ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 346 ซุ่มโจมตี (1)
บทที่ 346 ซุ่มโจมตี (1)
สวี่ชีอันรู้สึกแปลกใจและไม่แปลกใจกับการคาดเดานี้
สิ่งที่น่าแปลกใจคือ เขาคิดเสมอว่าพระมเหสีแห่งอ๋องสยบแดนเหนือเป็นผู้ที่หน้าตาดีหมายเลขหนึ่งแห่งต้าฟ่ง และยังมีคุณสมบัติของหญิงสาวผู้บอบบางอีก ไม่สมควรมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ลับใดๆ
สิ่งที่ไม่น่าแปลกใจคือ มักจะสังเกตเห็นฉู่เซียงหลงพาหญิงสาวที่อยู่ในความอุปการะมาด้วย และหลังจากรู้จากปากของหยางเยี่ยนว่าพระมเหสีเดินตามหลังมาด้วย เขาคิดไว้อยู่แล้ว
“เนื่องจากอาจจะมีอันตราย เช่นนั้นต้องมีการใช้มาตรการเตรียมรับมือและระมัดระวังไว้…อื้อ ตอนนี้ไม่รีบร้อน ข้าขอยุ่งเรื่องของตนเองเสียก่อน…”
สวี่ชีอันหยิบถุงผ้าขึ้นมา วางหยกหวงโหยวแปดชิ้นวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงหยิบมีดแกะสลักที่เตรียมไว้ออกมา และเริ่มแกะสลัก
…
หลังจากกินอิ่มสวมเสื้อผ้าอุ่นๆ แล้ว หญิงคร่ำครึก็นอนงีบหลับอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง หลับลึกมาก ไม่นานก็ถูกเสียงเอะอะที่อยู่หัวเรือปลุกให้ตื่น
นางทุบหมอนสองสามครั้งด้วยความโกรธ ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะ เก็บกวาดถ้วยและตะเกียบใส่กลับเข้าไปในกล่องอาหาร แล้วออกจากห้องไปพร้อมกับมัน
เมื่อลงบันได ถึงชั้นที่สอง นางเดินไปตามทางเดิน มองซ้ายมองขวาระหว่างห้องทั้งสองฝั่ง ที่นี่เป็นเขตที่พักเจ้าหน้าที่ของสามกองและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
นางไม่มั่นใจว่าสวี่ชีอันอยู่ห้องใด ยังดีที่ไม่นาน นางก็หาห้องนอนของสวี่หนิงเยี่ยนจอมลามกจนเจอได้สมดังใจหวัง เพราะประตูเปิดอยู่
หลังจากกลับมาจากอวิ๋นโจว ชายหนุ่มนั้นก็เปลี่ยนเป็นประณีตขึ้นมาอย่างผิวเผิน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะ แกะสลักหยกหวงโหยวอยู่หลายชิ้น
‘ก๊อก ก๊อก’
นางเคาะประตู รอให้เขาเงยหน้าขึ้นมา กล่าวอย่างหน้าหงิกงอ “คืนกล่องอาหารให้ท่าน ขอบ ขอบคุณมาก…”
ดูเหมือนจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องกล่าวขอบคุณ เวลากล่าว ท่าทางจึงได้กระมิดกระเมี้ยนเป็นพิเศษ
“วางไว้ข้างหลังประตูเถิด”
สวี่ชีอันตอบกลับอย่างเฉยชา ก้มหน้า และทำการบ้านของตนเองต่อ
หญิงคร่ำครึเข้ามาในห้อง วางกล่องอาหารลงเบาๆ เหลือบมองที่โต๊ะ บนนั้นมีของเล่นแกะสลักหลายอันวางอยู่ แบ่งออกเป็นกระบี่เล่มเล็ก หยกหมั่นโถวสองชิ้น เครื่องรางแปดเหลี่ยม ตราประทับ หยกแขวน
นางถามด้วยความสนใจ “เจ้าแกะสลักเหล่านี้เพื่อการใดหรือ ฝีมือการใช้มีดยังดูน่าเกลียดยิ่งนัก”
กล่าวจบ ตนเองก็หัวเราะ ‘ฮ่า ฮ่า ฮ่า’ ออกมา
“ให้สาวน่ะสิ” สวี่ชีอันกล่าว
‘ให้สาว…’ หญิงคร่ำครึจ้องมองสิ่งของที่อยู่บนโต๊ะ รอยยิ้มของนางก็ค่อยๆ หายไป
“ทุกครั้งที่ข้าออกจากเมืองหลวง จะส่งของพื้นเมืองเหล่านี้ และยังเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้แก่สาวที่ข้าชอบ นี่ทั้งเสียค่าใช้จ่ายไม่มากนัก แถมยังทำให้พวกนางพอใจ และชอบข้ามากยิ่งขึ้น”
สวี่ชีอันบรรยายถึงประสบการณ์เรื่องความสัมพันธ์ของตนเองอย่างมีเหตุมีผลและฉะฉาน
หญิงคร่ำครึถูกทำให้โมโหแล้ว สายตาที่มองสวี่ชีอันราวกับกำลังมองคนกากเดน กล่าวอย่างเย้ยหยัน “ที่แท้ก็เป็นผู้ชายเฮงซวยคนหนึ่ง”
สวี่ชีอันกล่าวโจมตี “น่าเสียดายที่ไม่มีส่วนของเจ้าด้วย”
หญิงคร่ำครึหัวเราะเยาะกล่าว “ใครสนกันเล่า” ก่อนจะจากไปอย่างโกรธเคือง
ไม่นาน หยกทั้งหมดต่างแกะสลักเสร็จสิ้นแล้ว สวี่ชีอันถ่ายโอนจิตวิญญาณให้กับพวกมัน
เขาเอา ‘กระบี่เล่มเล็ก’ เข้าไปเก็บในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพีก่อน ไม่ต้องสงสัยเรื่องนี้ เพราะมันคือสิ่งที่เขาตั้งใจส่งมอบให้หลี่เมี่ยวเจิน รอให้อยู่ด้วยกันที่ตอนเหนือแล้ว สวี่ชีอันค่อยมอบให้นาง
สวี่ชีอันกางจดหมายที่เตรียมไว้ หยิบพู่กันและหมึก ยกพู่กันขึ้นเขียน
‘ห่างจากเมืองหลวงสิบวัน มาถึงเขตหวงโหยวแล้ว ที่นี่มีหยกพื้นเมืองหวงโหยว หยกนี้มีลักษณะพิเศษที่ลื่นอ่อนนุ่ม และมีสัมผัสที่อบอุ่น กระหม่อมชื่นชอบยิ่งนัก จึงซื้อที่ยังว่างเปล่า เพื่อแกะสลักตราประทับให้องค์หญิง’
‘มีอักษรบนตราประทับว่า ท่านที่ประดับด้วยรอยยิ้ม ดั่งพระอาทิตย์ตกดินเต็มท้องฟ้า’
นี่เขียนให้ฮว๋ายชิ่ง เขานำตราประทับใส่ลงไปในซองจดหมาย
ฉบับที่สองเขียนให้ยายตัวร้าย
‘ห่างจากเมืองหลวงสิบวัน มาถึงเขตหวงโหยวแล้ว ที่นี่มีหยกพื้นเมืองหวงโหยว หยกนี้มีลักษณะพิเศษที่ลื่นอ่อนนุ่ม และมีสัมผัสที่อบอุ่น กระหม่อมชื่นชอบยิ่งนัก จึงซื้อที่ยังว่างเปล่า เพื่อแกะสลักหยกแขวนให้องค์หญิง’
‘กระหม่อมเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เห็นภูเขาเป็นภูเขา เห็นทะเลเป็นทะเล เห็นดอกไม้เป็นดอกไม้ เพียงแค่เห็นพระองค์ ในสมองมีเพียงสี่คำเท่านั้น คือ สามชาติสามภพ’
เขานำหยกแขวนใส่ลงไปในซองจดหมาย
ฉบับที่สามและฉบับที่สี่ เขียนให้ฉู่ไฉ่เวยและลี่น่า เนื้อหาเหมือนกันไม่มีผิด
‘ห่างจากเมืองหลวงสิบวัน มาถึงเขตหวงโหยวแล้ว…อาหารอันโอชะในยุทธภพนี้มีเป็นหมื่นพันอย่าง ได้ยินมาว่าในดินแดนอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง มีอาหารชนิดหนึ่งของมนุษย์เรียกว่า ‘หูเจี้ยนเหริน‘ หากวันข้างหน้ามีโอกาส อยากจะพาเจ้าไปตามหา และแสวงหาสุดขอบฟ้าสิ้นมหาสมุทร’
เขานำหยกแกะสลักรูปหมั่นโถวยัดลงไปในซองจดหมาย
จดหมายฉบับที่ห้าเขียนให้จงหลี
‘ห่างจากเมืองหลวงสิบวัน มาถึงเขตหวงโหยวแล้ว…ในวันที่ข้าไม่อยู่ในเมืองหลวง ต้องอยู่ชั้นใต้ดินสำนักโหราจารย์อย่างเชื่อฟัง พวกเราต้องเชื่อว่าวันแห่งความทุกข์ยากจะผ่านไปในที่สุด ยากลำบากเสียนิด ได้รับความทุกข์เสียหน่อย ทุกสิ่งก็จะผลิบานจากความลำบากเอง’
‘หลังจากที่เป็นผู้ติดตามของข้าแล้ว จะได้รับแต่สุข ไม่มีทุกข์ยาก’
เขานำเครื่องรางแปดเหลี่ยมใส่ลงไป จากนั้นเป็นจดหมายของหลิงเยวี่ยกับฝูเซียง และของขวัญของพวกนาง
จดหมายฉบับที่หกเขียนถึงสวี่หลิงเยวี่ย
‘ห่างจากเมืองหลวงสิบวัน มาถึงเขตหวงโหยวแล้ว…พี่เดินทางปลอดภัยดี เพียงคิดถึงบ้าน คิดถึงน้องสาวที่อ่อนโยนเท่านั้น รอพี่ใหญ่กลับไปคราวนี้ ค่อยให้เครื่องประดับแก่เจ้า ในหัวใจของพี่ น้องหลิงเยวี่ยเป็นคนที่พิเศษที่สุด และไม่มีผู้ใดแทนที่ได้’
จดหมายฉบับที่เจ็ดเขียนถึงฝูเซียง
‘ลืมไปแล้วว่านักปราญช์ท่านใดเคยกล่าวไว้ ว่าชีวิตนี้มีสหายที่รู้ใจเพียงหนึ่ง ชีวิตนี้ก็ไม่เสียดาย แม่นางฝูเซียงเป็นคู่หูรู้ใจของข้า หวังว่ามิตรภาพของพวกเราจะคงอยู่ตลอดไป ยิ่งกว่าเงินทอง…’
‘โปรดรักษาความสัมพันธ์ของเราตอนนี้ด้วย!’
ปลาทุกตัวต่างได้รับข้อความที่ไม่เหมือนกัน เพื่อสะท้อนถึงความสำคัญและความเอาใจใส่ต่อพวกนางอย่างเต็มที่ ทำให้พวกนางรู้สึกว่าตนเองสำคัญที่สุด บอกปัดว่าไม่ได้ทำอย่างขอไปที
นี่คือการฝึกฝนของข้าในการเป็นคนเจ้าชู้วิธีหนึ่ง
หลังจากทำทั้งหมดนี้เสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็บิดขี้เกียจด้วยความโล่งอก มองดูจดหมายบนโต๊ะทั้งเจ็ดฉบับ และรู้สึกพึงพอใจยิ่ง
ครั้งก่อนที่เขาอยู่ชายแดนชิงโจว เขาก็เขียนจดหมายเจ็ดฉบับ ในสองฉบับนั้นเป็นของอารองและอาสะใภ้ที่ไร้ความสามารถอย่างแท้จริง แต่ตอนนี้ เฉพาะของสาวๆ ก็มีเจ็ดฉบับแล้ว หากเพิ่มหลี่เมี่ยวเจินเข้าไป เช่นนั้นก็เป็นแปดฉบับ
สวี่ชีอันมีความชื่นชมในการพัฒนากิจการบ่อเลี้ยงปลาของตนเองยิ่งนัก
…
เมื่อเก็บของไว้ในที่ปลอดภัยดีแล้ว สวี่ชีอันก็ออกไปจากห้อง และเดินไปที่ห้องของหยางเยี่ยน ก่อนกล่าวเสียงขรึม “หัวหน้า ข้ามีเรื่องจะอภิปรายกับทุกคน ปรึกษาในห้องท่านเป็นเยี่ยงไร”
หยางเยี่ยนยังนั่งขัดสมาธิและหายใจอยู่ เมื่อได้ยินจึงขมวดคิ้ว รับรู้โดยสัญชาตญาณว่าการฝึกตนถูกรบกวน แต่ยังคงพยักหน้าเบาๆ “ได้”
สวี่ชีอันสั่งการกับฆ้องเงินท่านหนึ่งทันที ให้ไปเชิญฉู่เซียงหลงและเจ้าหน้าที่สามกองมาที่ห้อง
หลังจากนั่งเงียบที่โต๊ะสักครู่ เจ้าหน้าที่กองสามและฉู่เซียงหลงก็เข้ามาทีละคน เป็นธรรมดาที่ทุกคนจะมีสีหน้าไม่เป็นมิตรให้แก่สวี่ชีอัน สีหน้าบึ้งตึงไม่กล่าวอะไร
หนึ่งในฝ่ายตรวจการทั้งสองท่านที่คุ้นชินกับการไกล่เกลี่ย กล่าวยิ้มๆ “ใต้เท้าสวี่เรียกพวกข้ามามีเรื่องอันใดหรือขอรับ”
“ข้าอยากปรับเส้นทาง เปลี่ยนเป็นเดินทางบก”
คำกล่าวอันน่าสะพรึงกลัวของสวี่ชีอัน ตั้งแต่เริ่มก็ทิ้งข่าวสารที่สั่นสะเทือนเสียแล้ว
“ไม่มีทาง!”
ฉู่เซียงหลงเป็นคนแรกที่คัดค้านด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลังจากบทเรียนครั้งก่อน เขาก็ไม่เลือกปฏิบัติกับสวี่ชีอันอีก ยืนตรงมือไขว้หลัง วางท่าทีไม่มีทางประนีประนอมออกมา
“ใต้เท้าสวี่อย่าก่อเรื่องเด็ดขาด อีกสิบวันพวกเราก็จะไปถึงฉู่โจวแล้ว หากไปทางบก ครึ่งเดือนก็ยังไม่ถึง” รองหัวหน้าศาสต้าหลี่กล่าวอย่างไม่พอใจ
“แม้ว่าท่านจะเป็นหัวหน้า แต่ก็ไม่สามารถเที่ยวก่อความวุ่นวายไปทั่วและกระทำตามที่ใจต้องการได้”
หากเป็นคำสั่งธรรมดา พวกเขาสามารถโอนอ่อน ทนอ่อนข้อให้สวี่ชีอัน ยอมรับศักดิ์ศรีและฐานะหัวหน้านี้ของเขาได้ แต่ไม่รวมถึงการเปลี่ยนเส้นทางตามใจชอบ
เปลี่ยนเส้นทางน้ำเป็นเส้นทางบกความจริงช่างยุ่งยากยิ่งนัก ต้องเตรียมม้า รถม้า รวมไปถึงรถขนส่งอีก ถึงเยี่ยงไรสองร้อยคนที่มาและเสบียงอาหารนี้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้โดยง่าย ดังนั้นตอนแรกคณะทูตจึงได้เลือกเส้นทางน้ำที่สะดวก และรวดเร็วกว่า
ประการที่สอง ในการเดินทัพ มีเพียงแม่ทัพระดับสูงเท่านั้นจึงสามารถเปลี่ยนเส้นทางได้ แม้คณะทูตจะไม่ใช่กองทัพ แต่การเปลี่ยนเส้นทางยังคงเป็นข้อห้าม
หัวหน้ามือปราบเฉินจากกรมอาญามองไปทางหยางเยี่ยน กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ฆ้องทองคำหยาง ท่านคิดว่าเยี่ยงไร”
หยางเยี่ยนสีหน้าไร้อารมณ์ “ความจริงแล้วมันไม่ถูกต้อง”
แม้แต่หยางเยี่ยนที่เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเช่นเดียวกันยังไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจของสวี่ชีอัน แค่คิดก็รู้แล้ว หากเขาดึงดันจะทำตามใจ เช่นนั้นคงดูน่าเกลียด แม้จะเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ เกรงว่าจะไม่สนับสนุนเขา
“ฮึ!”
ฉู่เซียงหลงส่งเสียงไม่พอใจ กล่าว “ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ในภายหลังความคิดที่ไร้สมองเช่นนี้ ควรลดลงเสียหน่อย”
หัวหน้ากรมอาญาเหลือบมองไปที่สวี่ชี่อัน “แม่ทัพฉู่ช้าก่อน ไม่ลองฟังใต้เท้าสวี่พูดก่อนเล่า”
ฉู่เซียงหลงหันกลับมา มองเขาด้วยความประหลาดใจ
สามารถเป็นได้ถึงหัวหน้าของกรมอาญา แน่นอนว่าถือเป็นคนที่มีประสบการณ์มาก หลายวันมานี้เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ตอนแรกคิดว่าฉู่เซียงหลงแค่จะกลับไปทางเหนือพร้อมกับคณะทูต ไม่เพียงดำเนินการสะดวกเท่านั้น แต่ ‘เฝ้าสังเกต’ คณะทูตแทนอ๋องสยบแดนเหนือด้วย
คิดไม่ถึงว่าคราวนี้คณะทูตเดินทางไปทางเหนือ คดีที่สืบสวนอาจมุ่งเป้าไปที่อ๋องสยบแดนเหนือ
แต่เขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกผิดปกติ หากผู้ติดตามมีเพียงฉู่เซียงหลงก็ช่างเถิด แต่พระมเหสีก็ติดตามมาด้วย ก็ควรส่งกองทัพไปคุ้มกันที่ชายแดนเหนือมิใช่หรือ
เหตุใดจึงรวมอยู่กับพวกเขาเล่า
ทั้งเรือเต็มไปด้วยบุรุษและพระมเหสีที่ร่วมเดินทางไปพร้อมกับพวกเขาด้วย นี่ค่อนข้างไม่มีเหตุผล
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางหัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นเหลือบมองสวี่ชีอันและฉู่เซียงหลงอีกครั้ง พลางทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่
โอ้ ไม่แปลกที่เป็นถึงหัวหน้าของกรมอาญา เฉียบแหลมยิ่งกว่าพวกขุนนางบุ๋นเสียอีก…สวี่ชีอันกางแผนที่ในมือออก มองไปทางฉู่เซียงหลง กล่าวถาม
“แม่ทัพฉู่ พระมเหสีอยู่ในคณะทูตติดตามได้อย่างไรหรือ”
หัวหน้ามือปราบเฉินจากกรมอาญา ผู้ตรวจการสองท่านจากฝ่ายตรวจการ รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ ต่างก็มองไปทางฉู่เซียงหลงพร้อมกัน
คำถามนี้ของสวี่ชีอันได้ถามข้อสงสัยหรือความอยากรู้ที่อยู่ในใจของพวกเขาออกไป
“พระมเหสีเสด็จไปทางเหนือเพื่อพบไหวอ๋อง มีปัญหาอะไรหรือ” ฉู่เซียงหลงหรี่ตา และจ้องไปทางสวี่ชีอันอย่างแหลมคม
เรื่องนี้ปิดบังทุกคนที่เดินทางด้วยเรือต่างกัน เขาพอรู้อยู่บ้าง ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ตราบใดที่ออกจากเมืองหลวงอย่างเงียบๆ และไม่มีใครล่วงรู้ เป้าหมายก็จะสำเร็จ
“ข้าเป็นหัวหน้าคณะทูต เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่ได้รับการแจ้งเตือน?” สวี่ชีอันถามอีกครั้ง
ฉู่เซียงหลงกล่าวอย่างเรียบเฉย “นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย พระมเหสีเสด็จไปทางเหนือ สถานะก็สูงศักดิ์ ทางที่ดีถ่อมตนไว้จะดีกว่า”
“ในเมื่อพระมเหสีมีสถานะสูงศักดิ์ เหตุใดจึงไม่ส่งกองทัพคุ้มกันไปส่งพระนางเล่า”
ในเวลานี้ หัวหน้ามือปราบเฉินถามขึ้นในทันที
“ใช่ เรือของทางการมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน หากรู้ว่าพระมเหสีออกเดินทาง ถึงอย่างไรก็ควรเตรียมเรืออีกหนึ่งลำ”
รองหัวหน้าศาลต้าหลี่หัวเราะเหอ เหอ
“ฮู้…ช่างไม่เหมาะสมเสียจริง” ผู้ตรวจการท่านหนึ่งขมวดคิ้ว
‘จิ้งจอกแก่เหล่านี้…’ ฉู่เซียงหลงเหลือบมองเจ้าหน้าที่ของสามกอง พลางเกิดความโกรธในใจ
ไม่กี่วันก่อน พวกเขายังแสดงความเกลียดชังต่อสวี่ชีอัน และแอบแสดงความโปรดปรานตนเองอยู่เลย อย่างไรก็ตาม เมื่อพบเจอเรื่องที่คิดว่าไม่เกิดผลดีต่อตนเอง ท่าทีของพวกเขาก็แปรพักตร์ขึ้นมาทันที
………………………………………………