ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 344 เจรจายามค่ำคืน
บทที่ 344 เจรจายามค่ำคืน
บนดาดฟ้าความเงียบเข้าครอบงำผิดปกติ
เหล่าขุนนางและทหารรักษาพระองค์สามกองต่างเงียบกริบราวกับจักจั่นในฤดูเหมันต์ ไม่กล้าที่จะยั่วยุสวี่ชีอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวหน้ากรมอาญาที่เพิ่งกล่าวว่าสวี่ชีอันต้องการถือสิทธิ์ออกเสียงแต่เพียงผู้เดียวซึ่งเป็นความคิดที่เพ้อเจ้อ
ขณะนั้นเพียงรู้สึกถึงแก้มที่ร้อนผ่าว ทันใดนั้นก็เข้าใจความโกรธ ไร้อำนาจของหัวหน้ากรมอาญาและความเกลียดเข้ากระดูกดำที่มีต่อเด็กคนนี้แต่กลับไม่สามารถทำอะไรได้
แน่นอนว่าคนที่อับอายที่สุดคือฉู่เซียงหลง ในฐานะรองแม่ทัพของอ๋องสยบแดนเหนือ เขามีอำนาจกุมถึงฝ่ายชายแดน กลับไปเมืองหลวงได้โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพิงใคร
ต่อให้เป็นองค์ชายแห่งราชสำนัก เขาก็ไม่กลัวเพราะผู้ที่สามารถควบคุมชีวิต ความตายและอนาคตของเขาได้คืออ๋องสยบแดนเหนือ ไม่ว่าองค์ชายจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่สามารถรับมือเขาได้
เขาค่อยๆ ฟูมฟักความหยิ่งผยอง จนกระทั่งตกอยู่ภายใต้อำนาจของสวี่ชีอันในตอนนี้
ฉู่เซียงหลงเตือนตัวเองให้เห็นแก่ส่วนรวม ขณะเดียวกันก็ระงับความโกรธและบันดาลโทสะภายในใจ แต่เขาอับอายเกินกว่าจะอยู่บนดาดฟ้า เพียงมองจ้องไปที่สวี่ชีอันและจากไปโดยไม่พูดอะไร
เขาเพียงรู้สึกว่าทุกคนมองตนเองด้วยความเย้ยหยัน ดังนั้นจึงอยู่ไม่ได้แม้ชั่วขณะ
บนดาดฟ้าภายในห้องโดยสาร สายตาหลายคู่จับจ้องไปที่สวี่ชีอัน ดวงตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างเงียบๆ จากสายตาพินิจ ชมการแสดงชั้นยอดกลายมาเป็นความเกรงกลัว
ไม่ว่าตำแหน่งทางราชการของอวิ๋นหลัวจะเป็นอะไรย่อมมีขุนนางหลายคนในกองที่มีตำแหน่งสูงกว่าเขา แต่อำนาจที่ควบคุมโดยสวี่อวิ๋นหลัวต่อการแบกรับชีวิตขององค์จักรพรรดินั้นทำให้เขากลายเป็นข้าราชการที่ไร้ข้อกังขา
หากใครกล้าหน้าไหว้หลังหลอกหรือข่มเหงด้วยตำแหน่งทางการ ความอัปยศอดสูของฉู่เซียงหลงในวันนี้ถือเป็นตัวอย่างของพวกเขา
พระมเหสีถูกเหล่านางรับใช้นี้ขวางไว้จึงไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของทุกคนบนดาดฟ้าได้ ทว่าแค่ได้ยินเสียงก็เพียงพอแล้ว
‘เมื่อมองแวบแรกพฤติกรรมของเขาอาจดูเผด็จการและแข็งกร้าวทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความเป็นเด็ก แต่ในความเป็นจริงแม้จะหยาบกระด้างแต่กลับเป็นคนรอบคอบและระมัดระวัง เขาคาดการณ์อยู่ก่อนแล้วว่ากองทหารต้องห้ามจะล้อมเขาไว้…ไม่ ไม่สิ ข้าถูกสิ่งภายนอกทำให้สับสนเสียแล้ว สาเหตุที่เขาสามารถปราบฉู่เซียงหลงได้ก็เพราะเขาทำในสิ่งที่ไม่ควรละอาย ดังนั้นเขาจึงสามารถซื่อตรงและซื่อสัตย์ ดังคำกล่าวที่ว่า ‘ผู้ที่ตั้งตนอยู่ในธรรมย่อมจะมีแต่ผู้ให้การช่วยเหลือ ผู้ที่ขาดธรรมย่อมจะมีแต่คนตีจาก’ พระมเหสียอมรับว่าคนคนนี้เป็นชายผู้มากด้วยความหาญกล้าและเปี่ยมเสน่ห์ แต่เขามีตัณหามากเกินไป’
เมื่อฉู่เซียงหลงยอมแพ้และจากไป พายุห่าใหญ่ที่นี่ก็จบลง
สวี่อวิ๋นหลัวเอาใจกองทหารต้องห้าม เขาเดินไปที่ห้องโดยสาร เหล่านางรับใช้ที่ขวางทางเข้าต่างก็แตกตื่น มองดูเขาด้วยความกลัว
เมื่อเดินผ่านหญิงคร่ำครึ สวี่ชีอันก็ขยิบตาให้นาง อีกฝ่ายแสดงอาการเหยียดหยามในทันที ก่อนจะเบือนหน้าหนีด้วยความรังเกียจ
‘เจ้าชู้จริงๆ’…พระมเหสีพึมพำในใจ
รูปลักษณ์ปัจจุบันของนางไม่สามารถเทียบเท่าได้กับความงาม เรียกได้ว่าแสนจะธรรมดา อย่างไรก็ตามถึงกระนั้นสวี่ชีอันเจ้าตัณหาก็ยังพยายามที่คิดจะรวบรัด
เมื่อเข้าไปในห้องโดยสารและขึ้นไปที่ชั้นสอง สวี่ชีอันก็เคาะประตูของหยางเยี่ยน
“เข้ามา!”
หยางจินหลัวรังเกียจที่จะมีส่วนร่วมในข้อพิพาทตั้งแต่ต้นจึงกล่าวตอบรับเบาๆ
สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปก็พบหยางเยี่ยนนั่งไขว่ห้างอยู่บนเตียง พร้อมกับวางรองเท้าบูตคู่หนึ่งไว้ด้านข้างอย่างเรียบร้อย
หยางเยี่ยนทำงานพิถีพิถัน ต่างจากพี่ชุนที่ย้ำคิดย้ำทำ
สวี่ชีอันปิดประตูแล้วเดินไปที่โต๊ะ เขารินน้ำใส่แก้วให้ตัวเองก่อนจะดื่มจนหมดในคราวเดียว เสียงทุ้มเอ่ย “เกิดอะไรขึ้นกับหญิงคนนั้น?”
“ฉู่เซียงหลงตามคุ้มกันพระมเหสีเสด็จไปทางตอนเหนือ เพื่อที่จะปิดหูปิดตาผู้คนแล้วแฝงตัวอยู่ในคณะ เรื่องนี้ฝ่าบาททรงทักเว่ยกงแล้วแต่เป็นเพียงพระราชบัญชา ไม่มีเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร” หยางเยี่ยนกล่าว
เป็นพระมเหสีจริงๆ ด้วย…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว เขาเดาถูก หญิงสาวที่ฉู่หลงเซียงคุ้มกันนั้นเป็นพระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือจริงๆ ด้วยเหตุนี้เขาเพียงขัดขวางฉู่หลงเซียง แต่ไม่ได้จะขับไล่เขาจริงๆ
“เหตุใดต้องคุ้มกันพระมเหสีให้เสด็จไปทางตอนเหนืออย่างหลบๆ ซ่อนๆ ขนาดนี้ด้วย” สวี่ชีอันถาม
หยางเยี่ยนส่ายหัว
ต้องมีเงื่อนงำบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้…สวี่ชีอันลดเสียงของเขาและพูดว่า “หัวหน้าเห็นด้วยหรือไม่ พระมเหสีองค์นี้รู้สึกว่านางจะเป็นคนลึกลับยิ่งนัก”
หยางเยี่ยนขมวดคิ้วเล็กน้อย คำถามนี้ทำให้เขาลำบากใจ ท้ายที่สุดท่าเรืออันอบอุ่นในใต้หล้านี้ก็ไม่ใช่สถานการณ์อันตรายที่มนุษย์โหยหาและสำหรับผู้ที่คลั่งไคล้ในวิทยายุทธ์ การนินทาเดียวย่อมไม่มีความหมายอะไรแม้แต่น้อย
“ข้ารู้อะไรไม่มาก เพียงแต่หลังจากการต่อสู้ที่ด่านซานไห่ในปีนั้น พระมเหสีก็ถูกฝ่าบาทถวายให้แก่ไหวอ๋อง ยี่สิบปีต่อมานางก็ไม่เคยออกจากเมืองหลวงอีกเลย”
เรื่องพวกนี้ข้าทราบดี ข้ายังจำบทกวีที่บรรยายถึงพระมเหสีได้อยู่เลย…เมื่อสวี่ชีอันไม่สามารถเอ่ยถามเรื่องวงในอะไรได้ ก็รู้สึกผิดหวังทันที
“ครั้งนี้เจ้าทำให้ฉู่หลงเซียงขุ่นเคือง เมื่อมาถึงทางเหนือแล้ว เจ้าจะต้องถูกข่มเหง แต่ในขณะเดียวกันก็ประสบความสำเร็จในการสร้างบารมี ในการเดินทางครั้งนี้ไม่มีใครกล้าแข่งขันกับเจ้าหรอก”
หยางเยี่ยนกล่าวต่อ “คนจากทั้งสามกองไม่น่าเชื่อถือ พวกเขาไม่มีความกระตือรือร้นในคดีนี้”
จะเห็นได้จากการที่ยามไม่มีอันตรายพวกเขาจะเข้าเร่งสอบสวน เมื่อต้องเผชิญกับภยันตรายก็จะเกรงกลัวและถอยหนี ท้ายที่สุดถ้าทำงานออกมาได้ไม่ดีอย่างมากที่สุดก็แค่ถูกลงโทษดีกว่าต้องเอาชีวิตไปทิ้งขว้าง…สวี่ชีอันพยักหน้า
“ข้ารู้ นี่มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์”
หยางเยี่ยนไม่ได้ทักท้วงอะไร ก่อนจะพยักหน้าและมองไปที่สวี่ชีอัน “เจ้ามีอะไรอีกหรือไม่ หากไม่มีแล้วก็ออกไป อย่ารบกวนการฝึกตนของข้า”
หัวหน้านี่น่าเบื่อจริงๆ แม้แต่ในชาติที่แล้วของข้า ท่านเป็นถึงโปรแกรมเมอร์ ผู้หญิงถอดกางเกงออกต่อหน้าเขา เขาก็แค่ตะโกนว่า ‘นี่มันอะไรกัน’
สวี่ชีอันออกจากห้องไปกึ่งขบขันกึ่งแขวะ
…
หลังอาหารเย็นวันนี้ ในคืนที่มืดมิดที่ชิงหมิง สวี่ชีอัน เฉินเซียว และกองทหารต้องห้ามต่างนั่งบนดาดฟ้าพลางพูดคุยโอ้อวดกัน
สวี่ชีอันเล่าเรื่องคดีเงินภาษี คดีซังผอและคดีของท่านหญิงผิงหยาง ฯลฯ ให้พวกเขาฟัง เหล่าทหารที่ฟังก็ชื่นชมด้วยใจจริง ต่างคิดว่าสวี่ชีอันเป็นเทพเจ้า
ในฐานะกองทัพที่ปกป้องเมืองหลวง พวกเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับคดีเหล่านี้มาก่อน แต่พวกเขาไม่รู้รายละเอียด ในที่สุดตอนนี้ก็รู้แล้วว่าสวี่อวิ๋นหลัวแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร
ตัวอย่างเช่นในคดีเงินภาษี สวี่หนิงเยี่ยนซึ่งเป็นมือปราบแห่งอำเภอฉางเล่อในขณะนั้นแม้จะติดอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากแต่จิตใจกลับสงบนิ่ง ทั้งยังพูดกับข้าหลวงว่า ‘ท่านต้องการสืบสวนคดีหรือไม่?’
ข้าหลวงตอบว่า ‘ต้องการ’
สวี่หนิงเยี่ยนกล่าวเบาๆ ‘ส่งเอกสารมา’
ด้วยเหตุนี้ระเบียนเอกสารจึงถูกส่งมา เขาเพียงเหลือบไปมอง จากนั้นก็สืบสวนคดีเงินภาษีของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและข้าราชการ
ตัวอย่างอีกหนึ่งคดีที่สลับซับซ้อนคือคดีซังผอซึ่งถูกบันทึกลงหน้าประวัติศาสตร์ ที่สร้างความสับสนให้กับกรมอาญาและมือปราบที่ว่าการเมืองจนทั้งสองหมดปัญญาสู้ แต่ไม่ใช่กับสวี่อวิ๋นหลัว ขณะนั้นเขายังเป็นเพียงสวี่ถงหลัวผู้ถือเหรียญทองพระราชทาน กล่าวกับกรมอาญาและที่ว่าการเมืองอย่างพวกขี้เมาหยำเป
‘สำหรับคดีที่กรมอาญาไม่สามารถรับมือได้ ข้า สวี่ชีอันจะขอจัดการเอง สิ่งที่กรมอาญาไม่กล้ากระทำ ข้า สวี่ชีอันก็จะขอดำเนินการเองด้วยเช่นกัน’
กรมอาญาผู้พ่ายแพ้ต่างก้มหัวด้วยความละอาย
‘สวี่อวิ๋นหลัวช่างน่าทึ่งจริงๆ’…กองทหารต้องห้ามชื่นชมเขามากขึ้นเรื่อยๆ และนับถือเขา
“อันที่จริงไม่ว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นอะไร สิ่งน่าภูมิใจที่สุดในชีวิตข้าก็คือคดีอวิ๋นโจว”
สวี่ชีอันถือเหยือกสุราในมือ ใบหน้าตอบเอนเอียงกล่าวอย่างภาคภูมิใจ “ในวันนั้นกลุ่มกบฏในอวิ๋นโจวได้จับกุมผู้ว่าการมณฑล ชีวิตของผู้ตรวจการและคณะดั่งแขวนไว้บนเส้นด้าย ขณะนั้นข้ายืนอยู่ต่อหน้ากลุ่มกบฏนับแปดพันคนเพียงตัวคนเดียวด้วยดาบหนึ่งเล่ม ไม่มีใครสามารถฝ่าไปได้ ข้าฟาดฟันอยู่นานนับชั่วโมง แม้ร่างจะมีรอยคมดาบหลายสิบแห่งพร้อมทั้งหุ้มด้วยลูกศรทั่วกาย ทว่ากลับไม่มีใครสักคนที่ฝ่าไปได้”
“แปดพัน?” ผู้การเฉินเซียวผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เกาศีรษะและพูดว่า “เหตุใดข้าได้ยินมาว่าเป็นกบฏหนึ่งหมื่นคนเล่า?”
“ข้าได้ยินมาว่าหนึ่งหมื่นห้าพัน”
“ไม่ๆๆๆ ข้าได้ยินมาจากพี่ชายของข้าในกองทหารต้องห้าม ว่ามีกบฏทั้งหมดสองหมื่นคน”
พวกทหารเถียงกัน
นะ…นี่มันกล่าวเกินจริงมากไปแล้ว ข้าชักเบื่อแล้วสิ สวี่ชีอันกระแอมดึงความสนใจของทุกคนและพูดว่า
“ที่ไหนล่ะ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นข่าวลือ ตามจำนวนที่ข้านับได้มีกบฏเพียงแปดพันคนเท่านั้น”
แปดพันเป็นจำนวนที่สวี่ชีอันคิดว่าสมเหตุสมผลกว่า หากเกินกว่าหลักหมื่นก็ดูจะกล่าวเกินจริงไปสักหน่อย บางครั้งเขาก็อาจจะตาพร่า ตั้งแต่ต้นฆ่ากบฏไปกี่คนกัน
“ที่แท้ก็กบฏจำนวนแปดพันคนนี่เอง”
เหล่ากองทหารต้องห้ามตระหนักได้ในทันใด เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่านี่เป็นข้อมูลจริง ท้ายที่สุดก็เป็นคำพูดของสวี่อวิ๋นหลัวเอง
ระหว่างสนทนาก็จวนถึงเวลาออกลาดตระเวน สวี่ชีอันปรบมือพร้อมเอ่ย
“พรุ่งนี้คงจะถึงเจียงโจวแล้ว ไกลออกไปทางตอนเหนือคือชายแดนฉู่โจว พวกเราหยุดพักที่ศาลาพักม้าของเจียงโจวเพื่อเติมเสบียงก่อน พรุ่งนี้ข้าจะให้ทุกคนพักครึ่งวันก็แล้วกัน”
‘ใต้เท้าสวี่ช่างใจดีจริงๆ’…เหล่าหัวหน้ากองทหารใหญ่ต่างกลับไปที่ท้องเรืออย่างมีความสุข
ทุกวันนี้พวกเขาไม่ต้องอุดอู้อยู่ในท้องเรือแล้ว บ่อยครั้งก็พากันทำความสะอาดห้องน้ำจนสภาพแวดล้อมได้รับการปรับปรุงครั้งยิ่งใหญ่ ทำให้ผิวพรรณของพวกเขาดีขึ้นมาก
ดาดฟ้าเรือที่ครึกครื้นเมื่อครู่ไม่นานก็เงียบเหงา เวลาต่อมาแสงจันทร์ที่เยือกเย็นราวกับน้ำแข็งพลันสาดส่องระยิบระยับลงบนเรือ บนใบหน้าของผู้คนและบนผิวท้องน้ำ
“พวกโป้ปด!”
สวี่ชีอันที่กำลังถือเหยือกสุราอยู่ พลางได้ยินเสียงคนด่าทอเขาอยู่ข้างๆ
เขายิ้มอย่างไร้ยางอายและพูดว่า “เจ้าอิจฉาความเป็นเลิศของข้าสินะ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าโป้ปด เจ้าไม่ได้อยู่ที่อวิ๋นโจวเสียหน่อย”
หญิงคร่ำครึปากคอเราะราย จีบปากจีบคอกล่าว “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังเอ่ยถึงคดีอวิ๋นโจว?”
สวี่ชีอันสำลักกับคำพูดของนางพลางพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าต้องการอะไร หากไม่มีก็ไปเสียเถอะ”
หญิงคร่ำครึเอ่ย “ไม่ไป นี่ไม่ใช่เรือของเจ้าเสียหน่อย”
ร่างกายของนางเปราะบาง ทำให้ไม่อาจทานทนต่อแรงสั่นสะเทือนของเรือได้ เมื่อไม่กี่วันมานี้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทั้งถุงใต้ตาก็ซีดเผือดเหือดแห้ง จนต้องคอยออกมารับลมบนดาดฟ้าก่อนเข้านอนอยู่เป็นประจำ
ทันใดนั้นก็เผอิญเห็นเขาคุยจ้ออยู่กับหัวหน้ากองทหารบนดาดฟ้าเข้า นางจึงทำได้เพียงแอบซ่อนและดักฟัง รอจนกว่าหัวหน้ากองทหารจะจากไปถึงกล้าออกมาจากที่ซ่อน
สวี่ชีอันเพิกเฉยต่อนาง และนางก็เพิกเฉยต่อสวี่ชีอันเช่นกัน คนหนึ่งก้มศีรษะลงเมียงมองไปยังท้องน้ำที่ส่องแสงระยิบระยับ ในขณะที่อีกคนแหงนมองไปยังดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า
เมื่อไร้เสียงเอ่ยของหญิงคร่ำครึ มวลรอบตัวจึงรายล้อมด้วยความงามอันเงียบสงบราวกับดอกไห่ถังที่เบ่งบานเพียงลำพังภายใต้แสงจันทร์
แสงจันทร์ส่องกระทบใบหน้าราบเรียบของนาง แต่ดวงตากลับซุกซ่อนอยู่ในเงาของแพขนตา ดูลึกล้ำราวกับท้องทะเลและอัญมณีสีนิลอันบริสุทธิ์ยิ่ง
สวี่ชีอันจิบสุรา เบือนหน้าละจากนาง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจกล่าว “ข้ารุ่งเรืองในด้านกวีนิพนธ์ จะเขียนกลอนแก่เจ้าหนึ่งบทก็แล้วกัน เจ้านับว่าโชคดี ต่อไปจะได้นำบทกวีข้าไปอวดอ้างต่อหน้าผู้คนได้”
นางหัวเราะเยาะเย้ย แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความรังเกียจ แต่ใบหูกลับผึ่งอย่างตั้งใจฟัง
ต่อให้อยากจะโจมตีหรือหัวเราะเยาะชายผู้ที่มักทำให้นางโกรธอยู่เสมอคนนี้ ทว่าในแง่ของบทกวี เขานั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นกวีชั้นยอดแห่งต้าฟ่ง การพูดหยาบคายออกไปรังแต่จะทำให้นางดูโง่เขลาเท่านั้น
หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นว่าเขาจะคิดบทกวีแต่อย่างใด หญิงคร่ำครึที่รอผลงานชิ้นเอกของเขาจึงอดไม่ได้ที่จะหันมอง ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาขี้เล่น
นางหันกลับมาอย่างโกรธเคือง
จากนั้นเสียงลมหายใจและเอื้อนกวีของชายคนนั้นก็กระทบมาที่ข้างหู “คนวันนี้มิเคยยลจันทร์กาลก่อน จันทร์นี้ก่อนเคยสาดส่องคนก่อนเก่า”
คนวันนี้มิเคยยลจันทร์กาลก่อน จันทร์นี้ก่อนเคยสาดส่องคนก่อนเก่า…
ดวงตาของนางค่อยๆ เบิกกว้าง ปากที่กำลังร่ายกวีพลันมีสีสันสวยงามเกินคำบรรยาย
“ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าทำไมปัญญาชนในเมืองหลวงพวกนั้นถึงชอบบทกวีของเจ้านัก” นางถอนหายใจเบาๆ
พวกเขาไม่ได้ประจบข้า ข้าไม่ได้เป็นนักแต่งบทกวี ข้าเป็นเพียงผู้ฝักใฝ่กวีเท่านั้น…
สวี่ชีอันยิ้มและพูดว่า
“ชมเกินไปแล้วๆ พรสวรรค์ด้านกวีนี้มีมาแต่กำเนิด ข้าเกิดมาในห้วงความคิดก็เต็มไปด้วยผลงานชิ้นเอกแล้ว สามารถเขียนได้โดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ”
คราวนี้หญิงคร่ำครึที่อารมณ์ผันผวนไม่ได้โจมตีหรือหักล้าง กลับถามว่า “แล้วท่อนต่อไปล่ะ?”
ท่อนหลังจากนั้นข้าจำไม่ได้แล้ว…สวี่ชีอันผายมืออย่างไม่รู้ “ข้าแต่งมาเพียงเท่านี้ ต่อจากนั้นไม่มีแล้ว”
นางกัดฟันและพูดว่า “ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนจำนวนมากถึงเกลียดเจ้า”
จากนั้นความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครั้ง
ขณะนั้นหญิงคร่ำครึนอนอยู่บนราวบันไดกำลังมองดูผิวน้ำที่ไหลเป็นคลื่น ท่าทางนี้ทำให้ก้นของนางเอียงขึ้นเล็กน้อย ภายใต้ชุดบางพลิ้ว ก้นกลมทั้งสองข้างพลันถูกแนบเน้นไว้
“ใหญ่และกลมมนนัก นี่มันลูกพีชหรือพระจันทร์เต็มดวงกันแน่นะ…” สวี่ชีอันมักจะแสดงความคิดเห็นในใจอยู่เป็นประจำ ก่อนจะเบือนหน้าหนีไป
ดูต่อไปไม่ได้ เขาคงจะได้กลายเป็นคนหยาบคายมากแน่ๆ
“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าจะไปทางตอนเหนือเพื่อสืบคดีเลือดสังหารพันลี้งั้นหรือ” นางเอ่ยถามทันที
“อืม” สวี่ชีอันพยักหน้าพูดรวบรัด
“เป็นคดีอะไรน่ะ” นางถามอีกครั้ง
“ในตอนนี้ยังไม่แน่ชัด แต่ข้าคาดว่าอาจเกี่ยวกับเผ่าอนารยชนที่บุกชายแดน เผาปล้นสะดมและสังหารเลือดสามพันลี้ ทั้งนี้เพราะอ๋องสยบแดนเหนือไม่สามารถปกป้องเมืองได้” สวี่ชีอันเอ่ยการคาดเดาของเขา
“โอ้!”
นางพยักหน้าและพูดว่า “หากเป็นเรื่องนี้ เจ้าไม่กลัวว่าจะเป็นการขัดขวางอ๋องสยบแดนเหนือหรือ”
“ก็กลัว”
สวี่ชีอันกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “หากคดีนี้ไม่ได้เหยียบจมูกข้า ข้าก็คงจะเมินเฉยและดูแลสิ่งต่างๆ รอบตัว เพียงแต่มันดันเหยียบจมูกข้าเนี่ยสิ คิดเสียว่าเป็นประสงค์ของพระเจ้า เนื่องจากเป็นน้ำพระทัยของพระองค์แล้ว ฉะนั้นข้าก็ต้องไปดู”
นางไม่พูดอะไรเพียงเหล่มอง เพลิดเพลินกับลมเย็นๆ ของท้องน้ำ
สวี่ชีอันกลอกตาและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนที่ข้านั่งเรือไปอวิ๋นโจวเมื่อปีที่แล้ว ข้าได้เจอสิ่งแปลกๆ ระหว่างทางด้วยนะ”
ทันใดนั้นนางก็เริ่มสนใจและหันศีรษะไปด้านข้าง
“ระหว่างทาง ทหารนายหนึ่งมาที่ดาดฟ้าเรือในตอนกลางคืน นอนบนราวกั้นในท่าเดียวกับเจ้า แล้วจ้องมองไปที่น้ำ จากนั้นก็…”
สวี่ชีอันจ้องมองที่ห้วงน้ำ การแสดงออกที่น่ากลัวปรากฏขึ้น
นางยังคงจ้องมองไปที่ห้วงน้ำอย่างใจจดใจจ่อ
“จากนั้นผีพรายก็โผล่ออกมาจากแม่น้ำ!” สวี่ชีอันกล่าวด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“ระ ไร้สาระ…”
หญิงคร่ำครึหน้าซีดเผือด เกิดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะยืนกรานและพูดว่า “เจ้าแค่คิดจะทำให้ข้ากลัวเท่านั้นแหละ”
‘ผลุบ!’
ทันใดนั้นก็เกิดเสียงบนผิวน้ำจนน้ำกระเซ็น
นางกรีดร้องและนั่งลงบนพื้นด้วยความตกใจ กุมศีรษะด้วยท่าทางสั่นเทา
“ฮ่าๆๆๆ!”
สวี่ชีอันระเบิดเสียงหัวเราะชี้ไปที่ท่าทางเขินอายของหญิงคร่ำครึ กล่าวอย่างขบขัน “เหยือกทำให้เจ้ากลัวได้ขนาดนี้เลยหรือนี่”
หญิงคร่ำครึลุกขึ้นเงียบๆ ใบหน้าเย็นชาราวกับน้ำค้างแข็งจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
โกรธเหรอ? สวี่ชีอันมองตามหลังของนางพลางตะโกน “นี่ๆๆๆ กลับมาคุยกันก่อนสิน้องสาว”
…
เวลารุ่งสาง เรือทางการค่อยๆ จอดเทียบท่าเรือของเขตหวงโหยว หนึ่งในไม่กี่เขตของเจียงโจวที่มีท่าเรือ การพัฒนาทางเศรษฐกิจของเขตหวงโหยวนับว่าไม่เลวเลยทีเดียว
สถานที่แห่งนี้อุดมไปด้วยหยกสีเหลืองอมส้ม เนื้อหยกใสสีราวกับเนย จึงได้ชื่อว่าหยกหวงโหยว[1]
เรือทางการจะจอดเทียบท่าเป็นเวลาหนึ่งวัน สวี่ชีอันส่งคนขึ้นฝั่งเพื่อเตรียมเสบียง ในขณะเดียวกันก็แบ่งกองทหารต้องห้ามออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคอยอยู่เฝ้าหลังเรือและอีกกลุ่มหนึ่งเร่เข้าในเมือง ครึ่งวันผ่านไปค่อยสลับเปลี่ยนเป็นชุดอื่น
“ใช้เวลาให้คุ้มค่าขณะที่มีเวลา หลังมื้อกลางวันพาหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปเที่ยวเล่นเสาะหาหอคณิกาในเมืองเสียหน่อยดีกว่า ส่วนหยางเยี่ยนก็ปล่อยให้เขาอยู่บนเรือไปเถอะ…”
ท่ามกลางแสงยามเช้า สวี่ชีอันคิดกับตัวเอง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอาเจียนจากมุมดาดฟ้า
เมื่อหันไปมองก็เห็นความกลมของลูกพีชหรือพระจันทร์เต็มดวงก็ไม่ปานของหญิงคร่ำครึ กำลังนอนอาเจียนอยู่ข้างเรือไม่หยุด
“น้องสาว เจ้าท้องแล้วหรือ” สวี่ชีอันหยอกล้อ ก่อนจะหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วส่งต่อให้เจ้าตัว
นางไม่สนใจเพียงรับมาแล้วเช็ดปาก ใบหน้าซีดเซียวและดวงตาแดงก่ำ ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้นอนทั้งคืน
“เมื่อวานข้าเห็นเจ้าสีหน้าไม่ดี เกิดอะไรขึ้น”สวี่ชีอันเอ่ยถาม
น้องสาวจ้องมาที่เขาพลางเดินสะบัดสะโพกกลับไปที่ห้องโดยสาร
เมื่อคืนนางรู้สึกกลัวจนนอนไม่หลับทั้งคืน มักจะรู้สึกว่ามีดวงตาที่น่าสะพรึงกลัวจ้องมองมาจากม่านบนเตียงที่พลิ้วไหว หรือไม่ก็มีมือยื่นออกมาจากใต้เตียง หรือมีหัวห้อยลงมาจากหน้าต่าง…
ผ้าห่มถูกม้วนขึ้นคลุมศีรษะ จะนอนก็ไม่กล้านอน ทั้งยังต้องยื่นหัวออกมาเป็นครั้งคราวเพื่อสังเกตห้อง
ไม่ได้นอนทั้งคืน ประกอบกับตัวเรือที่ปั่นป่วน ความเหนื่อยล้าที่ค้างคาอยู่จากสองสามวันที่ผ่านมาก็ปะทุขึ้นอย่างกะทันหัน ทั้งปวดหัว อาเจียน และรู้สึกอึดอัด
ทั้งหมดเป็นเพราะเด็กนั่น
ไม่สนใจข้าไม่ว่า ยังต้องมากลัวอะไรแบบนี้อีก เจ้าทำให้ข้าไปร่ำสุราและฟังเพลงที่หอคณิกาล่าช้า…
สวี่ชีอันพึมพำ ก่อนจะลงจากเรือไปอย่างมีไมตรีจิต
……………………………………………
[1] 黄油 แปลว่าเนย