ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 329 เขามาแล้ว
บทที่ 329 เขามาแล้ว
“เทพธิดานิกายสวรรค์และพี่ใหญ่เป็นสหายกัน ทั้งสองได้พบกันในคดีอวิ๋นโจวเมื่อปีก่อน เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ต่อสู้อย่างกล้าหาญร่วมกับพี่ใหญ่เพื่อกำจัดศัตรู ปราบกบฏกองโจรภูเขา ทั้งสองแบ่งปันเวลาแห่งความรุ่งเรือง ความทุกข์ยาก จนเกิดเป็นมิตรภาพลึกซึ้ง…” สวี่ซินเหนียนเล่าไปพลาง จิบชาไปพลาง
เรื่องพวกนี้พี่ใหญ่เป็นคนบอกเขาเอง และท่านแม่ก็เคยบอกเขาเช่นกันว่าเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ได้จัดตั้งกองทัพในอวิ๋นโจวเพื่อปราบปรามพวกโจรกบฏเมื่อปีก่อน….ที่ท่านแม่รู้เรื่องนี้ ก็เพราะเทพธิดานิกายสวรรค์บอกนางด้วยปากของตนเอง
‘เทพธิดานิกายสวรรค์และฆ้องเงินได้สร้างมิตรภาพลึกซึ้งต่อกันหรือ’
หวางซือมู่ตกตะลึง แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ใบหน้าของนางผุดรอยยิ้มอ่อนโยน และเอ่ยขึ้น “ข้าได้ยินมาจากแขกในจวนของเทพธิดานิกายสวรรค์หลี่เมี่ยวเจินแข็งแกร่งถึงขั้นสี่เลยทีเดียว และแม้ว่าต้องต่อสู้กับฉู่หยวนเจิ่นที่ฝีมือไม่ด้อยไปกว่ากัน แต่ในเมืองหลวงนั้น มีคนหนุ่มสาวเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีวรยุทธ์ฝึกตนขั้นสี่”
‘ฉู่หยวนเจิ่นไม่ใช่หนุ่มสาวอีกแล้วสินะ’…สวี่ซินเหนียนพยักหน้าพลางกล่าว “ตัวเอกทั้งสองของการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์นั้นแท้จริงแล้วคือมังกรและหงส์ในหมู่มนุษย์”
หวางซือมู่กล่าวขึ้นบ้าง “อย่างไรก็ตาม ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ฆ้องเงินก็จะเทียบเคียงกับสองคนนี้ได้อย่างแน่นอน หลังจากพิธีต้าวฮวด ในเมืองหลวงต่างร่ำลือกันว่าพรสวรรค์ของฆ้องเงินไม่ได้ด้อยกว่าอ๋องสยบแดนเหนือเลย”
สวี่ซินเหนียนเชิดกรามของเขาขึ้นเล็กน้อย พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “วรยุทธ์ของพี่ใหญ่ยังคงอ่อนด้อยอยู่หลายส่วน ข่าวลือพวกนั้นล้วนแต่เป็นคำประจบสอพลอ”
‘แต่ดูท่าทางเขาจะภูมิใจมากทีเดียว…กะแล้วว่าการชมสวี่ชีอันนั้นสามารถซื้อใจสวี่ฉือจิ้วได้’…หวางซือมู่ประเมินอยู่ในใจ
รถม้าแล่นต่อไปช้าๆ และที่ประตูเมืองชั้นในนั้นเอง พวกเขาก็บังเอิญพบเข้ากับขบวนรถของฮว๋ายชิ่งและหลินอัน รถม้าสองคันที่ทำจากไม้หนานมู่สีทองนั้นจอดอยู่ที่ประตูเมือง
“องค์หญิง พระองค์ว่านั่นเป็นรถม้าของคุณหนูหวางหรือไม่เพคะ?”
นางกำนัลเลิกม่านขึ้นมองทิวทัศน์ด้านนอก ก็เห็นว่าเป็นรถม้าของหวางซือมู่ จึงรีบหันหน้ามายิ้มให้หลินอันแล้วเอ่ยถาม
“เป็นรถม้าของพี่ซือมู่จริงๆ” หลินอันเอนกายไปมองแล้วก็ยิ้มตากว้าง เอ่ยสั่งทันที “บอกนางว่า ข้าเชิญให้นางมานั่งรถม้าด้วยกัน”
นางกำนัลรับคำทันทีพร้อมกับตะโกนสุดเสียง
อีกด้านหนึ่ง หวางซือมู่ที่อยู่ในรถม้าก็ได้ยินเสียงเรียกจึงเปิดม่านออกด้วยความประหลาดใจ ก็เห็นเป็นผ้าม่านไหมสีเหลืองของรถม้าหนานมู่สีทองที่อยู่ตรงข้าม ปักเป็นคำว่าหลินอันอยู่ตรงนั้น
นางยิ้มตอบทันที “องค์หญิงหลินอัน”
หลินอันผลักนางกำนัลออกไป ยกม่านขึ้นด้วยมือของนางเอง กล่าวใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่ซือมู่จะไปที่แม่น้ำเว่ยเพื่อชมการต่อสู้ใช่หรือไม่”
“เพคะ” หวางซือมู่เพียงตอบรับสั้นๆ
หลินอันพลันรู้สึกยินดี ดวงตาดอกท้อของนางหยักโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว รีบโบกไม้โบกมือไปมา “มาเถิด มานั่งรถม้าของข้าดีกว่า”
ขณะที่หวางซือมู่กำลังคิดว่าจะตอบอย่างไรดีนั้นเอง คิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันทันที รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแล้วไออย่างรุนแรง
หลินอันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหรือ”
หวางซือมู่กล่าวอย่างจนใจ “ไม่กี่วันก่อนหม่อมฉันเป็นหวัด กินยาไปก็หลายชุดแล้วเพคะ แต่ว่าก็ไม่ได้เป็นอะไรหนักมากมาย แต่ถึงอย่างนั้น แม้ไม่ใช่โรคไข้หวัดร้ายแรง ก็ไม่ควรแพร่เชื้อให้องค์หญิง”
ใบหน้าของหลินอันเศร้าหมองลงในทันที แต่ถึงกระนั้นก็ยังบอกให้คุณหนูหวางพักผ่อนให้เพียงพอ
หวางซือมู่ยิ้มรับ ตอนนั้นเองนางก็เห็นว่ารถม้าอีกคันด้านหน้าเลิกม่านขึ้นเช่นกัน และใครบางคนในนั้นกำลังมองมาทางนางด้วยสายตาเย็นชา
ชั่วพริบตา สัญชาตญาณก็ร้องเตือนให้นางระวังตัวทันที นางสัมผัสได้ถึงความคิดทั้งหมดของอีกฝ่ายชัดเจน
นางฝืนยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะลดม่านลง
รถม้าแล่นออกไปได้สักพัก หวางซือมู่ก็ถอนหายใจโล่งอก นางตบหน้าอกของตนเบาๆ หันมองไปทางสวี่ซินเหนียนแล้วเอ่ย “ข้ากลัวที่สุดว่าจะต้องปะทะกับองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง นางฉลาดเกินไป”
สวี่ซินเหนียนยิ้ม
ด้วยใจที่เปิดกว้างและความตั้งใจแน่วแน่ เพียงเท่านั้นก็สามารถเผชิญกับทุกสถานการณ์ได้อย่างสงบ แม้จะมองเห็นถึงความคิดภายในใจก็ไม่สำคัญ
เรื่องพวกนี้สวี่เอ้อร์หลางฝึกฝนมาเนิ่นนานจากประสบการณ์การตกตายทางสังคมหลายต่อหลายครั้ง
ชีวิตคืออาจารย์ที่ดีที่สุด
รถม้าหนานมู่สีทองทั้งสองคันจอดรออยู่ที่ประตูเมืองชั้นในครู่ใหญ่ ในที่สุดฆ้องทองคำทั้งแปดก็มาถึง ตามมาด้วยฆ้องเงินอีกสิบกว่านาย และฆ้องทองแดงอีกสามสิบนาย ทั้งหมดขี่ม้าเข้ามาเป็นขบวน
ฆ้องทองคำคนสุดท้ายประจำการอยู่ ณ ที่ทำการการปกครองหลายวัน ออกไปไหนไม่ได้
เมื่อเห็นการปรากฏตัวของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ยายตัวร้ายก็หน้าเปลี่ยนสีทันที นางคิดอยู่เสมอว่ามีทหารองครักษ์น้อยเกินไปที่จะรับรองความปลอดภัยของตัวเองและฮว๋ายชิ่งในสภาพแวดล้อมที่คนพลุกพล่าน
เพื่อรักษาความไว้เนื้อเชื่อใจในตัวฮว๋ายชิ่ง ยายตัวร้ายจึงไม่ได้ถามอะไรออกไป
‘มีฆ้องทองคำและฆ้องเงินมากขนาดนี้ แม้จะต้องเชิญหน้ากับทหารหลายพันนาย ข้าและฮว๋ายชิ่งก็จะปลอดภัย’ ยายตัวร้ายรู้สึกโล่งใจในทันที
ฮว๋ายชิ่งเลิกม่านขึ้น กวาดสายตามองก่อนจะขมวดคิ้ว “แล้วสวี่หนิงเยี่ยนเล่า”
เจียงลวี่จงส่ายหน้าพลางแสยะยิ้ม “สามวันจับปลา สองวันตากแห ปกติก็มักจะหาตัวไม่เจอ และไม่มีใครรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า แล้วปิดม่านลง กองกำลังทั้งหมดเริ่มเคลื่อนขบวน ผ่านเมืองชั้นนอก และหลังจากรถม้าแล่นอยู่บนถนนสายหลักกว่าครึ่งชั่วยาม มันจึงค่อยๆ ผ่อนความเร็วแล้วจอดสนิท
“องค์หญิง จากนี้ไปต้องเดินเท้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หัวหน้าทหารองครักษ์กล่าว
ฮว๋ายชิ่งและหลินอันลงจากรถม้า ทั้งสองแต่งกายด้วยชุดทะมัดทะแมงเข้ารูป เห็นส่วนเว้าโค้งชัดเจน เผยให้เห็นถึงความอวบอิ่มของเรือนร่าง
คนหลังคาดเอวด้วยผืนผ้า เมื่อเคลื่อนไหวชายผ้านั้นก็พลิ้วไหวตามแรงลม แม้ว่าจะไม่ได้แสดงพฤติกรรมเย้ายวนอันใด แต่หลินอันกลับมีเสน่ห์มากกว่าฮว๋ายชิ่งพี่สาวของนาง
ฮว๋ายชิ่งและหลินอันออกจากถนนเส้นหลักแล้วเดินเข้าสู่ดินแดนรกร้างเต็มไปด้วยวัชพืชภายใต้การปกป้องคุ้มครองของทหารองครักษ์ และหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หลังจากเดินได้ประมาณหนึ่งเค่อแล้ว กางเกงของหลินอันและรองเท้าผ้าฝ้ายนั้นก็เปรอะเปื้อนด้วยน้ำค้างและใบหญ้า
“คนเยอะเสียจริง…”
หลินอันหยุดฝีเท้าฉับพลัน แล้วถอนหายใจออกมา
แม่น้ำเว่ยกว้างขวางราวยี่สิบจั้ง ในช่วงฤดูน้ำหลาก ความกว้างของผิวแม่น้ำอาจสูงถึงสามสิบจั้งเลยทีเดียว เวลานี้ ฝูงชนจำนวนมากยืนอยู่บนสองฝั่งของแม่น้ำเว่ย ชาวยุทธ์ทั้งหลายต่างพกดาบแนบกายไว้พากันออกมาจากเมืองหลวงเพื่อชมความตื่นเต้น
นอกจากนี้ยังมีพวกลูกผู้ดีมีเงิน ข้าราชการ ตลอดจนขุนนางที่ลางานออกมาชมการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ในครั้งนี้
แน่นอนว่าบัณฑิตจากราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่ก็มาร่วมงานไม่น้อยเลยทีเดียว รวมถึงคุณหนูหวางซือมู่ด้วยเช่นกัน
คนพวกนี้พาองครักษ์มาด้วยหลายสิบนาย เข้ายืดพื้นที่ที่ดีที่สุดไว้เป็นของตน
“เตรียมพื้นที่ด้วย”
เมื่อฮว๋ายชิ่งเลือกจุดที่ดีที่สุดได้แล้ว ก็โบกมือสั่งการให้ทหารองครักษ์ทำงาน
“พวกเจ้าขุนมูลนายมาอีกแล้วหรือ”
“สตรีผู้นั้นงดงามนัก อ่า…เหตุใดถึงมีพวกฆ้องทองคำคุ้มกันมากเพียงนั้น?!”
ชาวยุทธ์ที่ถูกไล่ออกไปดูเหมือนจะคุ้นชินกับสถานการณ์นี้ดี ด่าไม่หยุดปาก ในใจต่างไม่พอใจกับการกระทำของฮว๋ายชิ่ง
“นางเป็นองค์หญิงใหญ่ของต้าฟ่ง นามว่าฮว๋ายชิ่ง” ใครคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“นึกออกแล้ว เมื่อพิธีต้าวฮวดตอนนั้น นางอยู่ข้างๆ จักรพรรดิ”
“องค์หญิงใหญ่แห่งต้าฟ่งของเราช่างรูปโฉมงดงามยิ่ง นี่นางอภิเษกสมรสแล้วหรือยัง พระสวามีของนางคือผู้ใด”
“องค์หญิงทั้งสี่ยังไม่มีคนไหนอภิเษกสมรสเลย พวกนางต่างรอเวลาที่เหมาะสม ผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ นั้นก็คือ องค์หญิงรองหลินอัน ข้าคิดว่าองค์หญิงหลินอันพระองค์นี้…”
ใจจริงอยากจะแสดงความเห็นสักคำสองคำ แต่ก็คิดได้ว่าพวกฆ้องทองคำหูตาไว มีความเป็นไปได้ว่าอาจได้ยินสิ่งที่เขาเอ่ยออกไป ดังนั้นจึงหุบปากลงทันที ไม่เอ่ยถึงเรื่ององค์หญิงอีก
ยายตัวร้ายสอดส่ายสายตาท่ามกลางฝูงชน มองไปทางซ้ายและขวา ก่อนจะขมวดคิ้วเอ่ย “สุนัขรับใช้เล่า ฮว๋ายชิ่ง สุนัขรับใช้อยู่ที่ใด”
ฮว๋ายชิ่งไม่สนใจนาง
“หลบไป หลบไป…”
ตอนนั้นเองเสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น ยายตัวร้ายและฮว๋ายชิ่งรีบหันไปมอง ก็เห็นว่าพวกทหารติดอาวุธหลายสิบนายกำลังถือฝักดาบขับไล่ฝูงชนออกไป
ทหารหุ้มเกราะปกป้องสตรีผู้หนึ่งที่สวมหมวกคลุมหน้าใบหนึ่งเอาไว้ ชายผ้านั้นห้อยลงมาจากปีกหมวกปกปิดใบหน้า ไม่ว่าวรยุทธ์จะสูงส่งเพียงใด ก็ไม่สามารถมองเห็นใบหน้าที่แท้จริงของสตรีผู้นั้นผ่านเกราะป้องกันถึงสองชั้นได้แน่นอน
“พระมเหสีมาแล้ว พวกเรารีบเข้าไปทักทายกันเถอะ” ยายตัวร้ายหันมองไปทางฮว๋ายชิ่ง
ฮว๋ายชิ่งหันมองด้วยความเย็นชา คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจ
พวกฆ้องทองคำต่างรีบหันไปมองพระมเหสีที่รายล้อมไปด้วยเหล่าองครักษ์ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสงสัย
พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือเป็นที่รู้จักกันในฐานะหญิงงามอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง แต่น้อยคนนักที่จะได้ยลโฉมนาง หากแต่สำหรับเหล่าฆ้องทองคำแล้วนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้พบเห็นนาง ถึงกระนั้นทุกครั้งที่ปรากฏกายก็จะมีบางอย่างมาบดบังใบหน้าของนางเอาไว้อยู่เสมอ
“แม้แต่นางก็มา พิธีต้าวฮวดครั้งก่อนก็ไม่ทำให้พระมเหสีตื่นเต้นได้เลย” เจียงลวี่จงถอนหายใจออกมา
“พิธีต้าวฮวดนี้มีอะไรน่าดูกัน ต้องการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์สิ หกสิบปีมีครั้งหนึ่ง คนเล่าลือกันมาเป็นเดือน มีใครไม่สนใจบ้างหรือ” จางไคไท่กล่าว
เวลานี้ถึงยามเหม่าแล้ว อีกประมาณสามเค่อก็จะถึงเวลาต่อสู้
ผู้คนหลายร้อยคนรวมตัวกันที่ริมฝั่งแม่น้ำเว่ย ประชาชนสีหน้าตื่นเต้นตั้งตารอคอยการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง
ด้านนอกฝูงชน มีการตั้งแผงขายชาและอาหารเช้า หากแต่ราคากลับสูงลิ่วยิ่งกว่าในเมืองหลวงหลายเท่า
สีหน้าของชาวยุทธ์ยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยความคาดหวังและตื่นเต้น การต่อสู้นี้มีเพียงหนึ่งครั้งทุกๆ หกสิบปีเท่านั้น
“เอ๋ พวกเจ้าดูสิ หลิ่วอวิ๋นจากสำนักดาบคู่ก็มาด้วย คนข้างๆ นางคือเจ้าสำนักเฉิงเฮิ่นเซิงไม่ใช่รึ” เสียงของใครบางคนเอ่ยขึ้น
เมื่อหันไปทางต้นเสียงก็เห็นว่าชาวยุทธ์กลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา เอกลักษณ์อันโดดเด่นของพวกเขาคือสะพายดาบโค้งสองเล่มเอาไว้ที่หลัง ผิวเข้ม คิ้วคม
หนึ่งในนั้นยังมีสาวน้อยคนหนึ่ง หน้าตางดงามโดดเด่น สีผิวดุจข้าวสาลี ดวงตาเฉียบคมดุจแม่เสือดาวที่แข็งแรงดุร้าย
นางเดินตามชายวัยกลางคนหนึ่งไปข้างหลัง ชายผู้นี้ท่าทางเก็บตัว ดูไม่เฉียบแหลมเท่ากับชายที่เดินตามมาด้านหลัง
…
“คนของสำนักดาบหลูหยาก็มาด้วย กระบี่ผีเสื้อหลานฉ่ายอีงดงามสมคำร่ำลือจริงๆ”
“วรยุทธ์ของเจ้าสำนักหลานหวนตอนนี้อยู่ในขั้นใดแล้ว? ข้าจำได้ว่าปีที่แล้วมีข่าวลือว่าเขาทะลวงระดับจอมยุทธ์ขั้นสี่ได้แล้ว”
“ข้าเห็นแม่นางหรงหรงจากหอหมื่นบุปผาด้วย ฮ่าๆ ช่างเป็นหญิงที่ทรงเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ”
“ภิกษุพวกนั้นมาจากวัดมังกรเขียวหรือไม่”
เมื่อเวลาแห่งการต่อสู้อันใกล้เข้ามา ปรมาจารย์ด้านวรยุทธ์ก็เดินทางมาถึงมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่างจากเหล่าชาวยุทธ์ทั่วไป เพราะแต่ละคนต่างมีชื่อเสียงเรียงนามเป็นถึง ‘ผู้ยิ่งใหญ่’
เจ้าสำนักหลูหยา หลานหวนเลือกที่นั่งดีๆ พร้อมกับทิวทัศน์กว้างขวาง จากนั้นจึงหันไปมองเจ้าสำนักดาบคู่ที่อยู่ไม่ไกลแล้วกอบหมัดคำนับ
“เสียงเล่าลือว่าวรยุทธ์ของท่านเจ้าสำนักดาบคู่นั้นล้ำลึกยิ่งนักวันนี้ได้มาพบท่าน สมคำร่ำลือจริงๆ”
ช่างเป็นการเปิดตัวที่ไม่ธรรมดา
เจ้าสำนักดาบคู่ผู้มีสีผิวคมเข้มเอ่ยตอบเสียงเรียบ “คงไม่อาจเทียบของปรมาจารย์หลานหวนได้”
เขายังไม่ถึงขั้นสี่อีกหรือ
อะไรกัน เจ้าสำนักดาบคู่เทียบกับเจ้าสำนักหลูหยาไม่ได้งั้นหรือ
ดวงตาของชาวยุทธ์ลุกวาว ใบหน้าแสดงถึงความตื่นเต้น ต่อไปถึงเวลาคุยโม้กับญาติสนิทมิตรสหาย พวกเขาจะเอา ‘ความลับ’ ที่ตนได้รู้ไปเรียกความสนใจ
ตอนนั้นเองหลิ่วอวิ๋นและกระบี่ผีเสื้อหลานไฉ่อีก็หันมาสบตากันด้วยความบังเอิญ หลานไฉ่อียืดอกด้วยความลำพองใจ
หากแต่หลิ่วอวิ๋นกลับหรี่ตาและมองด้วยสายตาเหยียดหยาม
หลานหวนว่าต่อ “ท่านเจ้าสำนัก ในการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์นี้ ท่านคิดว่าฝ่ายใดมีโอกาสชนะมากกว่ากัน”
“สองนิกายแห่งสวรรค์และมนุษย์ต่อสู้กันมานานนับพันปีแล้ว ผลัดกันแพ้ชนะ พวกเราอย่าได้เทียบว่าใครสูงใครต่ำกว่ากันเลย แต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วระหว่างฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจิน ข้าคิดว่าฉู่หยวนเจิ่นมีโอกาสชนะมากกว่า” เจ้าสำนักดาบคู่กล่าว
“เพราะเหตุใดหรือ” หลานหวนถามกลับด้วยรอยยิ้ม
“เมื่อหกปีก่อน ฉู่หยวนเจิ่นได้รับการยกย่องจากเว่ยเยวียนว่าเป็นนักดาบอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ในขณะนั้นหลี่เมี่ยวเจินยังเป็นเพียงเด็กน้อย จากภูมิหลังนี้เพียงอย่างเดียว เขาก็ได้แซงหน้าหลี่เมี่ยวเจินไปแล้ว” เจ้าสำนักดาบคู่กล่าว
แต่หลานหวนกลับไม่เห็นด้วย “ท่านคงไม่รู้ แม้ว่าฉู่หยวนเจิ่นเป็นศิษย์ของนิกายมนุษย์แต่ก็เดินทางสายวรยุทธ์ ฝึกฝนดาบนิกายมนุษย์ แต่กลับเกิดปัญหาขึ้น หากแต่หลี่เมี่ยวเจินเป็นเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ซึ่งเดิมทีมีพื้นฐานจากเหมียวหง”
เรื่องนี้ยังมีเบื้องลึกเบื้องหลังอีกมาก…เหล่าชาวยุทธ์มุงทั้งหลายรับฟังด้วยความสนอกสนใจ
ตอนนั้นเอง ใครบางคนก็ถามขึ้นมาเสียงดัง “ท่านทั้งสอง ช่วยเปรียบเทียบกับฆ้องเงินสวี่ของพวกเราได้หรือไม่”
หลานหวนได้ยินเช่นนั้นก็เพียงแค่ยิ้มออกมา ไม่ได้ตอบกลับ
เจ้าสำนักดาบคู่ยิ้มเยาะ
“จองหองนัก พวกเจ้าทั้งสอง นี่มันหมายความว่าอย่างไร”
ชาวเมืองเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมาบ้างแล้ว
กระบี่ผีเสื้อหลานไฉ่อีมองไปรอบๆ เอ่ยเสียงดังกังวาน
“แม้ว่าฆ้องเงินสวี่จะเก่งกาจ ความสามารถเทียบได้กับอ๋องสยบแดนเหนือ แต่เขาก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นเจ็ดเท่านั้น ขณะที่ฉู่หยวนเจิ่นศิษย์นิกายมนุษย์และหลี่เมี่ยวเจินศิษย์นิกายสวรรค์นั้น คนแรกเคยต่อสู้กับฆ้องทองคำขั้นสี่อย่างสูสีเมื่อหลายปีก่อน แม้ว่าจะพ่ายแพ้ แต่เวลาผ่านไปหลายปีเช่นนี้ พลังของเขาย่อมไม่ด้อยไปกว่าขั้นสี่
ส่วนหลี่เมี่ยวเจินที่กล้ามายื่นสาส์นท้ารบถึงเมืองหลวง ก็แสดงว่าอยู่ในขั้นสี่แล้วอย่างแน่นอน”
ชาวเมืองไม่เข้าใจในวรยุทธ์ แต่การแบ่งลำดับขั้นง่ายๆ นั้นพวกเขาเข้าใจดี ที่แท้ฆ้องเงินสวี่ผู้เป็นวีรบุรุษของพวกเขา ก็เป็นเพียงจอมยุทธ์ขั้นเจ็ดเองหรือ?
ส่วนตัวเอกทั้งสองในการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ครั้งนี้ แท้จริงแล้วอยู่ในขั้นสี่ทั้งคู่
“หึ กล้าใส่ร้ายฆ้องเงินสวี่เช่นนี้ ทุกคนขว้างก้อนหินใส่นางเร็ว”
“หน้าตางดงามหมดจด แต่คำพูดคำจากลับน่ารังเกียจนัก”
ชาวเมืองต่างรู้สึกผิดหวังมาก ความโกรธของพวกเขาทวีขึ้น และเริ่มระบายโทสะใส่กระบี่ผีเสื้อหลานไฉ่อีกันยกใหญ่
“เฮอะ สุนัขรับใช้อยู่ในขั้นหกต่างหากเล่า” ยายตัวร้ายถ่มน้ำลาย
นางรู้สึกหงุดหงิด เพราะสำหรับหลินอันแล้ว สุนัขรับใช้ของตนเป็นถึงวีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ผุ้ขับไล่กองกบฏนับพันในอวิ๋นโจว เป็นตัวแทนสำนักโหราจารย์กำราบสำนักพุทธ
มีเพียงอัจฉริยะผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นจะสามารถทำได้
นางรู้สึกว่าสุนัขรับใช้นั้นเยี่ยมยอดที่สุดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับโดนคนอื่นเอามาเปรียบเทียบ วิเคราะห์กันไปต่างๆ นานาและนางก็ต้องพบว่าสุนัขรับใช้บรรลุเพียงขั้นเจ็ดเท่านั้น
ช่องว่างขนาดใหญ่นี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง
“ในต้าฟ่งนี้ คนหนุ่มสาวที่มีวรยุทธ์ขั้นสี่ นับนิ้วได้ไม่เกินห้านิ้ว” ตอนนั้นเอง ชาวยุทธ์คนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดดำก็เอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“อืม แน่นอนว่าฆ้องเงินสวี่เองก็เรียกได้ว่าเป็นจอมยุทธ์ขั้นสี่ แต่ตอนนี้เขายังเด็กเกินไป อีกทั้งยังห่างชั้นจากฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินมากนัก” ชาวยุทธ์อีกคนกล่าวเสริม
‘ตูม!’
หินก้อนหนึ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ
ชาวยุทธ์ผู้นั้นโกรธจัด แต่เขาไม่กล้าโจมตี เพราะนี่เป็นเขตเมืองหลวง รายล้อมด้วยชนชั้นสูงและยอดฝีมือจากราชสำนัก ถ้าเขาทำร้ายชาวเมือง เขาจะต้องโทษสถานหนักจากราชสำนักแน่นอน
“ไร้สาระ ฆ้องเงินสวี่จัดการร่างทองได้ภายในดาบเดียว เก่งกาจไร้เทียมทาน จะเป็นเพียงขั้นเจ็ดได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว ถ้าฉู่หยวนเจิ่นอะไรนั่นเก่งกาจถึงปานนั้น เหตุใดเขาไม่ไปร่วมพิธีต้าวฮวดแล้วทำลายร่างทองของภิกษุน้อยผู้นั้นเองเล่า”
“ในความคิดของข้า ในบรรดายอดฝีมือรุ่นเยาว์ในเมืองหลวง มีเพียงฆ้องเงินสวี่เท่านั้นที่เก่งกาจที่สุด พวกเจ้ามันโง่งม จึงมองไม่เห็นศักยภาพของฆ้องเงินสวี่”
ทุกคนต่างตอบโต้กันอย่างดุเดือด เสียงก่นด่าระงมไปทั่วทุกสารทิศ
แต่เมื่อเห็นว่าพวกจอมยุทธ์เลื่องชื่อคนอื่นๆ ไม่มีใครพูดแก้ต่างให้กับฆ้องเงินสวี่ พวกเขาจึงเริ่มคล้อยตามความจริงข้อนี้
ความผิดหวังต่างกัดกินหัวใจของแต่ละคน
ตอนนั้นเองก็มีเสียงหวีดหวิวของสายลมดังขึ้น พร้อมกับร่างของคนผู้หนึ่งที่ขี่กระบี่บินปรากฏตัวขึ้นเหนือแม่น้ำเว่ย
บุรุษผู้นี้แต่งกายในชุดสีเขียว หน้าตาหล่อเหลา อายุไม่มาก แต่ก็ไม่น้อย ผมสีขาวเป็นปอยที่ห้อยลงมาบนหน้าผากบอกเล่าถึงประสบการณ์ชีวิตอันโชกโชนของตัวเขา
“ฉู่หยวนเจิ่น!”
ที่ด้านล่าง ฝูงชนต่างโห่ร้องด้วยความประหลาดใจ
เสียงโห่ร้องลดลง จากนั้นเสียงลมหวีดหวิวอีกสายก็ดังขึ้น ไม่นานก็ปรากฏเงาร่างของสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่บนกระบี่บินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของฉู่หยวนเจิ่นอย่างรวดเร็ว
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์สวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋าเรียบง่าย รวบผมปักปิ่นไม้มะเกลือ ใบหน้าทรงเมล็ดแตงโม ดวงตาวาวใสดุจเครื่องเคลือบ ริมฝีปากบาง สวยสะดุดตาสมคำร่ำลือ
เมื่อเห็นฉากนี้ ชาวเมืองที่พากันเดือดดาลเมื่อครู่ก็เงียบกริบทันที
กระบี่บินลอยคว้างกลางเวหา ประหนึ่งเทพเซียนที่อยู่ในตำนานเรื่องเล่า หากเปรียบเทียบกัน ฆ้องเงินสวี่ที่มักจะสัญจรด้วยม้าเป็นส่วนใหญ่ แพ้พ่ายอย่างหมดรูปทีเดียว
“ศึกในวันนี้ จงสู้สุดกำลัง” หลี่เมี่ยวเจินจ้องไปยังนักดาบชุดเขียวเบื้องหน้า
“ดี” ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้า
การต่อสู้ระหว่างผู้นำเต๋า ย่อมเป็นเรื่องของผู้นำเต๋า การต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ในวันนี้เป็นเรื่องของทั้งสองคน
ฉู่หยวนเจิ่นรู้ว่าถ้าลั่วอวี้เหิงไม่สามารถทะลวงขั้นแรกได้ จะเป็นหายนะต่อการต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์นี้ไม่น้อย หากเขาเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้นิกายมนุษย์ก็จะส่งศิษย์คนอื่นๆ มาต่อสู้เรื่อยๆ
แทนที่จะพ่ายแพ้ให้หลี่เมี่ยวเจิน และทำให้นิกายมนุษย์ต้องอับอาย สู้ให้เขาเข้าร่วมจะดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสชนะบ้าง
ถือเสียว่าเป็นการตอบแทนนิกายมนุษย์ของเขา
“ทุกคนถอยออกไปสิบจั้ง” ฉู่หยวนเจิ่นตะโกน
‘พลั่กๆ’ เสียงผู้คนชนกระแทกกันดังขึ้นจากสองฟากฝั่งของแม่น้ำเว่ย เมื่อพวกเขาเริ่มขยับขาถอยออกไป
การต่อสู้ระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ใกล้เข้ามาแล้ว ดวงตานับไม่ถ้วนจ้องไปที่คนสองคนกลางอากาศ นัยน์ตานั้นฉายชัดถึงความกังวลและความตื่นเต้น
ฉับพลัน เสียงไพเราะของฉินสายหนึ่งก็ดังก้องกังวานไปทั่วแม่น้ำเว่ย มันก้องกังวานไปทั่วในทุ่งแห่งแสงอรุณ
เสียงฉินที่ไม่สอดประสานกันแม้แต่น้อยขัดจังหวะของฉู่หยวนเจิ่นและหลี่เมี่ยวเจินจนต้องหยุดชะงัก ทำให้ทั้งสองต้องผ่อนคลายพลังที่สูบฉีด
ฉู่หยวนเจิ่นสังเกตเห็นว่าใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินแข็งทื่อในทันที อดไม่ได้ที่จะมองตามไป…จากนั้น ใบหน้าของฉู่หยวนเจิ่นก็นิ่งค้างไปเช่นกัน
ผู้ชมหันมองไปทางเสียงฉิน เห็นเรือลำหนึ่งล่องมาตามน้ำแต่ไกล ชายหนุ่มร่างสูงยืนตระหง่านบนหัวเรือ มือถือดาบเอาไว้ ดวงตาของเขามองตรงไปยังผิวน้ำที่เป็นลูกคลื่น สีหน้าฉายชัดถึงความห้าวหาญ
เขามาแล้ว มาถึงอย่างเชื่องช้า พร้อมกับเพลงประกอบเบื้องหลัง
……………………………………………………….