ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง - บทที่ 348 แผนการหลบหนี
บทที่ 348 แผนการหลบหนี
ภายในกระโจม หยางเยี่ยนนั่งอยู่บนเบาะนุ่ม รับถ้วยชาที่เลขาธิการศาลต้าหลี่ส่งมาให้พลางกล่าวว่า “ผู้ที่โจมตีเรือของทางการคือเฮยเจียว น่าจะเป็นเผ่ามังกรที่อยู่ในเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ พละกำลังไม่เลว ระดับสี่ อยู่ในน้ำข้าสู้มันไม่ได้”
เขาไม่ใช่คนช่างพูดจึงพูดให้จบอย่างรวบรัด เปรียบเทียบพละกำลังของตนเองกับพละกำลังของอีกฝ่าย จากนั้นก็นิ่งเงียบโดยไม่พูดไม่จาใดๆ อีก
สีหน้าของฉู่เซียงหลงเปลี่ยนไปอย่างมาก
เมื่อได้ยินการมีอยู่ของเจียวหลงระดับสี่ เลขาธิการศาลต้าหลี่และคนอื่นๆ ก็มีท่าทีแปลกไป ทั้งตกตะลึง หวาดกลัวและวิตกกังวล
หัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้วแน่นและกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพฉู่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเจียวหลงตัวนั้นหรือไม่”
ในระหว่างที่พูด เขาก็เหล่มองฉู่เซียงหลง
ทุกคนทอดสายตามองไปที่เขาทีละคน แรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้ฉู่เซียงหลงไม่สามารถนิ่งเงียบได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“เฮยเจียว ระดับสี่ ถ้าเดาไม่ผิดก็น่าจะเป็นถังซานจวิน”
เขารู้จักเฮยเจียวอย่างที่คาดไว้จริงๆ…แววตาของสวี่ชีอันสว่างวาบ
ศัตรูที่ซุ่มโจมตีอยู่ที่หาดหลิวซื่อคือกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ ในเมื่อกลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือเคลื่อนทัพแล้ว งั้นเผ่าคนป่าแดนเหนือที่เป็นพี่น้องร่วมอุดมการณ์เดียวกันล่ะ?
นอกจากนี้ เรื่องการเดินทางไปแดนเหนือของพระมเหสีก็ถูกเก็บเป็นความลับ เรือทางการแล่นไปทางเหนือด้วยความเร็วสูงตลอดทั้งทาง ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่กลุ่มเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือจะทำการซุ่มโจมตีล่วงหน้า
เว้นแต่พวกเขาจะรู้อยู่แล้วว่าพระมเหสีกำลังเดินทางไปแดนเหนือ
หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่งของพวกเราไม่ง่ายอย่างที่คาดไว้จริงๆ มันคุ้มค่าที่เผ่าคนป่าจะแทรกซึมเข้ามาในวงศัตรูอย่างเอิกเกริกและซุ่มโจมตีอยู่ไกลๆ เช่นนี้…
เห็นสีหน้าของฉู่เซียงหลงเมื่อสักครู่ ดูเหมือนว่าเขาจะประหลาดใจอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกตกใจกับการเคลื่อนไหวของเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือ…
ความคิดนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาในสมองของสวี่ชีอัน
หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวเสียงเบา “หยางจินหลัว นอกจากเฮยเจียวแล้ว ยังมีศัตรูอื่นอีกหรือไม่?”
หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ “ไม่พบ”
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เลขาธิการศาลต้าหลี่รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอกและจิตใจก็สงบลงมากก่อนจะกล่าวว่า “หากมีเพียงระดับสี่ตัวเดียว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป…”
กล่าวจบแล้วก็ได้ยินสวี่ชีอันกล่าวเยาะเย้ยว่า “เผ่าคนป่าแดนเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือมีอุดมการณ์เดียวกัน ในเมื่อเผ่าพันธุ์ปีศาจเคลื่อนทัพแล้ว เผ่าคนป่าจะยังชักช้าอยู่รึ”
“หากข้าเดาไม่ผิด ทุกด่านที่เป็นทางผ่านไปแดนเหนือล้วนมียอดฝีมือซุ่มโจมตีอยู่ เชื่อข้าเถอะ เว้นแต่พวกเราจะละทิ้งรถม้าและเสบียง ทอดข้ามสันเขา มิเช่นนั้น พวกเราจะถูกซุ่มโจมตีอีกครั้งในไม่ช้าก็เร็ว”
ทุกวันนี้มีถนนทางการมากมายหลายสายแต่ถนนเส้นเล็กเส้นน้อยกลับมีนับไม่ถ้วน ซึ่งเส้นทางที่คนเหล่านั้นเหยียบย่างออกมาล้วนยากต่อการขี่ม้า ไม่ต้องพูดถึงรถม้าหรือเกวียนบรรทุกสิ่งของ
โจรที่ดักปล้นกลางทางสมัยก่อนเพียงแค่ต้องครอบครองถนนสักเส้นอย่างเป็นทางการก็สามารถทำเงินได้มหาศาลจากการดักปล้นคาราวานพ่อค้าแม่ค้าและคนเดินเท้าที่ผ่านไปผ่านมา
เมื่อได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ ผู้ตรวจการทั้งสองและเลขาธิการศาลต้าหลี่ก็มองไปที่หัวหน้ามือปราบเฉินด้วยความร้อนใจ ตอนนี้พวกเขาไม่เชื่อฉู่เซียงหลงอีกต่อไปแล้ว
แม้ว่าหัวหน้ามือปราบเฉินจะมีตำแหน่งทางการชั้นล่าง แต่เขาก็เป็นทหารที่มากประสบการณ์และยังเป็นคนกันเอง คำพูดของเขาจึงน่าเชื่อถือที่สุด
หัวหน้ามือปราบเฉินพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “การวิเคราะห์ของใต้เท้าสวี่สมเหตุสมผลมากจนถึงขนาดถือเป็นข้อเท็จจริงได้ ข้าถึงขนาดคิดว่ากระทั่งเส้นทางทางน้ำยังมียอดฝีมือระดับสี่ งั้นจุดซุ่มโจมตีอื่นเล่า? จะมียอดฝีมือระดับสี่เช่นกัน หรือว่าสูงกว่าระดับสี่
“หากเผ่าคนป่าแดนเหนือและเผ่าพันธุ์ปีศาจแดนเหนือผนึกกำลังกันขึ้นมา การเคลื่อนทัพยอดฝีมือระดับสี่จำนวนหนึ่งคงไม่ใช่ปัญหา”
ยอดฝีมือระดับสี่อยู่ในแม่น้ำเจียงหู นั่นคือบุคคลสำคัญที่โด่งดังและปกครองดินแดนฝั่งนั้น แต่ยอดฝีมือระดับสี่ในราชสำนักมีมากพอๆ กับขนวัวและไม่มีวันขาดแคลนอย่างแน่นอน
นี่เป็นหลักเหตุผลง่ายๆ หากยอดฝีมือระดับสี่ในแม่น้ำเจียงหูมีมากกว่าในราชสำนัก เช่นนั้นผู้ปกครองใต้หล้าก็ไม่ใช่ราชสำนัก
เผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือเทียบได้กับราชสำนักทางเหนือผนึกกำลังกัน
“แล้ว…แล้วจะทำอย่างไรดี?”
ขุนนางทั้งสามรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย
เพียงแค่ศัตรูเป็นยอดฝีมือระดับสี่ถึงสองคน กองกำลังของพวกเขาก็จะตกอยู่ในอันตราย หากมีสามคน กองกำลังทหารทั้งหมดก็จะถูกกวาดล้าง
บรรยากาศในกระโจมกลายเป็นเคร่งขรึมและเอาจริงเอาจัง
ขุนนางบุ๋นทั้งสามและหัวหน้ามือปราบเฉินขมวดคิ้วแน่น แม้ว่าด้านนอกจะมีกองทัพทหารรักษาวังและยังมีทหารอารักขาที่แต่ละคนนำติดตัวมาด้วยแต่กลับไม่สามารถทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัยได้แม้แต่น้อย
อันที่จริง กองกำลังทหารรักษาการณ์ของกลุ่มภารกิจก็เพียงพอแล้ว มีกองทัพทหารรักษาวัง มีทหารอารักขาสิบนาย อีกทั้งฆ้องเงินสี่นาย ฆ้องทองแดงแปดนายและฆ้องทองคำระดับสี่อีกหนึ่งนาย
กองกำลังเช่นนี้ ตราบใดที่ไม่ตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังหลักก็เพียงพอที่จะก้าวไปยังสถานที่ต่างๆ ในต้าฟ่งได้ แม้กระทั่งไปทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือก็สามารถถอนตัวได้อย่างสมบูรณ์
ตอนนั้นผู้ตรวจการจางนำกองกำลังไปที่อวิ๋นโจวก็มีเงื่อนไขเช่นนี้แต่เขาก็ยังเดินทางโดยสวัสดิภาพ
แต่สถานการณ์ปัจจุบันคือพวกเขามีแนวโน้มที่จะพบกับการซุ่มโจมตีและตกเป็นเป้าของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือโดยมีเบื้องหลังเป็นกองกำลังอันยิ่งใหญ่ที่ปกครองแดนเหนือ
“เหตุใดเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือจึงต้องปลงพระชนม์ชีพพระมเหสี? พวกเขาวางแผนซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไร” หัวหน้ามือปราบเฉินจ้องฉู่เซียงหลงด้วยสายตาคมกริบ
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรรู้” ฉู่เซียงหลงสบถด้วยความเย็นชา
หัวหน้ามือปราบเฉินกล่าวอย่างโกรธเคือง “หากรู้มาก่อนว่าศัตรูคือเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจแดนเหนือ เหตุใดจึงไม่ส่งกองทัพทหารไปคุ้มกัน ต้องซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มภารกิจด้วยรึ?”
สถานการณ์ที่เลวร้ายทำให้เขารู้สึกโกรธจนไม่สนใจฐานะของฉู่เซียงหลงอีกต่อไป และยังมีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอย่างแหลมคม
ใช่ เทียบกับการเตรียมพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการซุ่มโจมตี สู้ส่งกองกำลังทหารไปคุ้มกันโดยตรงจะไม่ปลอดภัยกว่าหรือ…อย่างไรนี่ก็เป็นดินแดนของต้าฟ่ง สำหรับการส่งกองทัพทหารขนาดใหญ่ไปคุ้มกันพระมเหสีนั้น แม้ว่ายอดฝีมือระดับสี่ของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจจะเคลื่อนทัพ ผลสุดท้ายพวกเขาก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนความเจ็บช้ำ เพราะถึงอย่างไรกองทัพทหารรักษาวังย่อมพกพาอาวุธเวทมนตร์ที่มีพลังทำลายล้างสูงและมียอดฝีมือจำนวนมากในกองทัพอย่างแน่นอน…
แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งกลับปล่อยให้พระมเหสีแอบลักลอบเข้าไปในกลุ่มภารกิจ และออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ โดยไม่มีใครรู้…แล้วสวี่ชีอันก็จุดประกายความคิดที่น่าหวาดผวานี้ขึ้นมา
สิ่งที่พวกเขาปกป้องคือศัตรูภายในราชสำนัก!
มีคนภายในราชสำนักที่ไม่ต้องการให้พระมเหสีไปพบกับไหวอ๋องที่แดนเหนือ…
การเสด็จไปแดนเหนือของพระมเหสีก่อให้เกิดชนวนอะไรกันแน่? มีเรื่องราวอันลึกซึ้งอยู่เบื้องหลังอย่างที่คาดไว้จริงๆ
อีกอย่าง เผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจจะรู้และวางแผนซุ่มโจมตีล่วงหน้าได้อย่างไ?
เงื่อนงำเหล่านี้สลับซับซ้อน ไม่มีเบาะแส คิดแล้วก็ปวดศีรษะ
เสียงทะเลาะวิวาทของฉู่เซียงหลงและขุนนางบุ๋นทั้งสามดังก้องอยู่ข้างหู สวี่ชีอันขมวดคิ้วแน่นและหมกมุ่นอยู่กับความคิดของตนเอง
อันที่จริงข้ามีวิธีที่ง่ายกว่า นั่นก็คือใช้วิธีการดาบนั้นคืนสนอง เริ่มจากดึงดูดยอดฝีมือของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจและเอาข้อมูลข่าวสารมาจากปากของพวกเขา
ยิ่งสวี่ชีอันคิดมากเท่าใดก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนการนี้ใช้ได้ อันดับแรก เขามียอดฝีมือระดับสี่ที่เทียบเท่ากัน กระทั่งมียอดฝีมือระดับเพชรไร้พ่ายที่อยู่เหนือกว่า ยอดฝีมือระดับสี่ปะทะกันตัวต่อตัว ถึงแม้จะต่อสู้ไม่ชนะแต่ก็ยากสำหรับฝ่ายตรงข้ามที่จะฆ่าเขา
อย่างไรนักรบก็จะไม่มุ่งโจมตีจิตวิญญาณ หากเป็นยอดฝีมือระดับสี่ของลัทธิเต๋า สวี่ชีอันจะเดินหันหลังกลับไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ เพราะถึงอย่างไรระดับจิตวิญญาณของเขาก็ยังหยุดอยู่ที่ระดับหก
ต่อให้จิตวิญญาณของเขาจะสูงกว่าระดับหกและมีความแข็งแกร่งมากก็ยังเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของยอดฝีมือระดับสี่ของลัทธิเต๋า
อันดับที่สอง เขาสามารถงัดเอาหนังสือเวทมนตร์ลัทธิขงจื๊อมาใช้ได้ ถึงยังไงมันก็เป็นของวิเศษที่หาได้ยาก
ต่อให้ระดับของมันค่อนข้างต่ำ แต่ก็มีคุณภาพระดับคริปทอนโกลด์นะ
ในสงครามระหว่างสวรรค์และมนุษย์ เป็นเพราะผลจากหนังสือเวทมนตร์ลักธิขงจื๊อที่ทำให้เขาฟื้นฟูความอ่อนแอของวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงเอาชนะหลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นได้
ท้ายที่สุด เขาก็ยังมีไต้ซือเสินซูอยู่ในร่าง ซึ่งเป็นความมั่นใจสูงสุดของเขา
แต่การดำรงอยู่ของไต้ซือเสินซูไม่สามารถเปิดเผยได้ ต่อให้จะเรียกเขาออกมาก็ต้องอยู่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเพื่อนร่วมทาง มิเช่นนั้นก็ทำได้เพียงต้องฆ่าปิดปากเท่านั้น…
หากเพียงแค่ช่วยพระมเหสี คงไม่ถึงกับทำให้ข้าต้องทุ่มเทขนาดนั้น…
สวี่ชีอันถูกรามด้วยนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือ
การช่วยพระมเหสีเป็นเพียงเรื่องที่ถือโอกาสทำไปด้วย แต่จุดประสงค์หลักของเขาคือการดึงข้อมูลลับ
“แดนเหนือเป็นอาณาเขตของอ๋องสยบแดนเหนือ กระโจนเข้าไปในเขตเฝ้าระวังของผู้อื่นโดยตรง การเคลื่อนไหวทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสายตาของฝ่ายตรงข้าม”
“เช่นนั้น ถ้าข้าไม่สอบสวนคดีนี้ ก็ต้องสู้กับอ๋องสยบแดนเหนือให้ตายกันไปข้าง”
สำหรับผู้เชี่ยวชาญด้านการให้เหตุผลเชิงตรรกะแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาตนเองเข้าไปในสถานการณ์ที่เป็นรองเช่นนี้
ก่อนเดินทางถึงแดนเหนือจำเป็นต้องหาเบาะแสและข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้เพื่อที่จะวางแผนและขยายการสืบสวน
ถึงเวลานี้ การทะเลาะวิวาทก็จบลงแล้ว
ฉู่เซียงหลงกางแผนที่บนพื้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “หยางจินหลัว ตลอดการเดินทางครั้งนี้ถูกแกะรอยหรือไม่?”
หยางเยี่ยนส่ายศีรษะ
ในฐานะยอดฝีมือสูงระดับสี่ คนที่สามารถแกะรอยเขาได้มีไม่มากและสัญชาตญาณนักรบของเขาก็ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องประดับ
ฉู่เซียงหลงถอนหายใจด้วยความโล่งอกก่อนจะพยักหน้ากล่าวว่า “ดีมาก งั้นพวกเราก็ยังมีโอกาส ในสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่สามารถหันหลังกลับได้แล้ว เราควรไปถึงเมืองเจียงโจวโดยเร็วที่สุด แล้วขอความช่วยเหลือจากสมุหเทศาภิบาลและผู้บัญชาการของเจียงโจว โดยขอให้พวกเขาระดมกองกำลังทหารคอยตั้งรับ”
ทุกคนพยักหน้าช้าๆ
เมืองเจียงโจวเป็นเมืองหลักของมณฑล ย่อมไม่ขาดแคลนกำลังทหารและยอดฝีมือ หากเข้าสู่เมืองเจียงโจวได้ก็จะปลอดภัย หากยอดฝีมือระดับสี่ของเผ่าคนป่าและเผ่าปีศาจกล้าเข้ามา พวกเขาก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะไม่ได้กลับออกไปอีก
“ตราบใดที่ไปถึงเมืองเจียงโจวได้สำเร็จ เราก็จะสามารถขอความช่วยเหลือจากราชสำนักหรือส่งกองกำลังทหารของเมืองเจียงโจวไปคุ้มกันพระมเหสีเสด็จไปที่แดนเหนือได้โดยตรง” ฉู่เซียงหลงกล่าว
“มีเหตุผล” เลขาธิการศาลต้าหลี่พยักหน้าช้าๆ
“ดังนั้นต่อไปเราต้องกำหนดเส้นทางเดินทัพ” ฉู่เซียงหลงชี้ไปที่แผนที่และกล่าวว่า
“ถนนไปยังเมืองเจียงโจวที่ใกล้ที่สุดคือถนนสายหลักที่เรากำลังใช้อยู่ในขณะนี้ ใช้เวลาเพียงสองวันก็เดินทางถึงแล้ว แต่ถนนเส้นนี้ก็อันตรายที่สุดเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องใช้ทางเบี่ยง”
หัวหน้ามือปราบเฉินส่ายศีรษะและโต้กลับว่า “ทางเบี่ยงก็อันตรายพอกัน พวกเรามีมากเกินไป ยังมีสัมภาระและผู้หญิง ยังไงก็เดินทางช้าอย่างแน่นอน และฝ่ายตรงข้ามก็เป็นยอดฝีมือที่เดินทางตัวปลิวได้ ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกจับและถูกตามทัน”
ฉู่เซียงหลงยิ้มและกล่าวว่า “ดังนั้นพวกเราต้องละทิ้งรถม้า ม้า และสัมภาระบางส่วน พวกเราก็จะเดินทางตัวปลิวได้แล้ว และยังไม่ต้องไปทางหลักหรือต่อสู้กับกองโจร”
ต้องพูดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดที่สุด
แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นยอดฝีมือแต่การลอบเข้าไปในช่องท้องของศัตรูเพื่อซุ่มโจมตีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะนำกองกำลังคนไปด้วย ซึ่งจะนำไปสู่การขาดแคลนกำลังคนจนไม่สามารถดำเนินการไล่ตามอย่างเอิกเกริกได้
ในเวลานี้ ฉู่เซียงหลงได้แสดงคุณสมบัติของการเป็นแม่ทัพผู้มากประสบการณ์อย่างแท้จริง
การหลบหนีเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกในการเดินทัพทำสงคราม
ทุกคนมองไปที่สวี่ชีอัน
ยังนับว่าพอมีกึ๋นอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาจะสามารถเป็นถึงตำแหน่งท่านรองนายพลของอ๋องสยบแดนเหนือ…สวี่ชีอันก็คิดว่าการเตรียมการเช่นนี้เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว
“ข้าไม่มีปัญหา” เขาพูดเสียงเบา
ฉู่เซียงหลงยิ้มอย่างภาคภูมิใจและมองเข้าไปในแววตาของหัวหน้าผู้รับผิดชอบภารกิจสวี่อย่างยั่วยุและดูหมิ่น ราวกับกำลังบอกเขาว่า ‘เจ้าเด็กอมมือ เจ้ายังอ่อนหัดเกินไป ต้องเรียนรู้อีกมาก’
ขุนนางทุกคนเดินออกจากกระโจมอย่างรวดเร็วและรวบรวมกองกำลัง ออกคำสั่งเพื่อเตรียมตัวเคลื่อนทัพกลางดึก
ฉู่เซียงหลงปลุกกลุ่มสาวใช้ให้ตื่นก่อนจะเดินมาหยุดที่ข้างรถม้าที่พระมเหสีประทับอยู่พลางโค้งคำนับและกล่าวว่า “พระมเหสี เกิดเรื่องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ไม่กี่อึดใจ น้ำเสียงสงบนิ่งของหญิงสาวก็ดังออกมาจากรถม้า “เกิดอะไรขึ้น?”
ฉู่เซียงหลงกล่าวเสียงเบา “เรือถูกซุ่มโจมตีทางน้ำและจมลงพ่ะย่ะค่ะ พวกเรายังไม่พ้นอันตราย มีความเป็นไปได้สูงที่ศัตรูกำลังตามไล่ล่าเราพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าสาวใช้ที่ขยี้ตาออกมาจากรถม้าได้ยินเช่นนั้นก็อุทานด้วยความตื่นตระหนก
อาอี๋ที่อยู่ปะปนในกลุ่มสาวใช้ก็หดศีรษะด้วยความหวาดหวั่น
ฉู่เซียงหลงกล่าวต่อไปว่า “กระหม่อมตัดสินใจที่จะใช้ถนนบนภูเขาเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่า ขอพระมเหสีทรงรีบเตรียมพระองค์เพื่อเสด็จคืนนี้ด้วย”
อาอี๋รีบกลับเข้าไปในรถม้าเพื่อเก็บสัมภาระและอาหารแห้งด้วยความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอยู่รอด
จากนั้นสาวใช้ทุกคนก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองและแยกย้ายทำหน้าที่ของตนเอง…
สัมภาระบางส่วนถูกโยนทิ้ง กองภารกิจสอบสวนแบกอาหารแห้งและน้ำสะอาดเบี่ยงออกจากถนนทางการ เดินผ่านคันนา ที่ราบ และข้ามสันเขา เริ่มต้นการเดินทางที่ยากลำบาก
หยางเยี่ยนนำกองกำลังทหารไปด้านหน้า สวี่ชีอันนำกองทหารรักษาวังขนาบหลัง
เมื่อถึงเวลารุ่งอรุณ กองทัพทหารก็หยุดพักที่เชิงเขาเป็นเวลาสั้นๆ เพื่อรับประทานอาหารและฟื้นฟูร่างกาย
สวี่ชีอันแทะโรตีทอดที่ไม่มีรสชาติและดื่มน้ำ โชคดีที่เขาไม่ได้พาแม่ม้าน้อยมาด้วย มิฉะนั้นม้าอันเป็นที่รักตัวนี้ก็คงจะหายไปแล้ว
เสียงฝีเท้าตึกตักเดินเข้ามาใกล้ เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าของอาอี๋
นางยืนอยู่ไม่ไกลด้วยท่าทางลังเลเล็กน้อย เมื่อเห็นสวี่ชีอันมองมาก็กัดฟันเดินดุ่มๆ เข้ามานั่งลงข้างสวี่ชีอันและกล่าวเสียงเบาว่า
“พวกเราจะถึงแดนเหนือโดยราบรื่นหรือไม่?”
สวี่ชีอันตอบกลับว่า “เจ้าเป็นสาวใช้ของวัง สำหรับคำถามนี้ เจ้าควรไปถามฉู่เซียงหลง”
‘ข้าไม่เชื่อใจเขา’…นางกอดกาต้มน้ำพลางกวาดสายตามองกลุ่มคนด้วยความกังวลเล็กน้อยและกล่าวเสียงเบาว่า “ข้ากลัวนิดหน่อย”
นางกลัวมาก ดังนั้นนางจึงมาหาสวี่ชีอันโดยจิตใต้สำนึก บางทีสำหรับนางแล้ว คนที่ทำให้รู้สึกปลอดภัยได้จริงๆ ในกลุ่มภารกิจนี้ไม่ใช่ฆ้องทองคำหยางเยี่ยนหรือฉู่เซียงหลง ที่สาบานว่าจะจงรักภักดีต่ออ๋องสยบแดนเหนือ
แต่เป็นหน่วยลาดตระเวนหนุ่มคนนี้ที่คอยหยอกล้อนางตลอดทั้งทาง เป็นฆ้องเงินคนนี้ที่สร้างความตกตะลึงในพิธีต้าวฮวด เป็นผู้ชายคนนี้ที่อยู่เหนือแม่น้ำเว่ยสุ่ยและพิชิตสวรรค์และมนุษย์ด้วยมือทั้งสอง
“กลัวตายรึ?” สวี่ชีอันถามด้วยท่าทางนิ่งเฉย
นางพยักหน้าก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง
“แผนของฉู่เซียงหลงไม่มีปัญหา ถ้าโชคดี พวกเราก็จะถึงเจียงโจวอย่างปลอดภัย ถึงเจียงโจวก็ปลอดภัยแล้ว อีกอย่าง เจ้าเป็นสาวใช้ มีอะไรต้องกลัวด้วยรึ? เห็นท่าไม่ดีก็แค่วิ่งหนี คนที่เป็นยอดฝีมือระดับสี่จะเป็นห่วงเจ้าไปทำไมกัน?”
สวี่ชีอันหัวเราะเยาะความขี้ขลาดของนาง
“ข้าเกรงว่าข้าจะไปไม่ถึงเมืองเจียงโจว” นางถอนหายใจ
หลังจากอดหลับอดนอนและรีบร้อนเดินทาง เพิ่งสองชั่วยาม ขาทั้งสองข้างของนางก็อ่อนระทวยจนเดินแทบไม่ได้
“ให้ข้าอุ้มเจ้าหรือไม่?” สวี่ชีอันยื่นข้อเสนอ
นางส่ายศีรษะ
“หาก…หากพวกเราถูกผู้ไล่ล่าโจมตี เจ้า…” นางกลับคำพูด “หน่วยลาดตระเวนจะปกป้องพระมเหสีหรือไม่?”
เมื่อถามคำถามนี้ออกไป ดวงตาของนางก็เปล่งประกายด้วยความหวังราวกับดวงดาว
ประหนึ่งว่าตราบใดที่สวี่ชีอันให้คำตอบที่หนักแน่น นางก็จะสบายใจและรู้สึกปลอดภัย
“ไม่แน่นอน” สวี่ชีอันปฏิเสธ
“หน้าที่ของพวกเราคือสืบคดี ไม่ใช่ปกป้องพระมเหสี ความเป็นความตายของพระมเหสีไม่เกี่ยวอะไรกับเรา หากศัตรูแข็งแกร่งเกินไป พวกเราก็จะหนีไปเอง ยังไงเสียเป้าหมายของพวกเขาก็คือพระมเหสี”
‘เป็นเช่นนี้นี่เอง’…แสงประกายในดวงตาของนางหรี่ลงเล็กน้อย นางยืนขึ้นเงียบๆ ก่อนจะกลับไปนั่งกอดเข่าในที่ของตนเอง
นางอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แต่กลับเข้ากับคนรอบข้างไม่ได้ ทั้งดูโดดเดี่ยวและน่าสงสาร…
สิบห้านาทีต่อมา ฉู่เซียงหลงก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวเสียงดังว่า “เดินทางต่อไป”
ทหารรักษาวังและทหารอารักขาที่ถูกฝึกฝนมาอย่างดีลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ หยิบถุงเดินทางขึ้นหลัง บรรจุอาวุธและเตรียมตัวพร้อมสำหรับการเดินทาง
ทันทีที่สิ้นประโยค ขนอ่อนตามตัวของสวี่ชีอันก็ลุกกราวอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็มีภาพผุดขึ้นในสมองของเขา ที่ยอดเขาสูงในป่า หินขนาดยักษ์กระแทกเสียงดังสนั่น
ในเวลาเดียวกัน หยางเยี่ยนที่อยู่แนวหน้าก็เงยหน้าขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จ้องมองภูเขาที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาแวววาว
‘ตูม…’
ก้อนหินที่มีความสูงสองฟุตถูกโยนลงมาจากภูเขาไปที่ใจกลางกลุ่มกองทัพทหาร
นักรบที่เหลือในกลุ่มภารกิจช้าไปหนึ่งจังหวะ กระทั่งก้อนหินยักษ์ถูกโยนออกมา พวกเขาถึงเพิ่งจะรู้สึก แต่ทหารและสาวใช้ทั่วไปก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ในเวลานี้
…………………………………………………………