ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 347 ใครก็ได้ช่วยข้าที
บทที่ 347 ใครก็ได้ช่วยข้าที
หลังจากพระอาทิตย์ตกดิน ท้องฟ้าที่เคยสดใสตลอดวัน ถูกแทนที่ด้วยรัตติกาล
บนเนินเขาสูง คณะทูตพักก่อกองไฟ ตั้งกระโจมอยู่ที่นี่
พวกสาวๆ ไม่ได้ลงจากรถม้า แต่นอนห่มผ้าบางๆ อยู่ในนั้น สวี่ชีอันและขุนนางระดับสูงคนอื่นๆ พักในกระโจม ส่วนทหารรักษาพระองค์ระดับล่างนอนรอบกองไฟ
โชคดีที่เป็นช่วงกลางฤดูใบไม้ผลิ อากาศตอนกลางคืนไม่หนาวแต่ก็ไม่ร้อน มีลมโกรก ชวนให้กระปรี้กระเปร่า เสียแต่ว่ายุงเยอะไปหน่อย พวกยุงชอบคนบึกบึนเนื้อแน่นแสนโอชะอย่างนี้ยิ่งนัก
เสียง ‘เผียะๆ’ ดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เหล่าทหารหาญก่นด่าไปด้วยไล่ยุงไปด้วย
สวี่ชีอันกลับมาจากการลาดตระเวน พบกับภาพตรงหน้า ถึงได้รู้ว่าในคณะทูตไม่มีใครเตรียมสมุนไพรไล่ยุงมาเลย ส่วนใหญ่เอามาแต่ยาจินชวงที่ใช้รักษาอาการบาดเจ็บ และยาแก้พิษที่ใช้กันทั่วไป
ส่วนสมุนไพรไล่ยุง ไม่มีรอบคอบพอที่จะพกมาด้วย
“เหตุใดถึงได้มียุงมากขนาดนี้นะ” เลขาธิการศาลต้าหลี่ในชุดสีขาวก้าวออกมาจากกระโจม พลางบ่นกระปอดกระแปด
“ได้ยินแต่เสียงยุงบินผ่านหูไปมา จะหลับลงได้อย่างไร”
การติดกินหรูอยู่สบายเป็นปัญหาพื้นฐานของเหล่าขุนนาง ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนเรือ ถึงจะโคลงเคลงไปบ้างแต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อดทนนิดหน่อยก็ผ่านไปได้แล้ว
การเดินทางทางบกนั้นลำบากกว่าหลายเท่า ไม่มีทั้งเตียงใหญ่ โต๊ะน้ำชา ไม่มีอาหารเลิศหรู ซ้ำยังต้องทนกับยุงกัดด้วย
เมื่อผู้ตรวจการทั้งสองได้ยินเลขาธการศาลต้าหลี่โอดครวญ พวกเขาก็ออกมาสนับสนุน ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “ลำบากจริงๆ ลำบากจริงๆ”
ตอนนี้ข้อเสนอของสวี่ชีอันฟังดูโง่เง่าสิ้นดี หากไม่เปลี่ยนเส้นทางมาสัญจรทางบกแล้วละก็ ป่านนี้คงได้ลอยอยู่กลางน้ำ นอนบนเตียงนุ่มๆ หลังใหญ่ มีห้องรับรองส่วนตัวไปแล้ว
ฉู่เซียงหลงผู้มีกระดูกเหล็กผิวทองแดงไม่ระคายกับยุงกัด ก็ส่งเสียงเยาะเย้ยเบาๆ “เลือกเดินทางทางบกกันเอง ก็ต้องรับผลกรรมเช่นนี้แหละ พวกเราเดินทางกันมาหนึ่งวันแล้ว จะไปเปลี่ยนไปสัญจรทางน้ำตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว”
สวี่ชีอันหยิบเครื่องเทศที่ทำขึ้นเป็นพิเศษออกมาหนึ่งกำมือแล้วพูดเสียงดัง “ข้ามีเครื่องเทศไล่แมลง หยิบหนึ่งชิ้นโยนใส่กองไฟช่วยไล่ยุงได้”
เหล่าทหารดีใจมาก รับเครื่องเทศจากสวี่ชีอันมากเท่าที่อยากได้ จากนั้นโยนใส่ลงในกองไฟ
เครื่องเทศถูกเผาไหม้อย่างช้าๆ ในกองไฟ ส่งกลิ่นฉุนเล็กน้อยโชยออกมา ผ่านไปครู่หนึ่ง รอบข้างก็ไม่มียุงเหลืออยู่
“ฮ่าๆ ไม่มียุงเลยจริงด้วย สบายจริงๆ”
“ได้นอนหลับอย่างสงบสุขสักที ขอบพระคุณใต้เท้าสวี่อย่างยิ่งขอรับ”
เหล่าทหารที่อยู่รอบกองไฟส่งเสียงเยินยอโดยไม่รีรอ เครื่องเทศของฆ้องฆ้องเงินสวี่ช่วยแก้ปัญหาได้ชะงัด พอไม่มียุงแล้ว ทุกคนก็สบายอกสบายใจ
ความรู้สึกสุขใจเริ่มต้นจากการเอาใจใส่เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นหัวหน้าที่เป็นขุนนาง ไม่มีทางสนใจปัญหาจุกจิกของเหล่าทหารใต้บังคับบัญชาเป็นแน่
และย่อมคิดไม่ถึงด้วยว่า ตอนกลางคืนไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ รุ่งขึ้นก็ต้องเหนื่อยกายรีบเดินทางอีก เกิดเป็นวงจรอุบาทว์ บั่นทอนพลังต่อสู้ของกองทัพได้
ความสุขของทหารเพิ่มขึ้น ก็จะถูกส่งกลับมายังผู้บังคับบัญชาด้วย ทำให้จะได้รับความเคารพและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น
ตัวอย่างเช่น สวี่ชีอันที่เสนอให้เปลี่ยนเส้นทางและใช้เส้นทางบกที่ยากลำบากขึ้น ทั้งคณะทูตล้วนแต่แอบโอดครวญกันลับหลัง แต่ไม่ใช่ทหารรักษาวังห้าร้อยนาย พวกเขาไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว
นี่แหละที่เรียกว่าการยอมรับ
ผู้ตรวจการทั้งสองและเลขาธิการศาลต้าหลี่ขอเครื่องเทศหนึ่งชิ้น แล้วกลับไปจุดไฟในกระถางธูปที่กระโจม เครื่องเทศไล่ยุงเห็นผลทันตา ไม่มีเสียงยุงบิน ‘หึ่งๆ’ ให้กวนใจอีกต่อไป
“ใต้เท้าสวี่อุตส่าห์เตรียมของเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เอาไว้ด้วย สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือในการคลี่คลายคดี ช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง”
ผู้ตรวจการแห่งราชสำนักออกมาจากกระโจมและออกปากสรรเสริญเสียงดังลั่น
ในรถม้าที่อยู่ไม่ไกล เหล่าหญิงรับใช้ได้กลิ่นหอมจางๆ จึงพูดขึ้นอย่างร่าเริง “กลิ่นหอมมากเลย พวกเราก็ไปขอมาเผาไล่ยุงกันบ้างเถิด”
“ขอเขออะไรล่ะ ฆ้องเงินสวี่กับแม่ทัพฉู่ผิดใจกัน เจ้าอย่าทำให้ตัวเองขายขี้หน้าดีกว่า” หญิงรับใช้อีกคนกล่าว
“ไม่หรอกกระมัง ฆ้องเงินสวี่ออกจะนิสัยดี อ่อนโยนกับผู้หญิงอย่างเราจะตายไป” หญิงรับใช้ผู้นั้นกล่าว
“หึ…ข้าหมายถึงแม่ทัพฉู่ต่างหากเล่า พวกเราเป็นคนของตระกูลหวาง รู้ตัวเสียบ้าง ต่อให้ฆ้องเงินสวี่จะดีเลิศเพียงใด พวกเราก็ห้ามลืมสถานะของตนเองเด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
“ใช่แล้ว ข้าได้ยินมาว่าเป็นเพราะฆ้องเงินสวี่นี่แหละที่เปลี่ยนเส้นทางมาสัญจรทางบก พวกเราถึงได้ลำบากลำบนกันอยู่อย่างนี้ไง พับผ่าสิ”
ทันทีที่คำพูดนี้หลุดออกมา บรรดาหญิงรับใช้คนอื่นๆ ก็ประณามฆ้องเงินสวี่ นินทาว่าร้ายกันไม่หยุดปาก
พระมเหสีขดตัวอยู่ที่มุมรถม้าและยิ้มหยันอย่างดูถูก
หญิงรับใช้ผู้โง่เขลาเหล่านี้ สายตาสั้นไม่ต่างจากคางคก เห็นเพียงแต่ยุงที่บินผ่านหน้า
ถึงแม้ตัวนางเองจะเหน็ดเหนื่อย สงสัยว่าการเดินทางทางน้ำนั้นอันตรายจริงหรือไม่ และคลางแคลงใจในตัวสวี่ชีอันไม่ต่างจากคนอื่น แต่นางสนับสนุนการตัดสินใจของสวี่ชีอันอย่างมั่นคง
ยอมอดทนอดกลั้น ตกระกำลำบากบ้าง ก็ยังดีกว่าตกอยู่ในอันตราย
…
เลขาธิการศาลต้าหลี่เปิดม่านกระโจม มองสวี่ชีอันที่นั่งล้อมวงกับเหล่าทหาร ก็ส่งเสียงเอ่ยถาม “ใต้เท้าสวี่แน่ใจแค่ไหน”
เขาสื่อถึงการโจมตีทางน้ำ จึงเตือนอ้อมๆ ให้สวี่ชีอันพิจารณาถึงเดิมพันให้ถ้วนถี่
อย่างไรเสีย เลขาธิการศาลต้าหลี่และสวี่ชีอันก็ไม่ได้มีเรื่องบาดหมางกันเป็นการส่วนตัว ที่จงเกลียดจงชังกันก็เพราะผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ไม่ลงรอยกับสวี่ชีอัน ในฐานะที่เขาทำงานเป็นขุนนางใต้บังคับบัญชาของผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ เขาต้องซื่อสัตย์ต่อเจ้านายเอาไว้
ข้าจะไปมั่นใจได้อย่างไร ที่ส่งหยางเยี่ยนไปเหยียบกับดัก ก็เป็นการลองเชิงทั้งนั้น… สวี่ชีอันส่ายหัวเล็กน้อย แต่ไม่ได้พูดอะไร
ผู้ตรวจการผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “คาดคะเนจากเวลา ฆ้องทองคำหยางน่าจะไปถึงหาดหลิวซื่อแล้ว มีการซุ่มโจมตีจริงหรือไม่ ป่านนี้น่าจะรู้แล้ว เมื่อไรเขาจะมาหาพวกเราล่ะ”
สวี่ชีอันกล่าว “ข้าได้ทิ้งรหัสลับเอาไว้ตามทาง เขาจะตามรอยกลับมา”
ดูจากฝีเท้าของฆ้องทองคำ หากตามรหัสลับมา ไม่น่าจะใช้เวลานานนัก อย่างช้าที่สุดก็กลับมาถึงพรุ่งนี้เช้า อย่างเร็วที่สุดก็น่าจะมาถึงภายในคืนนี้
ฉู่เซียงหลงและเหล่าขุนนางบู๊บุ๋นต่างนิ่งเงียบ ต่างคนต่างคิดไปสารพัด เฝ้ารอการมาถึงของหยางเยี่ยน
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ทุกคนผล็อยหลับจนหมด เสียงกรนระงมราวกับกบร้อง คนนั้นกรนที คนนี้กรนที
สวี่ชีอันไม่ได้นอน แต่หยิบกิ่งไม้แห้งขึ้นมาแล้วขีดเขียนไปตามพื้น วางแผนว่าหลังจากขึ้นไปถึงตอนเหนือแล้ว จะสืบสวนคดีนี้อย่างไรดี
หลังจากสืบคดีจนกระจ่างแล้ว จะนำหลักฐานกลับเมืองหลวงอย่างไร ไม่ให้อ๋องสยบแดนเหนือรู้ตัวเสียก่อน
สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดในเรื่องนี้คือเขาทำอะไรอ๋องสยบแดนเหนือไม่ได้เลย แต่หากอ๋องสยบแดนเหนือคิดจะทำอะไรกับเขาละก็ มันช่างง่ายดายเหลือเกิน
การที่พวกเลขาธิการศาลต้าหลี่มีทัศนคติด้านลบกับคดีนี้มันก็พอเข้าใจได้ ประมาณว่าอยากไปดูให้พอผ่านตา แล้วก็กลับเมืองหลวงไปเขียนรายงานเบื้องบนก็พอ…สังหารเลือดหมู่สามพันลี้ แต่กลับไม่มีผู้ลี้ภัยสักราย อันนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย…ตลอดทางขึ้นเหนือ ข้าต้องคอยสังเกตการณ์ให้ดี การตั้งหน้าตั้งตาไปให้ถึงแดนเหนืออย่างเดียว เป็นสิ่งที่คนโง่เท่านั้นที่จะทำ
ฉู่เซียงหลงคัดค้านเรื่องที่ข้าขึ้นบก โดยไม่พิจารณาประเด็นนี้ด้วย เขาอยากให้ข้าขึ้นไปถึงทางเหนือโดยตรง พอถึงที่นั่นข้าก็จะกลายเป็นแค่หุ่นเชิดที่สามารถบงการได้
คิดจะสืบคดีตามลำพังหรือ
ฝันไปเถอะ
ขณะที่ความคิดประเดประดังเข้ามาในหัว ทันใดนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณมาจากระยะไกล
สวี่ชีอันลุกยืนขึ้นทันที มือขวาของเขาไวกว่าสมอง รีบคว้าด้ามดาบยาวสีดำทองเอาไว้ในมือ
ในอีกด้านหนึ่งฉู่เซียงหลงก็ลืมตาขึ้น แววตาคมกริบ
ทั้งสองไม่ได้สบตากัน แต่กลับเพ่งมองไปทางทิศใต้โดยพร้อมเพรียง ร่างร่างหนึ่งก้าวออกมาจากราตรีมืดมิดอย่างช้าๆ ข้างหลังสะพายหอกเงินเอาไว้ คือหยางเยี่ยนนั่นเอง
ชั่วขณะที่เห็นหน้าเขา ทั้งสวี่ชีอันและฉู่เซียงหลงต่างก็แสดงสีหน้าร้อนรนใจและคาดหวังของตนออกมา
คนแรกหยิบถุงเก็บน้ำที่คาดไว้กับเอวออกมา เดินเข้าไปหาและเอ่ยถาม “หัวหน้า สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง”
หยางเยี่ยนรับถุงเก็บน้ำ ดื่มน้ำจนหมดรวดเดียว และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “มีมังกรตัวหนึ่งซุ่มโจมตีอยู่ที่หาดหลิวซื่อ ล่มเรือไปแล้ว”
มีการซุ่มโจมตีจริงๆ ด้วย กลัวอะไรเจออย่างนั้นจริงๆ กฎของเมอร์ฟี[1]นี่มันครอบจักรวาลหรือไง…หัวใจของสวี่ชีอันหล่นวูบ โชคช่วยครั้งสุดท้ายอันตรธานหายไปจนสิ้นแล้ว
มีการซุ่มโจมตีจริงหรือ?!
ฉู่เซียงหลงกำด้ามดาบแน่น และกองไฟสะท้อนให้เห็นรูม่านตาที่หดลงเล็กน้อย
“หัวหน้า ท่านนั่งพักก่อน ข้าจะไปตามคนจากสามกองมา พวกเขาจะได้ฟังและเข้าใจสถานการณ์ไปพร้อมกัน” สวี่ชีอันเชิญหยางเยี่ยนไปนั่งข้างกองไฟ และส่งห่ออาหารแห้งให้
จากนั้นเขาก็เข้าไปปลุกผู้ตรวจการ เลขาธิการศาลต้าหลี่ และหัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาทีละกระโจม
เมื่อหัวหน้ามือปราบเฉินก้าวออกมาจากกระโจมและเห็นหยางเยี่ยน ก็รีบร้อนถามคำถามโดยไม่เสียเวลาคิด “ฆ้องทองคำหยาง มีการซุ่มโจมตีจริงๆ หรือไม่”
ผู้ตรวจการทั้งสองและเลขาธิการศาลต้าหลี่จ้องมองหยางเยี่ยนเป็นตาเดียว
“เกิดการซุ่มโจมตีที่หาดหลิวซื่อ เรือถูกล่มไปแล้ว หากไม่มีการเปลี่ยนเส้นทาง วันนี้พวกเราคงชะตาขาดกันทั้งกองทัพ” หยางเยี่ยนสีหน้าเคร่งขรึม
‘มีการซุ่มโจมตี มีการซุ่มโจมตีจริงๆ ด้วย’ หัวใจของเลขาธิการศาลต้าหลี่หล่นลงสู่ก้นเหว
‘ชะตาขาดทั้งกองทัพหรือ?’ ผู้ตรวจการสองคนที่สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หันขวับไปหาสวี่ชีอัน โค้งคำนับพร้อมกล่าว “ต้องขอบคุณไหวพริบของใต้เท้าสวี่ ที่ล่วงรู้ถึงการซุ่มโจมตีล่วงหน้า ทำให้พวกเราหลบหนีออกมาได้”
นัยน์ตาของหัวหน้ามือปราบเฉินแห่งกรมอาญาที่มองดูสวี่ชีอันทวีความชื่นชมยิ่งขึ้น เขานับถือศัตรูของเบื้องบนผู้นี้จนสุดหัวใจ
“พวกเราเข้าไปคุยกันต่อในกระโจมเถิด” เลขาธิการศาลต้าหลี่แนะนำ
สวี่ชีอันพยักหน้าเรียกเฉินเซียวที่ฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้ว และสั่งการไปว่า “คืนนี้ห้ามนอนเด็ดขาด ทุกคนตั้งสติให้มั่น แล้วคอยลาดตระเวนตรวจตรากันให้ดี”
เฉินเซียวได้ยินความเป็นไปทั้งหมดอย่างใกล้ชิด และเข้าใจถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ตอนนี้ เขาพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ใต้เท้าโปรดวางใจ”
สวี่ชีอันเดินตามกลุ่มคนเข้าไปในกระโจมทันที
…
พระมเหสีที่นอนขดตัวอยู่มุมหนึ่งของรถม้า สะดุ้งตื่นด้วยเสียงฝีเท้าแสนโกลาหล เสียงกระทบของชุดเกราะ และเสียงพูดคุยอื้ออึง
หญิงรับใช้ในรถคันเดียวกันก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน และมองออกไปข้างนอกหน้าต่าง
“ดึกดื่นป่านนี้แล้วเอะอะเสียงดังอะไรกัน เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เมื่อครู่ก็นอนหลับกันดีๆ นี่นา เหตุใดจู่ๆ ถึงให้ออกไปตรวจตราล่ะ…”
พระมเหสีรู้สึกชาไปทั้งหัวใจ หยิบผ้าคลุมบางๆ ขึ้นมา พลางขยี้ตาและผลักประตูรถม้าออก ก่อนจะค่อยๆ กระโดดลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง
นางสะกิดทหารรักษาวังคนหนึ่งที่กำลังจะออกไปลาดตระเวน แล้วถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรกันน่ะ”
ทหารที่อยู่แถวหน้าสุดมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่สองสามครั้ง ก่อนจะตอบ “ฆ้องทองคำหยางกลับมาแล้ว มีคนบอกว่าพบการซุ่มโจมตีที่หาดหลิวซื่อ เรือถูกล่มไปแล้ว”
ทหารแถวหลังกล่าวเสริม “หากใต้เท้าสวี่ไม่เปลี่ยนเส้นทางละก็ มีหวังพวกเราคงถึงฆาตไปแล้ว”
พระมเหสีสะดุ้งเฮือก ความหวาดกลัวฝังใจยิ่งทวีความรุนแรง
‘มีการซุ่มโจมตีจริงๆ ด้วย พวกมันไล่ตามข้ามา…โชค โชคดีที่มีเขาอยู่ โชคดีที่เขาไหวตัวทันแต่เนิ่นๆ’ นางตบหน้าอก เพื่อให้ตนเองรู้สึกปลอดภัยยิ่งขึ้นในขณะนี้
พระมเหสีผู้แสนจะธรรมดาสูดหายใจเข้าลึกๆ หันหลังกลับขึ้นรถม้า
“เจ้าไปถามมาแล้วใช่หรือไม่ ตกลงพวกเขาเป็นอะไรกันแน่” หญิงรับใช้รีบถาม
“มีการซุ่มโจมตีทางน้ำ เรือถูกล่มไปแล้ว” พระมเหสีตอบด้วยเสียงแผ่วเบา
ภายในรถม้ามีเสียงอุทานดังขึ้น เหล่าหญิงรับใช้เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“เหตุใดถึงมีการซุ่มโจมตีล่ะ ลอบโจมตีเราเพื่ออะไร…”
“เฮ้อ…ยังดีที่ใต้เท้าสวี่ไหวตัวทัน รีบพาเราขึ้นบกแต่เนิ่นๆ”
เสียงพึมพำดังขึ้นรอบทิศทาง เหล่าหญิงรับใช้จับกลุ่มคุยกันจอแจ
พระมเหสีนั่งห่มผ้าคลุมบางๆ คุดคู้อยู่ที่มุมรถม้า นางกุมไหล่ตนเอง ตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ในค่ำคืนอันมืดมิด นางรู้สึกได้ถึงความหนาวเหน็บที่แผ่ซ่านมาจากหัวใจของนาง
‘ใครก็ได้ช่วยข้าที’
………………………………………………………
[1] กฏของเมอร์ฟี (Murphy’s Law) อะไรที่สามารถผิดพลาดได้ จะผิดพลาด (Anything that can go wrong will go wrong)
ใช้อธิบายเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะมีความผิดพลาดเกิดขึ้น แต่สุดท้ายก็เกิดขึ้นจนได้