ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 339 การเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิต
บทที่ 339 การเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิต
สมาชิกคนอื่นของพรรคฟ้าดินประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าหลี่เมี่ยวเจิน เมื่อเห็นฉากนี้ แม้แต่ฉู่หยวนเจิ่นอดีตปัญญาชนก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา ใบหน้าของเขาแข็งค้างไปเล็กน้อย
‘สวี่หนิงเยี่ยนเป็นหมากของท่านโหราจารย์ แต่นี่เป็นเรื่องที่ควรจะเก็บเป็นความลับ โหรแห่งสำนักโหราจารย์ไม่ควรรู้ความลับนี้ กล่าวคือ เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุเคารพสวี่หนิงเยี่ยนเช่นนี้เป็นเพราะตัวเขาเองหรือ หนังสือปกน้ำเงินคืออะไร ฟังจากความหมายในคำพูดของพวกเขา การเล่นแร่แปรธาตุของสวี่หนิงเยี่ยนแข็งแกร่งกว่าซ่งชิงหรือ อย่างน้อยเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุก็ไม่ได้แสดงท่าทีถ่อมตนและใฝ่รู้เช่นนี้กับซ่งชิง…’ ฉู่หยวนเจิ่นจับประเด็นหลัก แต่ก็ไม่อาจยอมรับเหตุผลนี้ได้
หมายเลขหก เหิงหย่วนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าสวี่หนิงเยี่ยนมีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักโหราจารย์ ถึงขั้นสามารถเชิญหยางเชียนฮ่วนมารักษาโรคให้เด็กผู้น่าสงสารคนนั้นได้ แต่เขาคิดไม่ถึงว่าหน้าตาของสวี่หนิงเยี่ยนจะใหญ่โตเช่นนี้
‘นี่ไม่ใช่มีความสัมพันธ์อันดี นี่เหมือนกับบอกให้เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุมาก็มาไปก็ไป’
ซูซูตกตะลึงและมองสวี่ชีอันที่ถูกชุดขาวรุมล้อมอย่างมึนงง เมื่อสักครู่นางได้รู้จากจงหลีว่าซ่งชิงให้ความสำคัญกับงานของตัวเอง นางจึงท้อแท้มากและคิดว่าการเดินทางมาสำนักโหราจารย์ครั้งนี้คงสูญเปล่า
แม้ว่าสวี่หนิงเยี่ยนจะมีความสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสำนักโหราจารย์ ทว่าแม้แต่ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักซ่งชิงก็ไม่ไว้หน้า จึงไม่จำเป็นต้องไว้หน้าเขา
แต่ความจริงคือ ซ่งชิงกับเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุกระตือรือร้นกับสวี่ชีอันมากจนทำให้ซูซูรู้สึกว่า นี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาของผู้ชายเฮงซวยเหล่านั้นตอนเห็นนาง
สวี่ชีอันกดมือลง เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุสงบลงทันที เขากระแอมทีหนึ่งและพูดว่า
“หนังสือปกน้ำเงินยังไม่มีในขณะนี้ แต่ข้าสัญญากับทุกท่านว่า ก่อนสิ้นปี ข้าจะมอบให้ทุกท่านอย่างแน่นอน หลังจากนี้เมื่อมีเวลา ข้าจะมาเดินเล่นที่ห้องเล่นแร่แปรธาตุให้มากขึ้นและหารือเรื่องการเล่นแร่แปรธาตุกับทุกคน”
“เยี่ยมไปเลย”
เหล่าโหรชุดขาวโห่ร้องยินดี สีหน้าล่องลอยด้วยความปีติ ใบหน้ายิ้มแย้ม
เมื่อทุกคนสงบลง สวี่ชีอันก็มองไปทางซ่งชิง “ศิษย์พี่ซ่ง งานของท่าน…”
ซูซูมองไปทางซ่งชิงทันที นางเม้มริมฝีปากและกำมือทั้งสองข้างแน่นโดยไม่รู้ตัว
หลี่เมี่ยวเจินมองด้วยความคาดหวังพร้อมกัน
ซ่งชิงตบหน้าอกและหัวเราะออกมาอย่างโผงผาง “หลังจากข้าสร้างงานนี้ ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือไม่ได้รับการประเมินกับคำชี้แนะของคุณชายสวี่ ในที่สุดวันนี้ข้าก็สมปรารถนา”
‘เขา…ถ่อมตนเช่นนี้เชียว?!’
ขณะเดียวกับที่ซูซูถอนหายใจโล่งอก ความรู้สึกเหลือเชื่อก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางมองสวี่ชีอันหลายครั้งหลายครา
‘หลังจากนี้ใครบอกว่าโหรแห่งสำนักโหราจารย์หยิ่งผยองและยโสโอหังอีก ข้าคนแรกที่ไม่เชื่อ…’ ฉู่หยวนเจิ่นพึมพำในใจ
ภายใต้การนำของซ่งชิง ทุกคนออกจากห้องเล่นแร่แปรธาตุ เดินผ่านทางเดินที่คดเคี้ยวและมาถึงห้องลับห้องหนึ่ง
ประตูของห้องลับทำจากเหล็กบริสุทธิ์ ซ่งชิงเคาะประตูเหล็กและแนะนำว่า
“ประตูบานนี้ แม้ว่าจะเป็นทหารระดับห้าก็อย่าคิดว่าจะทำลายได้ ข้าใช้เวลาสิบวันสร้างมันขึ้นมาจากเหล็กนับร้อย คุณสมบัติที่ใหญ่ที่สุดคือความแข็งแรงทนทานและป้องกันการโจรกรรมเป็นเลิศ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉู่หยวนเจิ่นก็อดพูดไม่ได้ว่า “แต่ผนังหอดูดาวของพวกเจ้าเป็นผนังธรรมดาๆ มิใช่หรือ หัวขโมยไม่จำเป็นต้องเดินผ่านประตูเลย”
หลี่เมี่ยวเจินพยักหน้าและกล่าวเสริม “ยิ่งไปกว่านั้น ใครจะสามารถมาขโมยของที่หอดูดาวได้ ในประวัติศาสตร์ก็ไม่เคยเกิดกรณีที่คล้ายกันขึ้นใช่หรือไม่”
‘เหตุใดเจ้าต้องสร้างประตูรักษาความปลอดภัยด้วย’
สีหน้าของซ่งชิงหม่นลง เขาเอ่ยเสียงเรียบ “ยังมีธุระอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีก็เชิญท่านทั้งสองกลับไปเถิด ”
ฉู่หยวนเจิ่นกับหลี่เมี่ยวเจินหยุดพูดทันที
หลี่เมี่ยวเจินถ่ายโอนเสียงไปยังจอหงวนฉู่ “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าศิษย์ของสำนักโหราจารย์ดูแปลกเล็กน้อย ฉู่ไฉ่เวยที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับลี่น่า จงหลีที่มีโชคร้ายติดตัวและตอนนี้ก็ซ่งชิงคนนี้ ข้ารู้สึกว่ามีเพียงหยางเชียนฮ่วนที่ดูค่อนข้างปกติ”
ฉู่หยวนเจิ่นร้อง ‘อา’ และถ่ายโอนเสียงกลับ “สิ่งที่เจ้าพูดก่อนหน้าถูกหมด แต่ประโยคสุดท้ายเลินเล่อเกินไป คนทั้งเมืองหลวงคงไม่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเจ้า”
‘เจ้าแค่ไม่รู้จักหยางเชียนฮ่วนเท่านั้นเอง เขากับซ่งชิงเป็นสองคนที่แปลกประหลาดที่สุด ฉู่ไฉ่เวยไม่ค่อยฉลาดเพราะพรสวรรค์ของตัวเอง จงหลีมีโชคร้ายติดตัวมานานหลายปี จึงทำให้นางมีนิสัยขี้ขลาดและดูถูกตัวเอง…มีเพียงซ่งชิงกับหยางเชียนฮ่วนเท่านั้นที่สมองมีปัญหา…’ ฉู่หยวนเจิ่นแอบก่นด่าในใจ
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้โต้แย้งและหันไปถามว่า “แล้วศิษย์คนรองของท่านโหราจารย์ล่ะ”
ฉู่หยวนเจิ่นส่ายหน้า “ข้าไม่เคยเจอศิษย์คนรอง ดูเหมือนเขาจะไม่ได้อยู่ที่สำนักโหราจารย์นานแล้ว สองคนนั้นคงเป็นคนปกติ”
เมื่อพูดจบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองเลินเล่อเกินไป จึงกล่าวเสริมสองคำ “บางที…”
ซ่งชิงหยิบกุญแจออกมา เปิดประตูรักษาความปลอดภัยและนำทุกคนเข้าไปในห้องลับ
นี่เป็นห้องลับที่กว้างขวางมากพอและรกมาก ซ่งชิงเดินไปทางซ้าย บนผนังฝั่งนั้นแขวนอาวุธเวทมนตร์ไว้เต็มไปหมด มีอาวุธทุกประเภททั้งหน้าไม้ ดาบ ปืนไฟและอื่นๆ
แล้วก็มีแท่งเหล็กที่ยังไม่ได้หลอม
ซ่งชิงแนะนำทุกด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “อาวุธทุกชิ้นในที่นี้ วัสดุล้วนมีแค่หนึ่งเดียวและหายากในโลก ขอเพียงปรมาจารย์ค่ายกลช่วยลงบันทึกค่ายกล พวกมันก็จะกลายเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่คนทั้งโลกต้องการ แต่ข้าไม่ชอบเจ้าหน้าโง่หยางเชียนฮ่วน เขาไม่สมควรได้สัมผัสงานของข้า ดังนั้นพวกมันจึงไม่ได้กลายเป็นอาวุธเวทมนตร์เสียที”
นอกจากซูซูกับจงหลีที่อยู่ตรงนี้แล้ว สวี่ชีอัน เหิงหย่วน หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่างก็แสดงท่าทางน้ำลายไหลออกมา
“ของเหล่านี้ล้วนเป็นอาวุธธรรมดา ไม่เพียงพอที่จะแสดงความสำเร็จด้านการเล่นแร่แปรธาตุของข้า เชิญทุกท่านตามข้ามา…”
ซ่งชิงนำทุกคนเดินลึกเข้าไปในห้องลับ เมื่อมาถึงด้านหน้าโหลแก้วสูงสามฟุต เขาก็พูดอย่างมีความสุข
“ดูสิ นี่คือผลงานแรกในด้านการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตของข้า”
ทุกคนตั้งใจมอง ภายในโหลแก้วที่เต็มไปด้วยของเหลวที่ไม่รู้จักมีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่รูปร่างเหมือนแมวถูกแช่อยู่ ร่างกายของมันปกคลุมไปด้วยวงปีกับลวดลายของต้นไม้ แต่กลับมีรูปร่างและหัวของแมว หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงเล็กน้อย ราวกับกำลังหายใจ
นอกจากนี้ หางยังเป็นกิ่งก้านเรียวบางและมีใบไม้สีเขียวขจีงอกอีก
“ชื่อของมันคือแมวต้นไม้ ความหมายก็ตามชื่อ เป็นร่างผสมระหว่างแมวกับต้นไม้ ข้าเลี้ยงดูมันได้สำเร็จ แต่แลกกับทำได้เพียงแค่แช่อยู่ในน้ำ ไม่อาจดำรงชีวิตอยู่ในโลกภายนอกได้”
ซ่งชิงแนะนำการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตของเขาให้กับทุกคนอย่างแข็งขัน
“ตัวอ่อนนี้เป็นลูกผสมระหว่างคนกับม้า ข้าเคยอยากผสมผสานผู้ชายโตเต็มวัยกับร่างของม้า แต่ก็ล้มเหลว ดังนั้นข้าจึงเปลี่ยนความคิดและสร้างตัวอ่อนนี้ขึ้นมา โชคดีมากที่ข้าสร้างตัวอ่อนที่มีสายเลือดระหว่างมนุษย์กับม้าได้สำเร็จ แต่น่าเสียดายที่มันมีชีวิตอยู่ได้เพียงสามวันเท่านั้น ข้าจึงแช่มันไว้ในสุราและเก็บรักษาไว้…อวัยวะพวกนี้เป็นสิ่งที่ข้าเริ่มปลูกถ่ายจากเซลล์และพัฒนาขึ้นมาทีละน้อยๆ คำเรียก ‘เซลล์’ ข้าก็ไม่เคยได้ยินหรอก นี่เป็นคำที่คุณชายสวี่สร้างขึ้นมา…”
เดิมทีฉู่หยวนเจิ่น หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ ต่างก็ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ด้วยความคิดที่จะเปิดรับเรื่องใหม่ๆ และเปิดหูเปิดตา รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาค่อยๆ น้อยลงเรื่อยๆ และสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ
สายตาที่มองไปทางซ่งชิงเป็นพักๆ เต็มไปด้วยความหวาดระแวงที่มีต่อตัวประหลาด ราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูสัตว์ประหลาด
‘ฉู่หยวนเจิ่นพูดถูก สมองของซ่งชิงไม่ค่อยปกติ คนคนนี้อันตรายมาก หากที่นี่ไม่ใช่สำนักโหราจารย์ ข้าคงลงมือแทนนิกายสวรรค์ไปแล้ว…’ จู่ๆ หลี่เมี่ยวเจินก็พบว่าตัวเองไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้ แม้ว่าเธอจะมาเพื่อสิ่งนี้ก็ตาม
‘ข้าผิดไปแล้ว ซ่งชิงเป็นคนที่ผิดปกติที่สุดในบรรดาศิษย์ของท่านโหราจารย์ เมื่อเทียบกันแล้ว หยางเชียนฮ่วนก็เพียงแค่หยิ่งยโสเล็กน้อย เล็กน้อยเท่านั้น…’ ฉู่หยวนเจิ่นคิดในใจ
‘โชคดีที่ตอนนั้นข้าไม่ได้ส่งเด็กคนนั้นมารักษาที่สำนักโหราจารย์ มิเช่นนั้น เขาอาจจะถูกเลี้ยงไว้โหล…’ เหิงหย่วนมองซ่งชิงด้วยสายตาที่ใช้มองพวกนอกรีต
อารมณ์ของซูซูซับซ้อนเป็นพิเศษ ทั้งขัดแย้งทั้งโหยหา
ซ่งชิงพึงพอใจกับสายตาของทุกคนมาก เขาคิดว่าพวกเขากำลังประหลาดใจและชื่นชม เหมือนกับคนบ้านนอกเข้าสู่เขตพระราชฐานและถูกฉากตรงหน้าทำให้ตกตะลึง
เขาไม่ได้ผูกขาดผลงาน กระแอมทีหนึ่งและประกาศว่า “เหตุผลที่ข้าสามารถเดินมาได้ไกลเช่นนี้ในด้านการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิต ทั้งหมดเป็นผลงานของคุณชายสวี่ เขาเป็นคนสอนความรู้เหล่านี้ให้ข้าและเปิดความคิดของข้า”
เหล่าสมาชิกของพรรคฟ้าดินหันไปมองสวี่ชีอันอย่างไร้ความรู้สึก สายตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจ
‘ที่แท้ผู้ร้ายก็คือเจ้าหรือ?!’
‘หรือ หรือว่าสวี่หนิงเยี่ยนก็เป็นคนบ้าที่แอบซ่อนอยู่’
ข้าหรือ…เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้า ข้าเพียงแค่สอนความรู้วิชาชีววิทยาให้เจ้า…มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก
แต่เขาไม่สามารถโต้แย้งได้ เพราะเขาเป็นคนเปิดความคิดของซ่งชิงและชี้ทางให้จริงๆ เช่นเดียวกับพุทธศาสนานิกายมหายาน เมื่อคนอื่นฟังก็รู้สึกเพียงว่ามีเหตุผล
แต่เมื่อคนอย่างพระอรหันต์ตู้เอ้อร์ฟังกลับตกใจราวกับโดนฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ
“อะแฮ่ม!”
สวี่ชีอันกระแอมทีหนึ่งและพูดว่า “ศิษย์พี่ซ่ง พวกเราต่างก็รอชื่นชมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของท่านอยู่”
เขาพูดอย่างมีอารมณ์ขัน
แต่สีหน้าของทุกคนกลับหนักอึ้ง เพราะพวกเขาเห็นว่ามีร่างมนุษย์นอนอยู่บนฐานเรียบๆ ตรงหน้า ซึ่งคลุมด้วยผ้าสีขาว
ซ่งชิงเดินเข้าไปและยกผ้าสีขาวขึ้น ทุกคนเห็นผู้ชายคนหนึ่งนอนอยู่บนฐาน หน้าอกของ ‘เขา’ กระเพื่อมเล็กน้อย ร่างกายแห้งเหี่ยวและซูบผอม หน้าตาธรรมดา
‘เฮ้อ…’ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอก ผลงานชิ้นนี้ถือว่าปกติ พวกเขาคิดว่าจะได้เห็นสัตว์ประหลาดเสียอีก
“ตอนที่สร้างเขาสำเร็จ สภาพร่างกายไม่ต่างจากคนทั่วไป แต่กลับอ่อนเพลียทุกวัน ข้าคาดว่าเขาจะตายในอีกสามวัน ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้และยาก็ไม่ได้ผล” ซ่งชิงกล่าว
ยาไม่ได้ผลหรือ เมื่อสวี่ชีอันเห็นร่างมนุษย์นี้ ภายในใจของเขาก็ปั่นป่วน เขาคิดไม่ถึงว่าซ่งชิงจะสร้างร่างที่มีชีวิตขึ้นมาจริงๆ นี่เป็นอำนาจที่พระเจ้าเท่านั้นที่มี
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งชิง สวี่ชีอันก็อดเริ่มเชื่อมโยงไม่ได้ว่า เป็นเพราะร่างกายไม่สามารถดูดซับฤทธิ์ยาได้หรือปฏิเสธส่วนผสมยาของโลกนี้
หรือไม่ร่างกายนี้ก็มีข้อบกพร่องบางอย่าง เกิดจากข้อบกพร่องทางพันธุกรรมหรือ
ในด้านของชีวิต พันธุกรรมเป็นปัจจัยที่สำคัญมาก มนุษย์สามารถอาศัยอยู่ในธรรมชาติและดูดซับฤทธิ์ยาได้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะพันธุกรรม
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินคำพูดหนึ่งว่า หากมนุษย์ยุคใหม่ย้อนกลับไปยุคโบราณ พวกเขาจะกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อที่เคลื่อนไหวได้และนำไปสู่การทำลายล้างโลก
ใจความหลักของคำพูดนี้คือ คนยุคโบราณไม่มีแอนติบอดีที่ต้านทานไวรัสยุคใหม่ และแอนติบอดีที่ต้านทานไวรัสในธรรมชาติของมนุษย์ก็สามารถส่งต่อไปยังคนรุ่นหลังได้
ร่างกายนี้ไม่สามารถดูดซับส่วนผสมยาได้ อาจมีสาเหตุคล้ายๆ กัน
หลี่เมี่ยวเจินตอบสนองเล็กน้อย ดวงตาของนางเปล่งประกายและพูดว่า “ร่างกายนี้ใสสะอาด ปราศจากสติปัญญา ปราศจากวิญญาณ ดีกว่าร่างกายของคนเป็น เหมาะจะเป็นกายเนื้อของซูซูมากที่สุด”
ตรงนี้เกี่ยวข้องกับเกร็ดความรู้หนึ่ง วิญญาณกับร่างกายของคนปกติมีความเข้ากัน เมื่อผีไปสถิตร่างจึงถูกขับไล่ออกมา เพราะไม่สามารถเข้ากับกายเนื้อได้อย่างสมบูรณ์
หากปราณหยางของคนที่ยังมีชีวิตอ่อนแอลง ปราณหยินของผีก็จะหมดลง ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย
หากคนที่ยังมีชีวิตตาย กายเนื้อก็จะเน่าเปื่อยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่อาจเป็นที่อยู่ถาวรได้
แต่กายเนื้อนี้ไม่มีวิญญาณ หากซูซูสถิตร่างนั้น กายเนื้อก็อาจจะหล่อเลี้ยงวิญญาณได้เหมือนกับคนที่ยังมีชีวิต
หลี่เมี่ยวเจินมองซูซูทันทีและถามว่า “เข้าไปลองสิ”
ซูซูอดใจรอไม่ไหวนานแล้ว เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็พยักหน้าทันที ออกจากตุ๊กตากระดาษและเข้าไปในร่างของ ‘ผู้ชาย’
นี่ๆ เจ้าเคยบอกว่าเจ้าจะเป็นสนมให้ข้า แต่นี่มันต่างจากที่ข้าคิดไว้ สิ่งที่ข้าต้องการคือมังกรหยกที่จะสูบฉีดร่องลึกใต้น้ำ ไม่ใช่เป็นตัวสร้างปัญหา…เมื่อเห็นฉากนี้ สวี่ชีอันก็อ้าปาก แต่ไม่อาจพูดความในใจของเขาออกมาได้
ท้ายที่สุดเขาก็รักษาหน้าและละอายใจที่จะพูดออกไป
ในเวลานี้เอง ซูซูถูกผลักออกมาและกลับไปที่ตุ๊กตากระดาษ
หลี่เมี่ยวเจินขมวดคิ้วเรียวยาว “เกิดอะไรขึ้น”
ซูซูส่ายหน้าอย่างผิดหวัง
หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดอยู่นานและคาดเดาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว กายเนื้อนี้แตกต่างจากร่างกายปกติ ดูเหมือนกายเนื้อ แต่ความจริงแล้วเหมือนก้อนหิน ผีเช่นซูซูไม่อาจอาศัยเป็นกาฝากอยู่ในก้อนหินได้”
ซ่งชิงขมวดคิ้วและถามว่า “ดังนั้น กายเนื้อที่ข้าสร้างจึงดูเหมือนคน แต่ความจริงแล้วเป็นก้อนหินหรือ”
ผลลัพธ์นี้ทำให้เขาผิดหวังมากและไม่อาจยอมรับได้
หลี่เมี่ยวเจินนิ่งเงียบ
ซูซูกัดริมฝีปาก ดวงตาที่สว่างสดใสหม่นหมองลงทันที
‘เป็นเพียงความสุขชั่ววูบ…’ ฉู่หยวนเจิ่นกับเหิงหย่วนมองหน้ากันและส่ายหน้าอย่างช่วยไม่ได้
“คุณชายสวี่ ท่านเป็นอัจฉริยะด้านการเล่นแร่แปรธาตุ ความรู้ด้านการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตของท่านไม่มีใครเทียบได้” ซ่งชิงโค้งคำนับเก้าสิบองศาและเอ่ยเสียงดัง
“คุณชายสวี่ ได้โปรดสอนข้าด้วย”
ดวงตาอันหม่นหมองของซูซูจุดประกายแห่งความหวังขึ้นอีกครั้งและมองสวี่ชีอันอย่างกระตือรือร้น
‘ใช่ สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนสอนการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตให้ซ่งชิงและเขายังเคยเขียนหนังสือปกน้ำเงินอะไรนั่นอีก นักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกก็เคารพนบน้อมเขา…’ หลี่เมี่ยวเจิน เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นมองไปทางสวี่ชีอันทันที
นี่ๆ ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่มีปัญหาด้านการต่อปากต่อคำ แต่หัวข้อนี้เกินขอบเขตของหลักสูตรไปแล้ว…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงขรึม
“นำบันทึกการเล่นแร่แปรธาตุแห่งชีวิตมาให้ข้า ข้าต้องศึกษาก่อน”
ศึกษาว่าจะหาข้ออ้างมาหลอกพวกเจ้าได้อย่างไร…เขาคิดในใจ
……………………………………………