ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า
บทที่ 335 รอยเลื้อยในพงหญ้า
ใบหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อ ในใจรู้สึกราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัดกระหน่ำ ถูกโจมตีอย่างรุนแรง
ชั่วขณะ สมองของเขาราวกับถูกไฟดูด ฟีโรโมนนับไม่ถ้วนเดือดพล่านไปทั่ว รายละเอียดที่เขาไม่เคยสนใจก่อนหน้านี้ ปรากฏเข้ามาไม่หยุดหย่อน
“เมื่อก่อนข้าไม่เคยเอะใจว่าเบื้องหลังคดีเงินภาษีนั้นมีโหรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งมีจุดที่น่าสงสัยอย่างยิ่ง…ที่แท้ ที่แท้คดีเงินภาษีก็พุ่งเป้ามาที่ข้างั้นหรือ”
สวี่ชีอันรู้สึกชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ
ทบทวนสถานการณ์ของบ้านสกุลสวี่ในคดีเงินภาษี
สวี่ผิงจื้อบกพร่องในการคุ้มกันเงินภาษี ทำให้สูญเสียเงินไปทั้งสิ้นหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง จักรพรรดิหยวนจิ่งมีพระบัญชาให้ตัดหัวสวี่ผิงจื้อต่อหน้าสาธารณชน ผู้ชายสามชั่วโคตรในตระกูลเขาต้องถูกเนรเทศไปยังชายแดน ส่วนสมาชิกฝ่ายหญิงต้องถูกส่งตัวไปยังสำนักสังคีต
กล่าวคือ หากเขาไม่ได้เข้ามาในร่างนี้ หากไม่มีเขาที่พลิกชะตาไขคดีเงินภาษีได้ จุดจบของสวี่ชีอันก็คือต้องถูกเนรเทศ
เนรเทศไปยังชายแดน แล้วทวงคืนโชคชะตาในร่างของข้ากลับมางั้นหรือ
“ในอดีต ข้าเคยคิดว่าโชคชะตาจะหวนคืนกลับมาตามระดับของข้าที่เพิ่มขึ้น ระดับเก้าหนึ่งเหรียญ ระดับแปดสามเหรียญ ระดับเจ็ดห้าเหรียญ…”
“แต่ลองมาคิดดูตอนนี้ มันไม่ใช่เลย หลังจากที่ข้าออกจากคุกมา ข้าก็เริ่มเก็บเงินได้เรื่อยๆ ทั้งที่ตอนนั้นข้ายังอยู่ในระดับหลอมจิตเท่านั้น แต่เหตุใดสวี่ชีอันเจ้าของร่างเดิมถึงไม่เคยเก็บเงินได้เลยล่ะ”
“ความจริงก็คือโชคชะตาที่ซ่อนอยู่ในร่างของข้าเริ่มฟื้นคืนมาในช่วงนั้น ดังนั้นผู้ที่อยู่เบื้องหลังจึงสร้างคดีเงินภาษีขึ้นมา เพื่อ ‘ล่อลวง’ ข้าออกไปจากเมืองหลวง
“แต่ตรรกะตรงนี้ยังมีบั๊กอยู่ ถ้าอยากหลอกล่อข้าให้ออกมาจากเมืองหลวง ความจริงก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนให้ยุ่งยากขนาดนั้นก็ได้ แค่ลักพาตัวข้ามาเฉยๆ ก็จบ ท่านโหราจารย์คอยพิทักษ์เมืองหลวง ผู้บงการเบื้องหลังไม่กล้าเข้ามาในเมืองหลวง เพราะไม่มีวิชาอำพรางกลิ่นอายใดที่สามารถหลอกโหรระดับหนึ่งได้”
“แต่การลักพาตัวมือปราบอำเภอฉางเล่อไปสักคน ก็ไม่จำเป็นต้องให้บอสใหญ่ตัวบงการลงมือเอง ส่งลูกกระจ๊อกตลาดล่างสองสามคนมาจัดการก็จบ”
“เว้นเสียแต่…การหายตัวไปโดยไร้สาเหตุของข้า จะนำมาซึ่งจุดจบที่ไม่อาจควบคุมได้ ดังนั้นจึงต้องหาเหตุผลอันสมควรส่งข้าไปออกไปจากเมืองหลวง โดยอาศัยคดีเงินภาษีสินะ?”
“แต่ข้าเป็นเพียงมือปราบต๊อกต๋อย จะหายตัวไปก็ช่างปะไร ใครมันจะไปสนใจล่ะ แล้วไหนจะปัญหานั่นอีก เหตุใดโชคชะตาจึงเข้าข้างข้าตลอด”
สวี่ชีอันเกิดประกายขึ้นมา และนึกไปถึงคำพูดของลี่น่า “พอท่านย่าแห่งเทียนกู่รู้ว่าข้าอยู่ที่เมืองหลวงก็มีท่าทีตกใจและสับสนอย่างมาก ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดโชคชะตาจึงเข้าข้างข้า”
“หัวขโมยสองคนขโมยโชคชะตาไป และซ่อนไว้ในร่างของเด็กแรกเกิดคนหนึ่งในเมืองหลวง ตามตรรกะของคนทั่วไป ของที่ถูกขโมย ย่อมต้องถูกเอาไปอยู่แล้ว จะยังอยู่ในบ้านได้อย่างไร นั่นจะทำให้เกิดเงาดำใต้โคมไฟ[1]ขึ้น”
“หัวขโมยสองคนใช้กลอุบายนี้เพื่อหลบซ่อนจากท่านโหราจารย์ โหรระดับหนึ่งหรือไม่”
สวี่ชีอันนวดคลึงหว่างคิ้ว และทำสรุปบนกระดาษ “เหตุใดโชคชะตาจึงซ่อนอยู่ในตัวข้า อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ หรืออาจจะมีเหตุผลกลใดแอบแฝง งั้นทิ้งข้อสงสัยไว้ก่อน”
“หลังจากที่โชคชะตาของข้าฟื้นคืนมา ท่านโหราจารย์ก็เริ่มมองเห็นข้า และเริ่มเตรียมแผนการ โดยมองว่าข้าเป็นเบี้ยตัวสำคัญ”
“โหรที่ปรากฏตัวในคดีอวิ๋นโจว มีความเป็นไปได้มากว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้อยู่เบื้องหลัง…”
เมื่อเขียนถึงตรงนี้สวี่ชีอันก็ตกตะลึง และเกิดความสงสัยขึ้นในใจว่า ในคดีอวิ๋นโจวข้าก็ออกไปมาจากเมืองหลวง หลุดพ้นจากการสอดส่องของท่านโหราจารย์แล้ว เหตุใดโหรลึกลับผู้นั้นจึงไม่ลักพาตัวข้าไปล่ะ
นี่ก็เป็นช่องโหว่เชิงตรรกะอีกประการหนึ่ง
เขานวดคลึงศีรษะที่ปวดหนึบ ตั้งใจจะหยุดวิเคราะห์ต่อ รอให้จิตเดิมฟื้นฟูอย่างเต็มที่ จากนั้นค่อยตรวจสอบอีกครั้งอย่างรอบคอบ
สวี่ชีอันเบนความสนใจไปยังคำพูดที่ว่า ‘เทพเจ้ากู่ฟื้นคืนชีพ โลกถึงกาลอวสาน’
“ศาสดาพยากรณ์แห่งเผ่าเทียนกู่ทำนายว่าในอนาคตเทพเจ้ากู่จะฟื้นคืนชีพ และเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นโลกที่มีแต่กู่…ไม่เข้าท่าเลยแฮะ ต่อให้เทพเจ้ากู่เป็นตัวตนที่อยู่เหนือจุดสูงสุด แต่ก็ใช่ว่ามันจะอยู่ยงคงกระพันเสียหน่อย”
ประจิมทิศมีพระพุทธเจ้า อิสานทิศ[2]ก็มีทั้งพ่อมด ปรมาจารย์เต๋าที่หายสาบสูญ และปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่อ้างว่าล่วงลับไปแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงสองคนหลัง ลำพังแค่พระพุทธเจ้ากับพ่อมดก็จัดการเทพเจ้ากู่ให้หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มีได้แล้ว
“แต่คำทำนายของเผ่าเทียนกู่ไม่เคยผิดเพี้ยน งั้นก็แสดงว่ายังมีความลับที่ข้าไม่รู้ เทพเจ้ากู่เป็นเทพอสูรหนึ่งเดียวที่เหลือรอดมาจากบรรพกาล จู่ๆ ข้าก็ค้นพบจุดที่น่าสนใจขึ้นมา ในสมัยบรรพกาล เทพอสูรระดับเหนือจุดสูงสุดต้องมีมากกว่าเทพเจ้ากู่ตัวเดียวแน่
“แต่เหตุใดจึงมีเพียงเทพเจ้ากู่ที่เหลือรอดมาในท้ายที่สุด นี่อาจเป็นเหตุผลที่เทพเจ้ากู่จะนำพากาลอวสานมาสู่โลกก็เป็นได้? ดังนั้น เพื่อจะทำให้เทพเจ้ากู่หลับใหลต่อไป อดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่จึงเลือกที่จะฉกฉวยโชคชะตา และสะกดเทพเจ้ากู่เอาไว้…”
ดวงตาของสวี่ชีอันเบิกกว้างขึ้นทันที ราวกับว่าสายฟ้าฟาดลงมาข้างหู รายละเอียดที่ถูกลืมไปก็วาบผ่านเข้ามาในห้วงความคิดของเขา
ลี่น่า หมายเลขห้าเคยกล่าวไว้ในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีว่า เผ่าพันธุ์กู่ค้นพบรูปปั้นของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อระหว่างการสำรวจหุบเหวลึก
“รูปปั้นปราชญ์ลัทธิขงจื๊อสะกดเทพเจ้ากู่เอาไว้…ลัทธิขงจื๊อเกี่ยวข้องกับโชคชะตา…หัวหน้าเผ่าเทียนกู่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปปั้นในหุบเหวลึกจึงพยายามคิดแผนการช่วงชิงโชคชะตาของต้าฟ่งหรือ”
ที่…ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้เอง สวี่ชีอันถอนหายใจยาว รู้สึกว่าเขาได้อนุมานความจริงส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้นได้แล้ว
“จุดประสงค์ของอดีตหัวหน้าเผ่าเทียนกู่คือการสะกดเทพเจ้ากู่ แล้วจุดประสงค์ของโหรลึกลับพวกนั้นล่ะ ไม่คิดแล้ว ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว แกล้งทำตัวเป็นคนปัญญาอ่อนยังมีความสุขเสียกว่า” สวี่ชีอันหัวเราะเยาะตัวเอง
เนื่องจากความเจ็บปวดของจิตเดิม ทำให้นอนไม่หลับ สวี่ชีอันจึงวางแผนว่าจะไปยังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลสักรอบ ลองค้นหาชนวนสงครามด่านซานไห่ และสำนวนคดีของโจวเสี่ยนผิง อดีตรองเจ้ากรมการคลังด้วย
โจวเสี่ยนผิงเป็นผู้นำในคดีเงินภาษี เขาต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโหรนิรนามแน่
เมื่อออกมาจากห้อง เขาก็เห็นหลี่เมี่ยวเจินถือชามลายครามไว้ในมือข้างหนึ่งและกระดาษเซวียนจื่อในมืออีกข้าง เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์พ่นลมหายใจเย็นชา แล้วกล่าว
“เจ้าแทงซูซูด้วยเหตุใด โชคดีที่นางเป็นเพียงคนกระดาษ หากนางเป็นหญิงผู้สูงศักดิ์ละก็…”
“แล้วข้าต้องรับผิดชอบนางหรือไม่”
“ไม่ ข้าจะตัดอุ้งเท้าของเจ้าออกเอง”
“…”
ตัดอุ้งเท้าของข้าหรือ อุ้งเท้าข้าไม่แข็งแกร่งเท่าภิกษุเสินซู หากขาดไปแล้วไม่อาจต่อกลับคืนได้…สวี่ชีอันบ่นกระปอดกระแปดในใจ และทันใดนั้น เขาก็ตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง
ภะ ภิกษุเสินซู? ข้าสามารถกลับมาจากอวิ๋นโจวได้อย่างปลอดภัย เพราะข้ามีภิกษุเสินซูอยู่ในร่างหรือ นี่ทำให้ผู้บงการเบื้องหลังหวาดกลัว และไม่กล้าลงมือโต้งๆ เพราะกลัวว่าจะพลาดท่าถูกภิกษุเสินซูย้อนทำร้ายได้…ใช่แล้ว ตอนที่ผู้บงการเบื้องหลังอยู่ที่อวิ๋นโจว เขาต้องคอยจับตามองข้าอย่างใกล้ชิด และรับรู้ถึงตัวตนของภิกษุเสินซูในตัวข้า
ท่านโหราจารย์วางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ หลังจากที่รับรู้ถึงโชคชะตาของข้า เขาก็เริ่มเตรียมการวางแผน ดังนั้นเขาจึงเพิกเผยต่อแผนการของอาณาจักรหมื่นปีศาจ เพราะรู้ดีว่าภิกษุเสินซูนั้นจะต้องเป็นปรสิตในร่างกายของข้าอย่างแน่นอน…นั่นก็แสดงว่าเขาเลือก ‘องครักษ์’ ให้กับข้างั้นสิ?
เขานำโชคชะตามาสถิตไว้ในตัวข้าอย่างมั่นคง ผ่านภิกษุเสินซู ไม่ปล่อยให้เงื้อมมือชั่วร้ายช่วงชิงกลับคืนไป…
ท่านโหราจารย์น่ากลัวเกินไปแล้ว…สวี่ชีอันตัวสั่นเทา
เขามองแผนการของผู้ปราดเปรื่องออกอย่างปรุโปร่งแล้ว ราวกับเห็นรอยของงูเลื้อยผ่านพงหญ้า[3]
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านหน้า ก็เห็นฉู่ไฉ่เวยสาวน้อยผู้มีใบหน้ารูปไข่ ดวงตากลมโตในชุดสีเหลือง นั่งอยู่ในห้องโถง
บนโต๊ะกลมมีขนมอบ ของหวาน และอาหารคาวนานาชนิด อาหารมื้อใหญ่ที่เพียงพอสำหรับชายฉกรรจ์ประมาณห้าถึงหกคน กับสามสาวที่อยู่ตรงข้ามฝั่งโต๊ะ ที่ถึงแม้ภายนอกจะดูบอบบาง แต่ความอยากอาหารนั้นมีมากผิดมนุษย์มนา
ฉู่ไฉ่เวย ลี่น่า และสวี่หลิงอิน
“แม่นางไฉ่เวย ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” สวี่ชีอันกล่าวทักทาย แม่นางผู้นี้หายหน้าหายตาไปหลายบทแล้ว ตั้งแต่เจอศิษย์พี่ห้าของเจ้า ข้าก็อยากหย่ากับเจ้าเต็มทน
สามสาวหันมามองเขาเป็นตาเดียว สัญชาตญาณความหวงของกินที่ประทับอยู่ในกรรมพันธุ์ ถูกซุกซ่อนเอาไว้ในแววตา
“ข้ามาที่จวนสกุลสวี่ออกจะบ่อย แต่ว่าเจ้าชอบไปอยู่ที่ทำการปกครองตอนกลางวันตลอด ก็เลยไม่เจอข้า” ฉู่ไฉ่เวยแก้มป่อง คุ้ยอาหารตุ้ยๆ พลางตอบกลับงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์
หากเป็นเวลาพลบค่ำ นางที่เป็นสาวเป็นแส้ยังไม่ออกเรือน ไม่สมควรมาสิงสถิตอยู่ในบ้านคนอื่นอย่างเด็ดขาด
ลี่น่าพูดต่อ “ข้าถูกชะตากับแม่นางไฉ่เวย”
สวี่หลิงอินกล่างเสียงดังลั่น “ข้าด้วยๆ”
ถูกชะตา? ถูกชะตาเพราะระดับสติปัญญาเท่ากัน หรือเพราะเป็นนักกินเหมือนกันล่ะ? สวี่ชีอันรู้สึกละเหี่ยใจ ที่เห็นสามสาวหวาดระแวงตนขนาดนี้ คอยจับตาดูไม่ให้เข้าไปขอของกินในห้องโถงได้เลย
จริงๆ เลย ตอนกลางวันข้าได้กินน่องไก่แค่น่องเดียว แถมยังต้องแบ่งให้สวี่หลิงอินตั้งครึ่งหนึ่งเชียวนะ…เขาไปจากจวนสกุลสวี่ ควบแม่ม้าน้อยสุดรักของตน รีบห้อตะบึงไปยังที่ทำการปกครอง
แม่ม้าน้อยนับวันยิ่งเติบโตเป็นม้าชั้นดี ได้กินอาหารเทียบเท่าม้าศึกทุกวัน เรี่ยวแรงพละกำลังเพิ่มพูน ขนสวยเงางาม รูปร่างสมส่วน
เมื่อมาถึงที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล สวี่ชีอันก็แวะไปที่ห้องอี้เตาครู่หนึ่ง สั่งให้ฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาเลิกอู้งาน และออกไปลาดตระเวน
ฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชาพากันทอดถอนใจ “หัวหน้า ท่านนั่งโต๊ะอยู่ในที่ทำการ ตกปลาสามวัน ตากแหสองวัน[4]ยังไม่เห็นโดนฆ้องทองคำหยางทำโทษเลย ถ้าพวกข้าทำแบบนั้นบ้าง มีหวังโดนไล่ออกไปแล้ว”
สวี่ชีอันเก๊กหน้าขรึมพลางกล่าว “หยุดพูดไร้สาระ ไปทำงานได้แล้ว”
พวกฆ้องทองแดงหาได้กลัวเขาแม้แต่น้อย พากันหยอกเอินกันสนุกสนาน
ฆ้องทองแดงคนหนึ่งอายุประมาณสิบเจ็ดปีพูดขึ้นอย่างเหนียมอาย “เจ้านาย ดะ ได้ยินว่า ท่านเป็นแขกประจำของสำนักสังคีต…ข้า ข้าอยากเชิญท่านไปสำนักสังคีตด้วยกันคืนนี้”
ฆ้องทองแดงคนอื่นหัวเราะและพูดว่า “หัวหน้า เจ้าเด็กนี่มันอยากให้ท่านช่วยนำทางน่ะ เขายังเป็นมือใหม่ เพิ่งจะเข้าสู่ระดับหลอมปราณได้เมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เลยเข้ามาทำงานที่ทำการปกครอง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันรู้สึกละอายใจเล็กน้อย ที่เขาไม่ได้สนใจฆ้องทองแดงใต้บังคับบัญชามากนัก
“ได้สิ ตรวจตราเสร็จแล้วข้าจะพาพวกเจ้าไป ข้าเลี้ยงเอง เงินเดือนเจ้าเรี่ยดินขนาดนั้น จะเอาเงินที่ไหนไปเที่ยวสำนักสังคีต ไปกับลูกพี่คนนี้ ไม่ต้องจ่ายตลอดชาติ”
สวี่ชีอันตบไหล่เขา
เหล่าฆ้องทองแดงส่งเสียงโห่ร้อง รู้สึกว่าติดตามถูกคนแล้ว ฆ้องเงินหรือฆ้องทองคำหน้าไหนในที่ทำการปกครองก็ไม่ใจกว้างเท่าหัวหน้าของพวกเขาอีกแล้ว
สวี่ชีอันแอบทอดถอนใจเล็กๆ ในยุคที่ไม่มีอิสระในการมีความรักนั้น หากครอบครัวไม่จับแต่งงานตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ได้แต่ไปซื้อกินในสำนักสังคีตไม่ก็หอนางโลม
อดคิดถึงพี่ชายคนหนึ่งที่ข้าเคยรู้จักสมัยเรียนในชาติภพก่อนขึ้นมาไม่ได้ เปิดซิงครั้งแรกเขาก็เสียให้กับหญิงสาวประเภทนี้ ตามทคำบอกเล่าของพี่ชายท่านนี้ ตอนนั้นเขายังวัยรุ่นเลือดร้อน แบกกระเป๋าเดินทางไปรายงานตัวที่โรงเรียน
ตอนนั้นเป็นเวลาเที่ยงพอดี กำลังหิวจนไส้กิ่ว พอออกจากสถานีรถไฟ มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาพูดว่า “ไปกินฟาสต์ฟู้ด[5]กันไหม”
วันนั้น ชีวิตของเขาได้ก้าวสู่โลกใบใหม่
เขาได้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
…
คลังเอกสารระดับสี่ไม่มีสำนวนคดีของโจวเสี่ยนผิงอดีตรองเจ้ากรมการคลัง สวี่ชีอันพบสำนวนคดีที่เกี่ยวข้องในคลังเอกสารระดับสอง
“ถ้าว่ากันตามเหตุผลแค่รองเจ้ากรมการคลังทุจริต สำนวนคดีไม่น่าจะอยู่ในระดับสูงขนาดนี้ได้…”
เอกสารระดับสองมีเพียงฆ้องทองคำเท่านั้นที่มีสิทธิ์อ่านได้ แต่สถานะของสวี่ชีอันพิเศษกว่านั้น นอกจากคลังเอกสารระดับหนึ่งที่ต้องใช้หนังสือลายลักษณ์อักษรจากเว่ยเยวียนแล้วนั้น เอกสารในคลังระดับสองทั้งหมดเขาล้วนมีสิทธิ์เข้าถึง
หลังจากอ่านสำนวนคดีของโจวเสี่ยนผิง สวี่ชีอันก็เข้าใจทันทีว่าเหตุใดจึงจัดไว้เป็นเอกสารระดับสอง
“จากการสอบสวนของที่ทำการปกครอง โจวเสี่ยนผิงอดีตรองเจ้ากรมการคลังได้ยักยอกเงินหลวงเป็นจำนวนถึงสองล้านตำลึงตลอดระยะเวลายี่สิบปี แต่ในขณะตรวจค้นจวน กลับพบเงินเพียงหนึ่งพันตำลึงเท่านั้น เงินมหาศาลถึงเพียงนั้น หายไปไหนหมด”
“ต่อให้เที่ยวผู้หญิงจนหนำใจตลอดยี่สิบปี แต่ในยุคที่ค่าเงินต่ำแบบนี้ ใช้ให้ตายยังไงก็ถลุงเงินสองล้านตำลึงไม่หมดหรอก”
“โจวเสี่ยนผิง รองเจ้ากรมการคลังเสียชีวิตขณะหลบหนี มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะโดนฆ่าปิดปาก “
สวี่ชีอันอ่านสำนวนคดีจบ ก็ใบ้รับประทานอยู่นาน
“ผู้บงการเบื้องหลังคอยบ่อนทำลายท้องพระโรง รองเจ้ากรมโจวเป็นคนของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากรองเจ้ากรมโจวแล้ว ยังมีหนอนบ่อนไส้คนอื่นอีกหรือไม่ ถ้าเกิดว่ามี จะเป็นใครล่ะ?”
หลังจากปิดสำนวนคดี ตัวเขาที่ถูกบีบคั้นจิตใจนั้น ก็นวดคลึงขมับด้วยความเหนื่อยล้า รู้สึกถึงความกดดันที่ไม่เคยประสบมาก่อน
“ข้าจะทำงานแบบขอไปทีไม่ได้อีกแล้ว มัวแต่ไปฟังเพลงที่หอคณิกาจนหัวสมองพังไปหมดแล้ว ที่แท้การที่ท่านโหราจารย์คอยช่วยเหลือข้านั้นเป็นการขวางลำน้ำเชี่ยวกรากแท้ๆ สถานการณ์แท้จริงของข้ามันย่ำแย่สุดๆ เลยนี่หว่า”
“ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร เขาจะมาช่วงชิงโชคชะตาในร่างของข้ากลับคืนไปแน่นอน ข้าไม่อาจนั่งรอความตายได้ อืม ในกายของข้ายังมีโชคชะตาจากตราลัญจกรหยกอยู่ ซึ่งเป็นของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์ในสุสานโบราณผู้นั้น”
“เขาจะปล่อยให้โหรลึกลับช่วงชิงโชคชะตาของตนไปเฉยๆ หรือ? แต่ว่าอย่าฝากความหวังไว้กับมนุษย์โบราณที่ไม่รู้ว่าอยู่ตายจะดีกว่า”
“มาตั้งเป้าหมายเล็กๆ ก่อน ภายในสองปีนี้ จะเลื่อนบรรดาศักดิ์ให้ได้อย่างน้อยหนึ่งขึ้น และเพิ่มอำนาจให้ยิ่งใหญ่ขึ้น แม้ว่าพลังแผ่นดินของต้าฟ่งจะอ่อนแอ แต่ก็ยังมีอัจริยะบุคคลมากมายอยู่ดี ทั้งท่านโหราจารย์ ทั้งเว่ยเยวียน ขุนนางเหรียญปากผี และยังมีกองทัพนับร้อย ข้าสามารถพึ่งพาคนพวกนี้ได้ทั้งนั้น”
“เป้าหมายที่สอง ก่อนสิ้นปีจะต้องได้เข้าสู่ระดับสี่ให้ได้ ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่ข้าพึ่งพาได้มากที่สุด เมื่อใดมีความแข็งแกร่ง ก็สามารถเปลี่ยนจากตัวหมาก มีเป็นคนเดินหมากได้”
เฮ้อ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความโล่งอก เรียกเจ้าพนักงานมา แล้วสั่งว่า “นำสำนวนคดีทั้งหมดที่เกี่ยวกับสงครามด่านซานไห่มาให้ข้า”
เจ้าพนักงานหยิบเอกสารกองเป็นตั้งๆ ออกมา
สวี่ชีอันอ่านทีละสิบบรรทัด ใช้เวลาครึ่งชั่วยามก็อ่านจบ ในสำนวนคดีบันทึกไว้ว่า ชนวนของสงครามด่านซานไห่เกิดจากชนเผ่าเถื่อนแดนเหนือและใต้สมคบคิด ร่วมมือกันรุกรานชายแดนต้าฟ่ง
ต้าเฟิงเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี จึงเรียกรวมพลบรรดาพี่ใหญ่จากทุกจตุรทิศมาช่วยกันโค่นล้มชนเผ่าเถื่อนจากเหนือและใต้
แต่สวี่ชีอันรู้ดีว่าเรื่องราวต่างๆ ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เพราะในสงครามด่านซานไห่มีเผ่าพันธุ์ปีศาจและสำนักพ่อมดเข้าร่วมด้วย นี่เป็นสงครามประจัญบานเพื่อกวาดล้างกองกำลังทั้งหมดของแผ่นดินจิ่วโจว
ฝ่ายศัตรูได้แก่ ชนเผ่าเถื่อนแดนเหนือและใต้ เผ่าพันธุ์ปีศาจทางเหนือ กากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจ สำนักพ่อมด
ต้าฟ่งผนึกกำลังกับสำหนักพุทธแดนประจิม ต่อสู้สองต่อห้า ได้รับชัยชนะกลับมา
นี่เทียบเท่ากับสงครามโลกฉบับจิ่วโจว สงครามครั้งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลแน่นอน เอ่อ…สงครามโลกครั้งที่หนึ่งในชาติภพก่อนของข้า ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมาแบบมึนๆ งงๆ แฮะ
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น…สวี่ชีอันบ่นพึมพำกับตัวเอง
“จะบ้าตายอยู่แล้ว เรื่องแบบนี้ไปหาท่านพ่อก็จบแล้วนี่หว่า เหตุใดต้องมาดันทุรังอยู่คนเดียวแบบนี้ด้วยนะ”
หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักเป็นเวลานาน สวี่ชีอันก็ตบหัวตัวเอง ปล่อยวางความคิด ออกมาจากคลังเอกสารและตรงไปยังหอเฮ่าชี่
……………………………………………………..
[1] เงาดำใต้โคมไฟ (灯下黑)สำนวนอุปมาอุปไมยถึงปัญหาหรือข้อจุดอ่อนที่อยู่ใกล้ตัวจนคาดไม่ถึง
[2] ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
[3] รอยของงูเลื้อยผ่านพงหญ้า(草蛇灰线)สำนวนเปรียบเทียบว่าทำความผิดร้ายแรงเอาไว้ และเหลือหลักฐานให้สาวถึงตัวได้
[4] ตกปลาสามวัน ตากแหสองวัน (三天打鱼两天晒网)สำนวนแปลว่าทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ไม่จริงจัง
[5] กินฟาสต์ฟู้ด(吃快餐)คำแสลงหมายถึง การซื้อบริการทางเพศ ที่ง่าย สะดวก รวดเร็ว