ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 340 การแต่งตั้งของราชสำนัก
บทที่ 340 การแต่งตั้งของราชสำนัก
ซ่งชิงรีบวิ่งออกจากห้องลับ ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว ไม่กี่อึดใจต่อมา ก็ถือหนังสือปกน้ำเงินเล่มหนาเข้ามา แล้วยื่นให้สวี่ชีอันอย่างนอบน้อม
ปัจจุบันโหรแห่งสำนักโหราจารย์คุ้นเคยกับการใช้สมุดปกน้ำเงินเป็นหนังสือที่เขียนด้วยตัวเอง และหวังว่าจะกลายเป็นประเพณี เชื่อว่าเมื่อผ่านไปหลายชั่วอายุคน หนังสือปกน้ำเงินกับการเล่นแร่แปรธาตุจะสัมพันธ์กัน เหมือนกัน
ต่อไปเมื่อคนภายนอกพูดถึงการเล่นแร่แปรธาตุของบรรดาโหร ก็จะใช้สมุดปกน้ำเงินแทน
สวี่ชีอันผู้ริเริ่มทำหนังสือปกน้ำเงินรุ่นแรก รับหนังสือการเล่นแร่แปรธาตุของซ่งชิงมา เปิดออก แล้วกวาดตามอง
ยาวเกินไปไม่อ่าน…ถึงอ่านก็อ่านไม่เข้าใจ…เขาแสร้งทำเป็นอ่านอยู่นาน บางครั้งก็พยักหน้า บางครั้งก็ส่ายหัว
สมาชิกของพรรคฟ้าดินและซ่งชิงต่างจ้องมองเขา เมื่อสวี่ชีอันปิดหนังสือ ซ่งชิงก็รีบถามอย่างอดใจไว้ไม่ไหวว่า
“คุณชายสวี่ มีอะไรผิดพลาดบ้างหรือไม่”
หลี่เมี่ยวเจินและคนอื่นๆ แสดงท่าทางตั้งใจฟัง สายตาจับจ้องมองเขา
“มีปัญหาไม่น้อยเลยทีเดียว ศิษย์พี่ซ่ง หนทางยังอีกยาวไกล ท่านต้องพยายามต่อไปโดยไม่ย่อท้อ จะเกียจคร้านไม่ได้” สวี่ชีอันทอดถอนใจอบรมสั่งสอนด้วยความจริงใจ
“ดังนั้น ปัญหาอยู่ที่…”
ซ่งชิงยังพูดไม่จบ สวี่ชีอันก็พูดตัดบทว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ท่านต้องรู้ว่า การเล่นแร่แปรธาตุนั้นมีขีดจำกัด สำหรับผลงานของท่าน ข้ามีแนวคิดอย่างหนึ่ง สามารถให้ท่านใช้ประกอบการพิจารณาได้”
ดวงตาของซ่งชิงเป็นประกายขึ้นมาทันที ถูกเบี่ยงเบนความสนใจตามที่คาดไว้ เขาถามอย่างเร่งเร้าว่า “คุณชายสวี่ ข้ารู้ว่าท่านต้องมีวิธี หากตอนที่ข้าเลี้ยงดูเขามีท่านอยู่ด้วย คงจะดีกว่าตอนนี้อย่างแน่นอน”
ไม่ เมื่อถึงเวลาข้าคงทำได้เพียงตะโกนข้างๆ เยี่ยมๆๆ… สวี่ชีอันกระแอม กวาดตามองทุกคน แล้วสายตาก็กลับมาหยุดที่ซ่งชิง แล้วกล่าวว่า
“เท่าที่ข้ารู้มา ในโลกนี้มีดอกไม้วิเศษชนิดหนึ่งเรียกว่าดอกบัวเก้าสี สามารถเสกทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่ก้อนหิน ก็สามารถทำให้เกิดสติปัญญาได้ ร่างนี้ของท่าน ต้องการการเสกจากมัน”
“ดอกบัวเก้าสี ดอกบัวเก้าสี……” ซ่งชิงพึมพำกับตัวเอง “ในโลกนี้มีของที่มหัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ”
ทุกคนในพรรคฟ้าดินตื่นตัวขึ้นทันที คิดว่าวิธีการของสวี่ชีอันมีความเป็นไปได้
จริงด้วย ดอกบัวเก้าสีสามารถเสกทุกสิ่งในโลกนี้ได้ ก็ย่อมสามารถเสกร่างนี้ได้ ขอเพียงเขาเริ่มมีสติปัญญา ซูซูก็สามารถเข้าสิงร่างได้…ใบหน้าของหลี่เมี่ยวเจินฉายแววยินดี เกิดเป้าหมายขึ้นมาทันที และไม่สับสนอีกต่อไป
ด้านซูซูนั้นอยากจะให้ดอกบัวเก้าสีเติบโตเต็มที่ในทันที เช่นนี้นางก็จะได้รับร่างใหม่
“ไม่ๆๆ ข้าต้องการร่างของผู้หญิง ข้าไม่อยากเป็นผู้ชาย…แต่ว่า ถ้าเป็นร่างของผู้ชาย ข้าก็ไม่ต้องมีลูกให้สวี่หนิงเยี่ยน เอ่อ ถ้าเขายังคงต้องการให้ข้าเป็นอนุภรรยาของเขาจะทำอย่างไร…”
ในสมองของซูซูปรากฏภาพของตัวเองที่ได้รับร่างของผู้ชาย ถูกสวี่ชีอันกดลงบนเตียง แล้วหวดด้วยแส้ ภาพที่เห็นทำให้นางตัวสั่นอย่างแรง
“ดอกบัวเก้าสีเป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายปฐพี ความจริงแล้ว มันนับเป็นหนึ่งในวัตถุดิบในการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้ทั้งนั้น” สวี่ชีอันยิ้มพลางพูด
“ทุกสิ่งอย่างล้วนสามารถเล่นแร่แปรธาตุได้…” ซ่งชิงนับถือด้วยความจริงใจ ทอดถอนใจแล้วกล่าวว่า
“คุณชายสวี่ ท่านเป็นผู้วิเศษด้านการเล่นแร่แปรธาตุที่ทำให้ข้าเลื่อมใสอย่างแท้จริง ข้าถึงกับเคยโกรธเคือง โกรธเคืองที่อารองของท่านไม่ส่งท่านไปฝากตัวเป็นศิษย์ที่สำนักโหราจารย์”
อย่าเลย อารองของข้าน่าสงสารมากพอแล้ว ปล่อยเขาไปเถิด!
การเดินทางมายังสำนักโหราจารย์ครั้งนี้ สำหรับซูซูแล้ว ไม่ต่างกับการเริ่มต้นบทใหม่ แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้ว ความรู้สึกนั้นซับซ้อนกว่ามาก ด้านหนึ่งต่างตกตะลึงกับความสำเร็จของซ่งชิงในด้านการเล่นแร่แปรธาตุ
อีกด้านหนึ่งกลับรู้สึกไม่สบายกายไม่สบายใจในการเล่นแร่แปรธาตุกับชีวิตของนาง
ก่อนจากกัน สวี่ชีอันดึงตัวซ่งชิงไปยังที่ที่ห่างจากผู้คน แล้วพูดเสียงต่ำว่า “ศิษย์พี่ซ่ง ข้ามีเรื่องจะไหว้วานท่านเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าพูดมาได้เลย”
ซ่งชิงไม่ได้ปฏิเสธคำขอของสวี่ชีอัน
“ข้าต้องการให้ท่านสร้างร่างของผู้หญิงร่างหนึ่งให้หญิงผู้มีเสน่ห์ดึงดูดคนนั้นได้อาศัย เมื่อถึงเวลาข้าจะคิดวิธีหาดอกบัวเก้าสีมาเอง” สวี่ชีอันกล่าว
“ตกลง ข้าจะทำตามที่ท่านขอ” ซ่งชิงได้ยินว่าสวี่ชีอันสามารถหาดอกบัวเก้าสีมาได้ จึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“แต่ข้าก็มีข้อแม้เช่นกัน” เสียงของสวี่ชีอันต่ำลงกว่าเดิม “ประการแรก ร่างของผู้หญิงร่างนั้นจะต้องสวย สวยเป็นพิเศษ อีกประการคือ ตรงนี้…”
เขายืดหน้าอกของเขาครั้งหนึ่ง และพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ตรงนี้ต้องใหญ่”
ซ่งชิงไม่สนใจผู้หญิง เขาขมวดคิ้วพูดว่า “ตรงนี้ใหญ่ หมายถึง?”
เขาต้องการสิ่งเปรียบเทียบ
สวี่ชีอันคิดๆ ดูแล้วก็ตอบอย่างรอบคอบว่า “สามเท่าของไฉ่เวย”
…
สำหรับสวี่ชีอันแล้ว การเดินทางมายังสำนักโหราจารย์ครั้งนี้มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เป็นการทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้
เขาเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญาเป็นอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ก็เหมือนกัน
หลังออกจากสำนักโหราจารย์ ฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วนก็ขอลากลับ สวี่ชีอันพาหลี่เมี่ยวเจิน ซูซู และ ลี่น่าไปที่จวนสกุลสวี่
ฉู่ไฉ่เวยทำตาโต ส่งสายตาให้กันจากระยะทางไกล ส่งไปส่งมา ก็ส่งจนถึงจวนสกุลสวี่ ดังนั้นจึงตัดสินใจกินข้าวเย็นที่จวนสกุลสวี่
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว ฉู่ไฉ่เวยก็ตัดสินใจพักที่จวนสกุลสวี่อีก โดยนอนเตียงเดียวกับลี่น่า ทั้งสองเข้ากันได้ดีมาก
หลังงานเลี้ยง สวี่ชีอันเข้าไปในห้องหนังสือของเอ้อร์หลาง เมื่อเห็นน้องชายจุดตะเกียงอ่านหนังสืออยู่ที่โต๊ะ เขาก็ยิ้มและพูดติดตลกว่า
“วันนี้อยู่กับคุณหนูหวังมีความสุขดีหรือ”
สวี่เอ้อร์หลางก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดทันที พูดเสียงขรึมว่า “พี่ใหญ่ ข้ารู้สึกว่าคุณหนูสกุลหวัง น้ำลายไหลกับรูปโฉมของข้า”
การใช้ถ้อยคำไม่ถูกต้อง แต่ความหมายก็คือความหมายนี้…สวี่ชีอันรู้สึกเกินความคาดหมายเล็กน้อย สวี่เอ้อร์หลางรู้สึกได้จริงๆ ด้วย
สวี่เอ้อร์หลางไม่ใช่คนโง่ อีคิวก็ไม่ต่ำเช่นกัน เพียงแต่ขาดประสบการณ์ในการคบหากับผู้หญิง เขายังไม่หลุดพ้นจากสองครั้งก่อน ยังคงยึดติดกับบรรยากาศการประลองปัญญา และความกล้ากับสมุหราชเลขาธิการหวาง
“นางมักจะชมข้าว่าหน้าตาดี กิริยาท่าทาง ก็แสดงออกว่าอยากจะใกล้ชิดข้า” สวี่ซินเหนียนขมวดคิ้วแน่น
“แล้วเจ้าคิดอย่างไร” สวี่ชีอันถาม
“สมุหราชเลขาธิการหวางและเว่ยเยวียนเป็นศัตรูกันทางการเมือง ส่วนพี่ใหญ่เป็นคนสนิทของเว่ยเยวียน ข้าจะมีปัญหากับคุณหนูของสกุลหวางได้อย่างไร” สวี่ซินเหนียนแสดงท่าทีอย่างชัดเจน
ข้าไม่เคยต้องการที่จะตีตราเอ้อร์หลางว่าเป็น ‘ฝ่ายขันที’ กังวลว่าเขาจะไม่มีที่พึ่งในราชสำนัก ถ้าหากเขาสามารถพึ่งพาสมุหราชเลขาธิการหวางได้…แต่เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ใครจะไปรู้ว่าความคิดของข้า จะเป็นการผลักเอ้อร์หลางตกลงไปในหลุมไฟหรือไม่
สวี่ชีอันครุ่นคิดอยู่นาน แล้วจึงพูดสำบัดสำนวนว่า “เจ้าตัดสินใจเองเถิด หนทางข้างหน้าต้องเดินด้วยเท้าของตัวเอง ในราชสำนัก ไม่มีศัตรูถาวร เวลานี้เว่ยกงและสมุหราชเลขาธิการหวางก็กำลังร่วมมือกันแก้ไขข้อบกพร่องของผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่มิใช่หรือ
“ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าภายภาคหน้าเจ้ากับคุณหนูหวางได้ลงเอยกัน นางก็ต้องแต่งงานเข้ามาอยู่ในบ้านสกุลสวี่ ไม่ใช่เจ้าแต่งเข้า ตรงนี้มีความแตกต่างกันในรายละเอียด เจ้ายังคงเป็นอิสระ”
สวี่ซินเหนียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย หน้าแดงเรื่อ “คำพูดของพี่ใหญ่ฟังดูหมือนข้ากับคุณหนูหวางมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันแล้วจริงๆ”
จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “แต่ว่า นางรู้สึกว่าข้าหน้าตาดีจึงได้ชอบข้า หากข้าหน้าตาน่ากลัว นางจะยังชอบข้าอยู่หรือไม่”
สวี่ชีอันตอบเขา “เช่นนี้ต้องดูว่าคำว่า ‘หน้าตา’ พิจารณาจากอะไรแล้ว”
เขารู้สึกว่าการที่คุณหนูหวางชื่นชอบหน้าตาของสวี่เอ้อร์หลางนั้นไม่มีอะไรผิด การชอบใครสักคนนั้น ไม่ควรเริ่มจากใบหน้าหรอกหรือ
เขาชอบหลินอัน ชอบฮว๋ายชิ่ง ชอบไฉ่เวย ชอบหลี่เมี่ยวเจิน ชอบซูซู ชอบลี่น่า และยังชื่นชอบราชครูอย่างมาก เพราะพวกนางสวยทุกคน
เหมือนกับม้างามในหมู่ม้าเช่นแม่ม้าน้อย เขาก็ชื่นชอบเช่นกัน วันไหนไม่ได้ขี่ก็คิดถึงความเนื้อแน่นของมัน
ส่วนคนที่ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริง สวี่ชีอันได้สงวนสิทธิ์ในการชอบนาง
…
เมื่อกลับมาที่ห้อง เขาได้ทำตามวิธีที่บันทึกไว้ใน ‘ตำราเคลื่อนชีพจร’ ชกหมัดช้าๆ อยู่ในห้อง รู้สึกถึงพลังปราณของตัวเองที่กำลังโคจร รู้สึกถึงเลือดที่กำลังไหลเวียน รู้สึกถึงการยืดและการหดตัวของกล้ามเนื้อระหว่างการออกแรง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม สวี่ชีอันก็นั่งลงที่โต๊ะ รับชาอุ่นๆ ที่จงหลีส่งให้ แล้วพูดกับตัวเองว่า
“ช้าเกินไป ตำราเคลื่อนชีพจรอย่างมากที่สุดก็เป็นเพียงตัวช่วย แต่สามารถจะบรรลุถึงขั้นสลายแรงหรือไม่ ยังต้องดูที่ตัวข้าเองด้วย…ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ปลายปีไม่ต้องพูดถึงระดับสี่ แม้แต่ระดับห้าก็ยังยากมาก”
“ข้าจะต้องหาวิธียกระดับกำลังที่มีอยู่จริง โชคชะตาค่อยๆ ฟื้นขึ้น ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังย่อมไม่นั่งดูดาย แม้ว่าจะมีท่านโหราจารย์และไต้ซือเสินซูคอยปกป้องอยู่ ข้าก็ยังไม่ปลอดภัยเต็มที่ อีกฝ่ายอย่างน้อยก็เป็นโหรระดับสาม เบื้องหลังอาจจะยังมีอิทธิพลที่แข็งแกร่งกว่า”
“ต้องการความเร็วแต่ไปไม่ถึง การสลายแรงแม้จะยาก แต่อย่างน้อยก็สามารถทำให้พัฒนาช้าลง การเลื่อนตำแหน่งบรรดาศักดิ์ การเพิ่มอำนาจ จึงจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดสำหรับข้า”
สมัยก่อนเขาเลือกที่จะอยู่ในเมืองหลวง เป็นเพราะว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง มีความหมายความสำคัญ แต่ในใจก็มีความอวดดีว่า ‘อย่างมากข้าก็ท่องไปในยุทธภพ’
แต่ตอนนี้เขาต้องฉกฉวยอำนาจในราชสำนักให้มากยิ่งขึ้น และกำลังที่มีอยู่จริงของตัวเองและอำนาจที่มีอยู่ในมือ ภายภาคหน้าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับ ‘เจ้าหนี้’ ก็ยังมีพลังต่อสู้
ดังนั้น เวลานี้เขาขาดโอกาส ขาดโอกาสในการสร้างความดีความชอบ
“น่าเสียดายนัก ปีแห่งการตรวจสอบข้าราชสำนักผ่านไปแล้ว และเมืองหลวงในเวลานี้ก็คลื่นลมสงบ โอกาสในการสร้างความดีความชอบของข้ามีไม่มาก” สวี่ชีอันถอนหายใจ แล้วกลับมาคิดว่าจะยกระดับการฝึกฝนอย่างไรดี
เมื่อครู่เขาเกิดแรงดลใจขึ้นมาแวบหนึ่ง
ดาบเดียวตัดฟ้าดินเป็นการรวบรวมพลังปราณทั้งร่างกายเข้าด้วยกัน และการสลายแรงก็คือการรวมพลังงานเข้าด้วยกัน โดยไม่มีการสิ้นเปลืองแม้แต่น้อย เป็นการสิ้นเปลืองน้อยที่สุดเพื่อแสดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกมา ทั้งสองแม้จะมีวิธีการแตกต่างกัน แต่ได้ผลดีเท่ากัน
ความคิดนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ และอดใจไม่ไหวที่จะทดสอบ
สวี่ชีอันยืนนิ่งอยู่ในห้อง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ระงับอารมณ์ทั้งหมด ลมหายใจสงบลง…
“ไม่ไม่ ข้าไม่ได้กำลังใช้วิชาดาบเดียวตัดฟ้าดิน……”
เขารีบหยุดสะสมพลังงานทันที สลายพลังปราณ แล้วเริ่มใช้เคล็ดวิชาดาบเดียวตัดฟ้าดินอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้ใช้ร่วมกับพลังปราณ แต่ใช้พลังกายล้วนๆ
‘เปรี๊ยะ!’
ชกออกไปหนึ่งหมัด มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นกลางอากาศ
เนื่องจากไม่พลังปราณเจือปน จึงไม่เกิดความเสียหายขนาดใหญ่
“แขนยังคงสั่นอยู่ แต่ในพริบตาที่ข้าออกหมัดไปนั้น พลังงานก็ปะทุออกไปด้านหนึ่ง แม้ว่าระหว่างนั้นจะสูญเสียพลังงานไปมาก…”
ผลลัพธ์นี้ทำให้สวี่ชีอันดีใจราวกับคนบ้า เขามาถูกทางแล้ว ขอเพียงฝึกฝนตามวิธีนี้ เวลาในการเลื่อนขึ้นไปสู่ระดับห้านั้นจะสั้นลงอย่างมาก
“ดีกว่า ‘ตำราเคลื่อนชีพจร’ มากนัก ฮิฮิ ข้าช่างเป็นอัจฉริยบุคคลจริงๆ ที่ได้ค้นพบวิธีใหม่…” ความดีใจที่เพิ่งปรากฏบนใบหน้าจู่ๆ ก็ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้น
เพราะ ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ เป็นวิชาที่สำนักโหราจารย์ส่งมาให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นของขวัญลับๆ จากท่านโหราจารย์…
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามที่ท่านคาดคะเนไว้นี่นา ท่าน JOJO
…
ห้องทรงพระอักษร พระราชวัง
เพิ่งเลยยามเหม่า เหล่าขุนนางก็ถูกขันทีที่จักรพรรดิส่งตัวมาเรียกให้ไปยังห้องทรงพระอักษร
หลังจากเหล่าขุนนางมากันครบแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งซึ่งสวมเสื้อคลุมลัทธิเต๋า แขนเสื้อว่างเปล่า ทรงพระดำเนินมาด้วยท่าทางสบายพระทัย และทรงประทับบนบัลลังก์ของพระองค์
“ทุกท่านร้องเรียนติดต่อกันมาหลายวันแล้ว จึงอยากตรวจสอบให้ถึงที่สุดเรื่องการสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ข้ามีความรู้สึกเหมือนทุกท่าน” จักรพรรดิหยวนจิ่งมองลงไปที่เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง พระสุรเสียงไม่รีบร้อน
“ข้าอยากจะตั้งคณะทูตไปยังด่านชายแดนเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด ทุกท่านมีใครที่เหมาะสมบ้าง”
สมุหราชเลขาธิการหวาง ก้าวออกมาถวายความเคารพแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาท คดีนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรให้หน่วยสามกองกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลร่วมกันจัดการ”
นี่เป็นความเข้าใจร่วมกันที่ดีที่เกิดขึ้นในราชสำนัก ในระยะเวลาหลายปีมานี้ เมื่อใดก็ตามที่มีคดีใหญ่เกิดขึ้น ตามปกติหน่วยสามกองและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลจะร่วมกันจัดการ ซึ่งเป็นทั้งความร่วมมือ แล้วยังเป็นการตรวจสอบและควบคุมดูแลซึ่งกันและกัน
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงรอครู่หนึ่ง เมื่อทรงเห็นว่าไม่มีขุนนางออกมาคัดค้านหรือกล่าวเสริม จึงทรงตรัสตามสถานการณ์ว่า “แล้วขุนนางผู้รับผิดชอบเล่า ทุกท่านมีคนที่เหมาะสมหรือไม่”
หลายฝ่ายทำงานร่วมกันเพื่อจัดการคดี ถ้าไม่ใช่ต่างคนต่างทำงานของตัวเอง ก็ทำงานกันเป็นกลุ่ม เมื่อทำงานเป็นกลุ่มก็ย่อมต้องมีผู้นำ มิฉะนั้นก็จะไม่สามัคคีกัน
โดยทั่วไปแล้ว คดีที่จำเป็นต้องเดินทางไปต่างถิ่น โดยทั่วไปก็จะทำงานเป็นกลุ่ม ไม่ใช่ต่างคนต่างจัดการคดี
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ขุนนางผู้รับผิดชอบ’ สามคำ ในสมองของเหล่าขุนนางก็ปรากฏภาพของชายหนุ่มที่ท่าทางยโสที่สวมเครื่องแบบฆ้องเงินขึ้นแทบจะตามสัญชาตญาณและความเคยชินทันที
นี่เป็นทั้งการยอมรับในความสามารถของสวี่ชีอัน และเป็นเพราะกว่าครึ่งปีมานี้ สวี่ชีอันได้คลี่คลายคดีใหญ่และคดีสำคัญคดีแล้วคดีเล่า สร้างความประทับใจให้กับผู้คนเป็นอย่างยิ่ง
สมุหราชเลขาธิการหวางพึมพำอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “สามารถแต่งตั้งสวี่ชีอันฆ้องเงินจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบได้พ่ะย่ะค่ะ”
เขาไม่ได้ชมสวี่ชีอันว่าเป็นคนอย่างไร เพราะไม่มีความจำเป็น
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงพยักพระพักตร์ แล้วทรงกวาดพระเนตรมองเหล่าขุนนาง แล้วกล่าวว่า “ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไร”
“ดีพ่ะย่ะค่ะ!”
เหล่าขุนนางตอบพร้อมเพรียงกัน
…
ห้องน้ำชา หอเฮ่าชี่
“อะไรนะ คดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้ ข้าเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบ?”
สวี่ชีอันเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็เบิกตาโตกว้างด้วยความตกใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความงงงัน
คดีนี้ต่างจากคดีอวิ๋นโจวครั้งก่อน คดีอวิ๋นโจว ผู้ตรวจการจางเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบ ส่วนเขาเป็นหนึ่งในผู้ติดตาม แต่ครั้งนี้ เขาเป็นผู้รับผิดชอบตามหลักการ
ส่วนได้ส่วนเสียชัดเจนมาก หากคลี่คลายคดีนี้ได้ เขาก็จะมีความดีความชอบ หากคดีสังหารเลือดหมู่สามพันลี้มีอยู่จริง และเขาเป็นคนสำรวจพบความจริง มีคุณงามความดีใหญ่หลวงอย่างยากจะคาดคิด
ข้ากำลังกังวลว่าจะไม่มีโอกาสสร้างความดีความชอบอยู่พอดี…กำลังสัปหงกอยู่แท้ๆ ก็มีคนส่งหมอนมาให้? สวี่ชีอันทั้งดีใจทั้งกังวล เพราะถ้าคลี่คลายคดีไม่ได้เขาก็จะถูกลงโทษ
แบบนี้ก็ดี เพราะหากคดีสังหารเลือดหมู่พันลี้เป็นความผิดพลาดของอ๋องสยบแดนเหนือจริงๆ และอ๋องสยบแดนเหนือรายงานเท็จเรื่องสถานการณ์ทางการทหาร ถ้าเช่นนั้นเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย
“เว่ยกง เหล่าขุนนางเลือกให้ข้าเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบ เกรงว่าจะมีเจตนาไม่ดีหรือไม่ เหตุใดฝ่าบาทจึงไม่ทรงแต่งตั้งผู้ตรวจการ แต่กลับทรงเห็นชอบด้วยที่จะให้ฆ้องเงินเช่นข้าเป็นขุนนางผู้รับผิดชอบ”
สวี่ชีอันมองไปที่ขุนนางใหญ่ที่อยู่ตรงข้าม แล้วพูดต่อว่า “ท่านต้องส่งฆ้องทองคำคนหนึ่งไปปกป้องข้านะขอรับ”
เว่ยเยวียนลูบถ้วยน้ำชา พูดด้วยนำเสียงอ่อนโยน “ดีมาก ฉลาดขึ้นกว่าเมื่อก่อน เจ้าคนก่อนไม่ค่อยคำนึงถึงจุดประสงค์เหล่าขุนนางในราชสำนักและความคิดของฝ่าบาท”
ไม่ใช่ ข้าแค่รู้สึกว่ามีผู้นำแห่งการต่อสู้ทางการเมืองเช่นท่านอยู่ข้างกาย จึงขี้เกียจที่จะใช้สมอง…สวี่ชีอันกล่าวอย่างถ่อมตน “เว่ยกงได้โปรดสั่งสอนข้าด้วย”
………………………………………………………..