั้นสมุหเทศาภิบาลของอวิ๋นโจวนำทัพก่อกบฏ กองทหารม้านับหมื่นรุมโจมตีผู้ตรวจการและกลุ่มคน ขณะที่ทุกคนหมดหวัง ฆ้องเงินสวี่หนึ่งคนหนึ่งดาบสกัดกองทัพกบฏนับหมื่นไว้เหมือนกับที่เขาสกัดเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารจำนวนมากเอาไว้เมื่อไม่กี่วันก่อน สังหารความมืดในสังคม เดือนตะวันไร้แสง ท้ายที่สุดก็อ่อนแรงจากไป ทว่าก็ยื้อจนกองกำลังเสริมมาถึง สถานการณ์จึงพลิกผัน”
ภายในโถงฮือฮา ไม่ว่าจะเป็นชาวยุทธภพหรือประชาชนธรรมดาล้วนตะลึงงัน
“สกัดคนนับหมื่นด้วยตัวคนเดียว มียอดฝีมือระดับนี้บนโลกด้วยจริงหรือ”
“ข้าคิดว่ามีความเป็นไปได้ พวกเจ้าไม่ได้ดูพิธีต้าวฮวดหรือ ฆ้องเงินสวี่เป็นผู้มีพรสวรรค์ แม้แต่พระอรหันต์แห่งสำนักพุทธยังต้องยอมรับความพ่ายแพ้”
“แต่ข้าได้ยินว่าท่านโหราจารย์กำลังช่วยเขาอยู่”
“หุบปาก ฆ้องเงินสวี่อาศัยพลังของตนเอาชนะสำนักพุทธ เกี่ยวอะไรกับท่านโหราจารย์ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าว่าร้ายวีรบุรุษแห่งต้าฟ่ง”
…
อารามรัตนะ ลานเล็กอันเงียบสงบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งมือไพล่หลังยืนอยู่ริมสระ จ้องมองนักพรตหญิงผู้งามเลิศที่นั่งขัดสมาธิพร้อมหลับตานั่งสมาธิอยู่เหนือสระน้ำ
“ฮึ ท่านราชครู หลังจากผ่านศึกนี้ อย่างสั้นก็สามเดือนหรืออย่างนานก็หนึ่งปี ผู้นำเต๋าจากนิกายสวรรค์จะเข้าสู่เมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้นท่านราชครูก็ไม่ปลอดภัยแล้ว”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดถอนพระทัย “ส่วนมากท่านโหราจารย์จะไม่สอดมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้”
หากได้ท่านโหราจารย์ถือหาง ประกอบกับพลังของลั่วอวี้เหิง การรับมือผู้นำเต๋าจากนิกายสวรรค์คนเดียวก็มีเหลือเฟือ
แน่นอนว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทราบว่านี่เป็นเรื่องเพ้อฝัน ในบรรดายอดฝีมือขั้นหนึ่งแทบจะไม่มีเหตุผลพิเศษที่จะลงมือทำ นอกจากนี้ ท่านโหราจารย์หมางเมินต่อท่าทีของนิกายมนุษย์ มุ่งหวังให้เขาลงมือต่อต้านผู้นำเต๋าจากนิกายสวรรค์ ซึ่งความเป็นไปได้ช่างเลือนราง
“หากราชครูมิอาจก้าวเข้าสู่ขั้นหนึ่งได้ แม้ฉู่หยวนเจิ่นจะชนะก็ไม่มีความหมายนัก” จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงส่ายหน้า
สองนิกายมนุษย์และสวรรค์มีกฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง ก่อนที่ผู้นำเต๋าจะต่อสู้ ศิษย์จากสองสำนักจะต้องประลองฝีมือกันเสียก่อน ฝ่ายที่แพ้ต้องให้ฝ่ายตรงข้ามออกสามกระบวนขณะรอสงครามสวรรค์กับมนุษย์ที่แท้จริง
ทว่าลั่วอวี้เหิงเป็นเพียงขั้นสอง ซึ่งต่างกับผู้นำเต๋านิกายสวรรค์มากเกินไป แม้ฉู่หยวนเจิ่นจะชนะ นางก็มีช่วงวิกฤตจากสามกระบวนและพ่ายแพ้ในท้ายที่สุดอยู่ดี
“มีวิธีใดบ้างที่จะเลื่อนสงครามสวรรค์กับมนุษย์ครั้งนี้ออกได้” จักรพรรดิหยวนจิ่งตรัสถาม
เขาไม่ได้บอกจะขัดขวาง เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง แม้เขาจะเป็นจักรรพรรดิก็มิอาจควบคุมสงครามแนวคิดของลัทธิเต๋าระหว่างยอดฝีมือขั้นสองกับขั้นหนึ่งได้
ลั่วอวี้เหิงลืมตาขึ้น แสงสว่างวาววับ แล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “แยกแพ้ชนะไม่ได้ก็เป็นอันสิ้นสุด”
แยกแพ้ชนะไม่ได้…จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงขบคิดกับประโยคนี้ แล้วตรัสอย่างจำใจ “เว้นเสียแต่หลี่เมี่ยวเจินจะเห็นด้วย”
ลั่วอวี้เหิงลังเลสักพักก่อนจะเอ่ย “มีวิธีที่ง่ายดายยิ่งกว่า…”
…
จวนสกุลสวี่
สวี่ต้าหลางที่กำลังหยอกล้อกับเสี่ยวโต้วติงในลานบ้านพลันได้ยินเสียงร้องแหลมเล็กของแมว เมื่อหันหน้ามองก็มีแมวส้มนั่งอยู่บนกำแพง
“หลิงอิน เจ้าไปเล่นกับท่านอาจารย์ก่อน พี่ใหญ่มีเรื่องสำคัญต้องทำ” สวี่ชีอันลูบหัวน้องสาว
“ได้เยย พี่หย่าย วันนี้ข้าอยากกินอาหารของหอคอยกุ้ยเยว่” สวี่หลิงอินจับนิ้วของพี่ใหญ่
“ได้สิ อีกสักประเดี๋ยวจะออกไปซื้อให้เจ้า รีบไปเร็ว” สวี่ชีอันใช้นิ้วจิ้มหน้าผากของนาง
สวี่หลิงอินกระโดดโลดเต้นวิ่งออกไปอย่างเริงร่า
แมวส้มถือโอกาสเข้าไปในลาน เดินด้วยจังหวะก้าวที่สง่ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมเอ่ยภาษามนุษย์ “หลี่เมี่ยวเจินออกจดหมายท้าประลองแล้ว”
สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้ารู้”
แมวส้มเผยรอยยิ้มแบบมนุษย์พร้อมเอ่ย “อาตมาต้องการให้เจ้าช่วยอะไรบางอย่าง”
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบและมองเขาอย่างเงียบๆ
คนหนึ่งคนและแมวหนึ่งตัวสบตากันอยู่นาน สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “ท่านนักบวช มิใช่ว่าท่านคิดจะหลอกข้าอีกแล้วหรือ”
แมวส้มส่ายหน้า “ใต้เท้าสวี่ อาตมาเคยหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร”
นี่…สวี่ชีอันทอดถอนใจ “ท่านมาหาข้าช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ข้าสังหรณ์ใจไม่ดีเลย”
………………………………………………
[1] เวลา 5.45 น.